หลังจากทำใจมาระยะหนึ่งเรื่องของการอดเดินทางไปเที่ยวต่างปรเทศเพราะน้องโค(วิด)ยังร้อนแรงไม่มีแผ่ว ปี 2021 นี้เลยเลยตั้งเป้าว่าเดินป่าทั้งปีละกัน เลยกดจองทริปม่อนจองไป ดูตารางทางช้างเผือกเสร็จสรรพ คนจัดบอก “ปีนี้เขาไม่เปิด” โท่วววว อดไปสิครับ เขาเลยเสนอทริปนี้มาให้ อยู่เชียงใหม่เหมือนกัน ผมก็ลองดูๆ ภาพก็รู้สึกว่า เอ้อออออ มันก็ได้อยู่(ที่แปลว่าได้) เลยเป็นที่มาของรีวิวนี้ กับแบกกล้องไปท่องโลก EP ที่ 9 “ดอยผาสามเหลี่ยม ยามดึกชมดาว ยามเช้าชมทะเลหมอก”
การเดินทางของผมคือรถตู้ที่ผู้จัดทริปจัดเตรียมไว้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8-10 ชั่วโมงจาก กทม. สำหรับใครมี่หลับบนรถได้แนะนำว่าเดินทางช่วงเย็นแล้วไปเช้าที่เชียงใหม่เลยจะดีมาก คือถึงแล้วเที่ยวเลย (ผมก็ใช้วิธีนี้เหมือนกันนะ มีหลับบ้างตื่นบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเพลีย
ส่วนที่พักก็เป็นโฮมสเตย์ที่บ้านห้วยกุ๊บกั๊บ (ใกล้ๆ กับผาสามเหลี่ยม) ทางโฮมสเตย์นัดกับผู้จัดทริปว่าจะมารับช่วงบ่ายๆ ใครไปถึงไวก็หาคาเฟ่ถ่ายรูปแถวนั้นรอละกัน มีค่อนข้างเยอะเลยครับ แต่แถวนั้นสัญญาณมือถือเริ่มมาๆ หายๆ อาจต้องพึ่ง Wifi ร้านไว้แชร์รูปอวดเพื่อนๆ ไปก่อน
ก่อนจะเริ่มเดินทาง หากท่านใดชอบรับชมแบบเป็นคลิปเชิญจิ้มเบาๆ ที่วีดีโอได้เลยครับ
พอตกบ่ายก็มีรถกระบะมารับเพื่อเอาของไปเก็บที่โฮมสเตย์ (ใครอยากทราบว่าที่ไหนหลังไมค์มาได้นะครับ จะบอกชื่อก็ยังไงอยู่ เขาไม่ได้จ้าง ฮ่าๆ) ซึ่งบอกเลยว่าสวยมาาาาาาาาาก ยังกะหลุดมาคนละโลกเลย สวยตั้งแต่ทางขึ้นแล้ว เวลาที่เดินทางแล้วเห็นอะไรแปลกๆ เช่นบ้านที่สร้างบนเนินเขานี่มันเหมือนเราเจอโลกใบใหม่เลยนะ
พอถึงห้องพักรีบโยนกระเป๋าเข้าห้องรีบอาบน้ำเพราะต้องออกเดินทางไปยังจุดชมวิวไม่งั้นจะมืดซะก่อน แต่ก็อดไม้ได้ที่ยกกล้องมาเก็บภาพสวยๆ มาฝาก
ที่โฮมสเตย์ไม่มีไฟฟ้านะครับ เตรียมพาวเวอร์แบงค์ไปให้พร้อม ส่วนสัญญาณมือถือก็มีบ้างไม่มีบ้างตามประสาประเทศกำลังพัฒนาแหล่ะครับ 🤭
สำหรับชุดเดินป่าที่นี่ไม่ต้องเตรียมไปแบบเต็มยศนะครับ ใส่ขาสั้นยังเดินได้สบายๆ แค่รองเท้าไม่ลื่นเกาะแน่นก็โอเคละ พกน้ำเปล่าไปคนละขวดก็เดินไป-กลับได้สบายๆ แล้ว
อาบน้ำเปลี่ยนชุดพร้อมเดินเสร็จก้ถึงเวลาลุยๆๆๆ แต่ใช้ว่าเราจะเริ่มเดินได้เลยนะ เราต้องนั่งกระบะไปจนถึงตีนเขาก่อน ใช้เวลาแค่ประมาณ 15 นาทีก็ถึงจุดที่ต้องลงเดินแล้วครับ
พอลงจากรถจะมีไกด์มารอรับเพื่อเดินต่อไปยังจุดชมวิว เขาให้เราถือไม้คำ้คนละอันเพราะทางค่อนข้างชันและลื่นในบางช่วง ไกด์บอกเราว่าใช้เวลาเดินชั่วโมงกว่าๆ กับระยะทาง 1.7 กิโลเมตร ก็จะถึงจุดชมวิว
เส้นทางเดินจะแบ่งเป็นสามช่วงหลักๆ
ช่วงที่ 1 : “นี่เราใกล้ถึงยังนะ”
ช่วงแรก จะชันน้อยๆ หน่อยถ้ามองด้วยตาเปล่า แต่เดินไปสัก 5 นาทีก็เกิดคำถามในหัวว่า “กลับตอนนี้ทันมั้ย” 🤣 อารมญ์ประมาณว่าไม่น่าหาเรื่องให้ตัวเองลำบากเลย น่าจะนอนสบายๆ ดูตะวันตกดิน จิบเบียร์เย็นๆ ที่โฮมสเตย์ 😄
เดินได้แป๊บเดียวเท่านั้นแหล่ะครับ หอบทันที แต่ก็ต้องปลอมไปว่าผ่านที่นู่นที่นั่นมาแล้ว ก็ต้องผ่านที่นี่ไปให้ได้ สู้เว้ยยย ✌️
มีลูกสนตกอยู่เต็มพื้นเลยครับ ผมว่าใครเห็นก็หยิบมาถ่ายแบบนี้ 🤣
ช่วงที่ 2 : “นอนตรงนี้เลยได้มั้ย ค่อยลงตอนเช้า”
หลังจากที่บากบั่น แบกร่างอันเต็มไปด้วยไขมันขึ้นมาจนสุดทางชัน ช่วงนี้ผมยกให้เป็นช่วงที่สวยที่สุดเลยครับ ทางก็จะเรียบหน่อย จากตรงนี่เรายังจะเห็นยอดของผาสามเหลี่ยมอีกด้วย เห็นแล้วมีกำลังใจขึ้นมาเลยครับ
เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาดีๆ ที่ผมชอบเวลามาเดินป่า เราจะไม่ค่อยเห็นภาพอะไรสวยๆ แบบนี้ในชีวิตประจำวัน พอได้มาเดินป่าทีนึงก็ได้ภาพจำดีๆ กลับไปเยอะเลยครับ
ถามว่าบรรยากาศมันฟินขนาดไหน ให้ภาพมันฟ้องครับ
เรียกได้ว่าหลับจริงจังแหล่ะครับ ฮ่าๆ แต่บรรยากาศมันน่ากางเต๊นท์นอนจริงๆ นะ น่าเสียดายที่ทางเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้กางเต๊นท์บริเวณนี้ (ใครเตรียมเอาเต๊นท์มาต้องพับแผนก่อน ฮ่าๆ )
ช่วงที่ 3 : “ใกล้แล้วๆ ใกล้ตายแล้ว”
ถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายที่ได้ออกแรงและปะทะกับธรรมชาติอย่างสะใจจริงๆ กับวิว 360 องศาของช่วงสุดท้าย รอบข้างจะเป็นทุ่งหญ้าทอดยาวไปถึงยอดของดอยผาสามเหลี่ยม แถมยังมีภูเขาลูกอื่นๆ ที่ยังมีต้นไม้สูงเขียวคจีตัดกับหญ้าสีเหลืองได้อย่างลงตัว
ทางเดินนั้นชันมาก(แต่ไม่ถึงขั้นต้องปีน) ต้องค่อยๆ ก้าวเหยียบหินทีละนิด ไม้คำเป็นอาวธหลักก็ตอนนี้แหล่ะ มันเป็นระยะทางที่ไม่ไกลนะ แต่ขาผมเริ่มล้ามากแล้ว ยิ่งเดินทางมาไกลๆ ยิ่งรู้สึกว่าเหนื่อยง่ายขึ้น
ด้านบนจะมีธงสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ว่าท่านได้มาถึงจุดหมายสักที !
หลังจากเกินทางบากบั่นมาอย่างยากลำบาก (สำหรับผมนะ 😁) ในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายสักที พอเดินจนถึงยอดผมก็หันไปถามไกด์ว่า “ที่นี่เรียกว่าอะไรครับ ?” ไกด์บอกว่า “ผาสาเลี่ยง” ผมคิดในใจว่าเอ้า เขาไม่ได้เรียกว่าผาสามเหลี่ยมหรอ มองขึ้นมาจากข้างล่างก็เห็นยอดเป็นรูปสามเหลี่ยมนะ เลยตัดสินใจถามไกด์ไปว่า “ชื่อนี้มันมีความหมายมั้ยครับ ?” ไกด์นิ่งไปพักนึงก็ตอบว่า “ไม่รู้ครับ” 🤣 ผมนี่ลั่นอย่างดัง ฮ่าๆ แต่ก็เข้าใจเขานะ บางทีขาเรียกมาตั้งแต่โบราญ ซึ่งก็ไม่มีใครบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานด้วย
ถือเป็นการเดินป่าที่ไม่เหนื่อยเหมือนที่อื่นนะ เพราะระยะทางสั้นมาก แถมใช้พลังงานน้อย ถ้าได้เดินไกลๆ กว่านี้น่าจะสนุกหน่อย ถ้าใครชอบเดินป่าก็จะเสียดายหน่อย แต่ถ้าใครเดินครั้งแรกก็มีตื่นเต้นเป็นธรรมดา ถือว่าเป็นที่ๆ คุ้มที่จะมาเก็บความทรงจำกลับไปเล่าเพื่อนๆ แน่นอน
บรรยากาศด้านบนแบบ 360 องศาก็ประมาณนี้
หลักจากถ่ายรูปกันอย่างจุใจก็ตัดสินใจรีบลงดีกว่า กลัวว่าฟ้ามืดแล้วจะเดินลำบาก ที่สำคัญ หิวครับ !
คือช่วงนั้นมันเป็นช่วงก่อนตะวันตกดิน พระอาทิตยืจะเริ่มทอแสงสีเหลืองทองบวกกับสีทุ่งหญ้าสีเหลือง เป็นภาพสวยมาก เห็นวิวแบบนี้แล้วมีแรงเดินกลบเลยครับ
ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการเดินทางที่เต็มไปด้วย ความฮา รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ถ้าถามว่าเดินป่าที่นี่ยากไหม ผมให้ในระดับเดินเล่นละกันครับ คือไม่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจอะไรขนาดนั้น เดินสนุกๆ คล้ายๆ เราวิ่ง Fun run นั่นแหล่ะ สายเดินป่าอาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่ถ้ามองย้อนกลับไปถึงบรรยากาศการทำงานในออฟฟิศ มองหน้าจอ อยู่แต่กับห้องประชุม ทะเลาะกับคนนู้นคนนี้ในที่ทำงาน 🤭🤫 การได้ดึงตัวเองออกมาในที่ๆ ไม่เคยเจอ ปล่อยให้ธรรมชาติบำบัดรับรองว่าสภาพชีวิตจิตใจได้ Refresh อย่างเต็มที่แน่นอน 🤗
ไหนๆ ก็ได้โฮมสเตย์ที่วิวดี๊ดี เลยถือโอกาศคว้ากล้องมารัวชัตเตอร์เก็บบรรยากาศสวยๆ มาฝากทุกๆ ท่าน
แล้วพบกันใหม่ใน EP หน้า สวัสดีครับ บายยยยย 😘
ก่อนจากกันไป หากท่านใดชอบผลงานก็สามารถติดตามผลงานได้ทางช่องทางต่างๆ ดังนี้
Facebook fanpage : แบกกล้องไปท่องโลก
รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ : https://th.readme.me/id/AYPhot...
IG รวมภาพสวยๆ : arnuphap_y
YouTube : แบกกล้อง ไปท่องโลก
Arnuphap Yaiphimai
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 22.32 น.