ถ้าถามผมว่าเดินไปที่ไหนสนุกที่สุดสำหรับผม ผมกล้าตอบได้เลยว่า "หว่าวาโจ" คือที่สุดของผม ณ ตอนนี้ จริงๆ แล้วผมไม่ใช่นักเดินป่าที่ไปลุยทั้งป่าเหนือป่าใต้ ทั่วไทยอะไรขนาดนั้น แต่ผมเชื่อว่าใครได้มาที่นี่ต่างก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นสถานที่ๆ เดินป่าได้สนุกและสวยมากที่นึงเลยแหล่ะ ด้วยวิวระดับ 5 ดาว ตั้งแต่ระหว่างทาง ลานกางเต็นท์ ไปยังปลายทาง ณ ดอยหว่าวาโจ แถมยังมีเรื่องราวสนุกๆ เฮฮาระหว่างทางที่คอยแต่งเติมสีสันระหว่างการเดินทาง มันทำให้ผมอยากจะหยุดเวลาแห่งความสุขไว้แค่ตอนนั้นจริงๆ
เรื่องราวระหว่างทางจะสนุกแค่ไหน วิวที่ว่าสวยจะสักเท่าไหร่ รับชมไปพร้อมๆ กันได้เล้ยยยยย...
ใครขี้เกียจอ่าน อยากเปิดดูเป็น Video กดที่ลิงก์ด้านล่างได้เลยครับ
~ออกเดินทาง~
ก่อนออกดินทางเองผมจงใจเลือกช่วงระหว่างปลายหนาว(ก.พ.) เพราะตั้งใจว่าไม่ให้เสี่ยงเจอพายุเข้าเหมือนทริปเก่าๆ (ปิตุ๊โกรกับม่อนสี่สหาย) พอถึงเวลาใกล้ๆ ถึงวันก็มีเพื่อนๆ ในกลุ่มแชร์พยากรณ์อากาศ มีเนื้อหาสั้นๆ ได้ใจความว่า แม่ฮ่องสอนช่วงที่ผมไปจะมีพายุลูกเห็บ.., ผมก็แบบ เอ๊ะ ! มันไม่เจอหรอกม้างงงง ลูกเห็บตกยากจะตาย ~ เลยปลอบใจตัวเองไปว่าคงไม่มีลูกเห็บไม่มีฝนอะไรทั้งนั้นแหล่ะ นี่มันปลายหนาวนะ
หลังจากการจองทริปเสร็จสรรพก็เริ่มออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ประมาณ 21.00 น. ซึ่งปกติถ้าไปแถวเชียงใหม่ก็เช้าพอดีแล้วก็หาข้าวเช้าทานที่นั่น ก่อนจะเดินทางต่อไปแม่ฮ่องสอน ระยะทางอาจะดูไม่ไกลแต่ใช้เวลานานมากเนื่องจากความคดเคี้ยวของเส้นทาง กว่าผมจะไปถึงก็กินเวลาไปอีกครึ่งวัน กว่าจะทานข้าวเที่ยงเตรียมตัวเดินทางต่อด้วยรถกระบะอีกประมาณครึ่งชั่วโมงไปที่จุดเริ่มเดินก็ประมาณ 14.00 น. การเดินเท้าของเราก็เริ่มต้นขึ้น
ระหว่างทางก็จะมีต้นไม้สูงๆ คอยบังแดด พื้นก็แน่นๆ เรียบๆ เดินได้สบายหน่อย ชมนกชมไม้ เฮฮากันตามประสาคนได้หลุดพ้นจากชีวิตมนุษย์เงินเดือน
ในขณะที่เดินอยู่ผมแหงนขึ้นไปมองบนฟ้า เห็นว่าแดดแรงมาก แรงจนเราอุ่นใจว่า เห่อะ...ไม่มีหรอก พายุลูกเห็บ สบายแล้วคืนนี้ แต่เดินได้ไม่ถึงสิบนาที ฟ้ามืดเลยครับ... ลมแรง ใบไม้ปลิวว่อน สายลมที่ปะทะผิวเริ่มรู้สึกว่าหนาวกว่าลมปกติ ผมเริ่มคิดว่าฝนตกแน่นอน...
พอรู้อย่างนั้นพวกผมเลยรีบควักเสื้อกันฝนออกมาสวมกันเปียกซักหน่อย ซึ่งฝนก็ค่อยๆ ตกลงมาแรงขึ้น แรงขึ้น... จนกระทั้งรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างตกใส่หัวแล้วกระเด็นผ่านหน้าไป ลักษณะมันเป็นเม็ดเล็กๆ กลมๆ ขาวๆ ขนาดเท่าไข่จิ้งจก ใช่ครับ...ลูกเห็บจริงๆ แล้วมากันเป็นกลุ่มๆ จนต้องหาที่หลบใต้ร่มไม้ก่อน
หลังจากหลบลูกเห็บได้ประมาณ 5 นาทีเราก็เริ่มออกเดินทางต่อ ฝนค่อยๆ เบาจนเริ่มมีแดดออก(แต่ฝนยังไม่หยุดนะ) ผมเลยคิดไว้ว่าที่นี่อากาศแปรปรวนมาก จะฝนตกจะลูกเห็บจะแดดออกนี่มาครบภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แสดงว่าคืนนี้มีแววเปียกแน่ๆ รึจะไม่ได้นอน ?? ฮ่าๆๆ
เอาหล่ะ หลังจาดผ่านช่วงแรกที่เป็นทางเรียบๆ ก็จะเข้าช่วงของทางชัน ซึ่งทางโดนรวมเนี่ยถ้าพูดให้ฟังก็ไม่ยาก แต่พอต้องเดินเองปั๊บ ยากเสมอ !! ความชันประมาณ 45 องศา ทำให้ผมนึกถึงเส้นทางที่เขาหลวงสุโขทัย
ระหว่างทางพอฟ้าเริ่มเปิดก็พอจะมองเห็นวิวสวยๆ ให้มีแรงฮึบสู้ต่อหน่อย :)
เดินต่อมาสักพักก็เริ่มมองเห็นสันเขาที่เราต้องข้ามไป พอมองจากข้างก็รู้สึกได้ทันทีว่าต้องน่ากลัวแน่ๆ แฮะ แต่คิดว่าคงไม่กลิ้งตกลงไประหว่างทาง ฮ่าๆ
เดินต่อมาอีกแป๊บเดียว ดีที่ยังไม่ได้ถอดเสื้อกันฝนออก ฝนตกอีกแล้วครับ เมื่อกี้ฟ้ายังสว่างๆ อยู่เลย TT ซึ่งก็ทำให้ทีมงานต้องคิดหนักว่าจะเอายังไงดีเนื่องจากเส้นทางที่เราจะไปถ้ามีฝนตกอาจทำให้ลื่นง่าย ตอนนั้นเราอยู่ระหว่างทางแยกระหว่างเลี้ยวซ้ายไปหว่าวาโจเพื่อค้างแรมที่นั่น หรือพักตรงนี้ไปเลย แล้วค่อยรอลุ้นอีกทีพรุ่งนี้เช้าอีกที ถ้าฝนยังตกตลอดแบบนี้เราก็จะไม่เสี่ยงไปกันต่อ คงต้องเดินทางกลับเลย
จากจุดนี้เรามองเห็นสันเขาที่จะเดินไปทางหว่าวาโจแล้ว แต่ไว้มาลุ้นต่อพรุ่งนี้แล้วกัน
~จุดกางเต็นท์ลับ~
จริงๆ แล้วผมก็เสียดายอยู่นะ ที่เราต้องหยุดไปต่อ แต่ก็มองในแง่ดีคือคิดซะว่าเราได้พักเหนื่อย พอมาถึงจุดกางเต็นท์ก็สำรวจพื้นที่หาพื้นเรียบๆ วางสัมภาระตามปกติ ระหว่างเดินดูรอบๆก็มองไปเห็นว่ามีจุดวิวดีมากๆ พอเดินไปตรงนั้นก็แบบ โอ้ววววววววว มันสวยจริงๆ ภาพที่เราตรงหน้ามันของจริงหรอเนี่ยยย ?
พอตกเย็นฟ้าเริ่มเปิด แสงแดดทอแสงจางๆ กระทบสายหมอกที่เกาะอยู่ที่ปลายยอดไม้ ช่างเป็นบรรยากาศที่ดีจนเราแทบจะลืมความเหนื่อยล้าของชีวิตไปเลยแหล่ะ
จริงๆ ที่เห็นตอนนั้นผมก็ว่าคุ้มแล้วนะ พอกลับมากางเต็นท์ จัดการเสื้อผ้าสัมภาระเสร็จสรรพผมก็สังเกตุเห็นแสงลอดออกมาตามช่องระบายอากาศของเต็นท์ ตอนนั้นรู้ทันทีเลยว่าช่วงที่สวยที่สุดของวันกำลังจะมาถึง ผมรีบเปิดเต็นท์ออกไปดูบรรยากาศด้านนอก... แสงเย็นมาแล้วครับ เหมือนฟ้าจะเป็นใจด้วย
พอเห็นแสงแบบนี้ก็เลยรีบคว้ากล้องวิ่งออกไปตรงที่ๆ วิวสวยๆ มันแบบ... สวย สวยเกินบรรยายจริงๆ ครับ ลมเย็นๆ แสงทองๆ ฟินสุดๆ
ณ จุดที่ผมยืนอยู่ถ้าหันหน้าไปด้านขวาจะเป็นดอยหงอนไก่ ซึ่งอยู่สูงดว่าจุดที่พวกเรากางเต็นท์ค่อนข้างมาก ดอยสูงๆ หญ้าสีทอง กับแสงยามเย็นช่วง Golden hour เป็นอะไรที่ช่วยฮีลใจได้เป็นอย่างดีเลยครับ
ตัดภาพมาที่ฝั่งตรงข้าม ที่จะเดินไปหว่าวาโจ ตอนนี้สมาชิกทริปทุกคนไปรวมตัวที่นั่น เพื่อนั่งชมความสวยงามของทางเดินของสันเขา ที่ผมเคยบอกไปหลังจากที่ไม่ได้เดินไปต่อที่หว่าวาโจ ถึงตอนนี้ต้องกลับคำแล้วครับ การที่ได้เห็นวิวตรงนี้ ณ เวลานี้ถือว่าคุ้มค่ามากๆ นี่แหล่ะครับ สวยจนอยากหยุดเวลาจริงๆ
ก่อนตะวันจะลับขอบฟ้า
~อรุณสวัสดิ์~
จริงๆ แล้วคืนนั้นฝนตกค่อนข้างหนัก พอตื่นเช้ามาผมยังได้ยินเสียงใบไม้ปลิวดังอยู่รอบๆ เต็นท์ แต่พอตื่นมาเห็นเห็นว่าฝนได้หยุดไปแล้ว แต่ลมแรงมาก พอตั้งสติได้เลยคว้ากล้องออกไปดูรอบๆ เผื่อจะได้ถ่ายหมอกสวยๆ ยามเช้าหน่อย แล้วธรรมชาติก็ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง หมอกหนาวโอบล้อมยอดเขาที่พวกเราค้างคืน ด้วยลมที่แรงมาก ทำให้สายหมอกปลิวเป็นสายสวยงามอย่างกับอยู่ในเทพนิยายเลยครับ
หมอกครึ่งนึง ภูเขาครึ่งนึง
ตัดภาพมาที่ฝั่งทางเดินไปหว่าวาโจ ตรงนี้ก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน
เอาหล่ะ หลังจากประเมินสถานการณ์แล้วว่า ทางเดินไปหว่าหวาโจยังพอไปไหวอยู่ พวกเราเลยรีบกลับมาเก็บของทานมื้อเช้า เตรียมตัวลุยต่อ
คราวนี้เราเดินสบายขึ้นหน่อย เพราะไม่ต้องแบกอะไรไป (ตอนกลับเดินกลับทางเดิม) เรื่องเดินตัวปลิวนี่ของถนัด ฮ่าๆ แต่อุปสรรคของเราคือหมอกครับ อยู่ๆ หมอกก็หนาขึ้นมาซะงั้น ลมยังแรงอยู่ ซึ่งทางเดินบนสันเขาค่อนข้างจะอันตรายมากทีเดียว ใครกลัวความสูงจะเดินลำบากหน่อย
จะมีบางช่วงที่เดินได้ทีละคน บางช่วงให้พอได้พักหายใจบ้าง แต่ต้องระวังตัวสุดๆ เพราะถ้าก้าวพลาดหรือเจอลมแรงๆ จนทรงตัวไม่อยู่นี่คว้าอะไรไม่ทันแน่นอน
อย่าพลาดเชียว ><
บางช่วงมันจะโล่งๆ จะลงแบบเซฟๆ หน่อยก็ต้องย่อขาค่อยๆ คลานลง
เราใช้เวลาเดินตรงนี้ประมาณ 20 นาทีซึ่งเป็นช่วงที่ลุ้น และสนุกไปด้วยในตัว พอถึงช่วงท้ายๆ จะล้มลุกคลุกคลานหน่อย เพราะต้องเกาะต้นไม้ต้นหญ้าลากตัวเองขึ้นไป
และแล้ว เราก็มาถึง..,
ตอนแรกที่ขึ้นมาถึงหมอกหนามาก ปิดวิวหมดเลย แต่พออยู่บนนั่นสักพักแดดเริ่มส่อง หมอกเริ่มโดนลมพัดออกก็เริ่มเห็นวิวรอบข้างแล้วครับ ถือเป็นทริปเดินป่าที่ครบรสมากๆ ทั้งพายุลูกเห็บ ทางวิวสุดฟินที่จุดกางเต๊นท์ และประสบการณ์เดินบนสันเขากลางสายหมอก ทริปนี้ทริปเดียวคุ้มสุดๆ ถ้าใครลังเลอยู่ว่าจะมาเดินที่นี่ไหมผมแนะนำเลยครับว่าต้องมา เดินไม่หนักวิวสวย มาเก็บบรรยากาศฟินๆ กลับไปนอนกอดในยามที่เราเหนื่อยล้าจากวงจรชีวิตเดิมๆ
หลังจากถ่ายรูปจนอิ่มหนำ ระหว่างเดินทางกลับก็เหมือนฟ้าเป็นใจ หมอกเปิดเต็มที่ ได้บรรยากาศดีๆ มาฝากก่อนปิดรีวิว แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า บายยยยยย -.^
ก่อนจากกันไปขอฝากช่องทางในการติดตามผลงานด้านล่างนี้เลยครับ รีวิวต่อไปรับรองว่าว๊าาาาาวแน่ๆ มีภาพสวยๆ ให้เสพเพียบเลย รอติดตามกันด้วยนะคร๊าบบบบบ
Facebook fanpage : แบกกล้องไปท่องโลก
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ : https://th.readme.me/id/AYPhot...
IG รวมภาพสวยๆ : arnuphap_y
YouTube : แบกกล้อง ไปท่องโลก
Arnuphap Yaiphimai
วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลา 22.44 น.