ตามฝัน ที่ขอบฟ้า

ภูเขาทะมึนสูงเสียดฟ้า ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีขาวของหิมะที่ขาวโพลน อากาศหนาวเย็นยะเยือก เมื่อลมแรงพัดแผ่วมา ธงมนตราหลากสีสะบัดปลิวพริ้วไปตามแรงลม ผมยืนมองด้วยอารมณ์สุนทรีย์ จู่ๆก็มีมือเย็นยะเยือกมาแตะที่ไหล่ผมแผ่วเบา....

“พี่เต๋อ หลับเหรอ” เสียงหวานเจื้อยแจ้วของรุ้ง ปลุกผมจากภวังค์ และพบความจริงที่ว่า เรายังนั่งทำงานหลังขดหลังแข็งอยู่ในออฟฟิศ และทำได้เพียงฝันกลางวันถึงสถานที่ที่เราอยากไป......ผมก้มหน้าก้มตาทำงานในคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้านั้นต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นคือกิจวัตรประจำวัน....

นานสามปีแล้ว กับการทำงานในที่แห่งนี้ สามปีแล้ว ที่ผมแทบไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนเลยเพราะทำแต่งาน ๆ ๆ จนกระทั่งฟางเส้นสุดท้าย กำลังจะขาดลง ผมกับรุ้งเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ซึ่งมากพอให้ได้ออกไปเปิดร้านอาหารเล็กๆเป็นของตัวเอง และออกไปชาร์จแบต..... ยังที่ใดๆที่หนึ่ง ในมุมโลก หลังจากที่ตั้งใจทำงานมาอย่างยาวนาน เพื่อเป็นการให้รางวัลกับตัวเองทั้งคู่

“จีน” ผมบอกรุ้ง ว่าเราจะไปจีนกัน รุ้งทำหน้าเหยเก เพราะรู้กิตติศัพท์ ที่ได้ยินมาจากปากผู้คนอื่น ทั้งเรื่องส้วมจีน ผู้คนที่มากมายเป็นอันดับหนึ่งของโลก ของก๊อปเกรดเอ และสารพัดเรื่องไม่ค่อยดี ที่เราได้ฟังมาจากปากคนอื่นๆ แต่ภาพที่ผมเปิดให้รุ้งดูในอินเตอร์เน็ตนั้น มันคือภาพภูเขาหิมะ และเมืองในหุบเขา ทำให้เราตั้งคำถามว่าที่จีน มีสถานที่แบบนั้นด้วยหรือ และแทนคำตอบ เราทั้งคู่จึงตกลง ที่จะออกเดินทางไปผจญภัย ณ จีน แผ่นดินใหญ่ด้วยกัน

จุดหมายปลายทางของเรา อยู่ที่มลฑลยูนนาน จีนตอนใต้ ที่มีวัฒนธรรมที่หลากหลาย ผมวางแผนท่องเที่ยวยังเมืองต่างๆ ด้วยตัวเองและเป้าหมายของการเดินทางของเรา ประกอบไปด้วย 4 เมืองใหญ่ๆ ได้แก่ คุนหมิง ลี่เจียง แชงกรีล่า และเต๋อชิง โดยมีเพื่อน มาสมทบร่วมทริปกับเราทั้งคู่อีก 2 คน รวมเป็น 4 คน 4 เมือง และ6 วันเดินทาง

การเตรียมตัวไปยังประเทศจีนนั้น จะว่าไปก็ไม่ง่าย แล้วก็ไม่ยากไปซะทีเดียว อันดับแรก คุณต้องมีพาสปอร์ต และวีซ่า สำหรับเข้าไปยังประเทศจีน ซึ่งการทำวีซ่าจีนนั้น วิธีการทำก็ไม่ยากแล้วก็ไม่ง่ายไปซะทีเดียว มีให้เปิดอ่านศึกษาในอินเตอร์เน็ตหลากหลาย ซึ่งผมขอข้ามเรื่องนี้ไปเลยก็แล้วกัน.....

เราสองคนจัดกระเป๋าสำหรับเดินทาง เพราะเราสองคนเป็นนักท่องเที่ยวสายแบ็คแพ็คเกอร์ จึงต้องจัดเตรียมสัมภาระที่จำเป็น และน้อยชิ้นที่สุด เสื้อกันหนาว คงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะเมืองคุนหมิงนั้น อุณภูมิสูงสุดโดยเฉลี่ยนั้น ไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส ในฤดูร้อน ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องเจอกับอากาศที่หนาวเย็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน และเงินหยวน ที่ต้องแลกไปให้พอใช้ 1หยวน เรทจะประมาณ 5 บาทไทย

3 มิถุนายน 2562 วันออกเดินทาง

เราสี่คนเดินทางด้วยสายการบินระหว่างประเทศของสายการบินหนึ่งในไทย เพื่อไปลงยังสนามบินฉางสุ่ย เมืองคุนหมิงประเทศจีน เราออกเดินทางกันช่วงเวลา 3 ทุ่ม ซึ่งใช้เวลาในการเดินทาง ทั้งหมด 2 ชั่วโมง ก็ถึงเมืองคุนหมิง ทันทีที่เข้าถึงประเทศจีน เราจำเป็นต้องปรับนาฬิกาใหม่ เพราะประเทศจีน จะมีเวลาที่เร็วกว่าเมืองไทย ราวๆ 1 ชั่วโมง เราไปถึงที่สนามบินฉางสุ่ย ในเวลาประมาณตีสอง....

ทันทีที่เท้าเราเหยียบเข้าไปยังแผ่นดินใหญ่ เราพบว่าสนามบินฉางสุ่ย เมืองคุนหมิงนั้น มีความทันสมัย สะอาดสะอ้าน และดูมีสวยงาม ด้วยดีไซน์ของสนามบิน ห้องน้ำห้องท่าสะอาดสะอ้าน ลบภาพฝันร้ายเก่าๆที่ว่ามาเมืองจีน ต้องเจอห้องน้ำสกปรกของเราไปอย่างสิ้นเชิง เราผ่านด่าน ตม.จีน เรียบร้อย ก็เข้าไปนั่งรอในสนามบิน เพื่อเปลี่ยนไฟลท์บิน ไปยังเมืองลี่เจียง ด้วยสายการบินภายในประเทศจีน ในเวลา 07.00 น.

สามสาวในร้านของอาตี๋น้อย

เราตัดสินใจนั่งพักกันในร้านอาหารร้านหนึ่งในสนามบิน มีอาตี๋น้อยคนหนึ่งเฝ้าร้าน เมื่อลองพูดคุยดูก็พบว่า อาตี๋น้อยสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เพียงเล็กน้อย yes no ok thankyou เท่านั้น แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับการสั่งอาหาร ในร้านมีเพลงอะคูสติกของศิลปินจีนคลอเบาๆ เราสั่งอาหารกันมา สองอย่าง ในเมนูที่ผมเลือก ภาษาอังกฤษเขียนเอาไว้ว่า ทงคัตสึ ราเมน.....อาตี๋ก็กุลีกุจอ ทำอาหารให้เรา ไม่นานนักก็นำอาหารมาเสิร์ฟ แต่หน้าตาอาหาร มันกลายเป็นบะหมี่หมูชาชูไปซะอย่างงั้น …...... แต่เมื่อชิมดู น้ำซุปมีความกลมกล่อมพอใช้ได้ และเข้ากันกับหมูชาชู มีมะเขือเทศฝานบางๆพอแก้เลี่ยนได้ มื้อแรกของจีน ก็ถูกซัดไปจนหมด จะด้วยความหิวหรือไรก็ไม่อาจทราบได้.....

ทงคัตสึราเมน (เขาเขียนมางี้อ่ะ 55)

สำหรับเพื่อนอีกสองคนของเรานั้น สั่งเมนูอะไรสักอย่าง มีลักษณะ คล้ายขนมจีนบ้านเรา ซึ่งแน่นอนครับ กินกันไม่หมด เพราะเพื่อนบอกว่าไม่อร่อย ถือว่าผมกับรุ้ง เลือกได้ถูก.....

เมื่อท้องอิ่ม ต่างคนก็ต่างแยกย้ายพักผ่อนตามอัธยาศัย เพื่อรอเวลาเปลี่ยนไฟลท์ในเจ็ดโมงเช้า ผมกับรุ้ง เลือกนั่งหลับรอในสนามบิน เพื่อรอเวลา เรานั่งพิงกันอยู่บนเก้าอี้นั่งพักผู้โดยสาร ต่างคนต่างเพลียและง่วงจากการเดินทาง เพราะนี่เป็นเวลาปกติสำหรับการพักผ่อนนอนหลับ อาตี๋น้อยแอบดูเราอยู่ด้วยรอยยิ้ม จะด้วยขำขันหรือสงสารก็ไม่อาจรู้ อาตี๋น้อยตัดสินใจ เดินมาหาเรา พร้อมแก้วกาแฟร้อนๆในมือสองแก้ว

“Free for you”..... อาตี๋ยื่นกาแฟมาให้ เราสองคนรับไว้แบบงงๆ พร้อมบอกไปว่า "เซี่ยๆ" ที่แปลว่าขอบคุณในภาษาจีน อาตี๋คงเห็นเรานั่งหลับพิงกันโงกเงกไปมาแล้วสงสาร จึงชงกาแฟร้อนๆมาให้เราดื่มเป็นน้ำใจ นั่นคือความอบอุ่นแรก ที่ได้รับ จากชาวจีน เราแลกกาแฟนั้น ด้วยลูกอมรสมะขาม แบบไทยๆและรอยยิ้ม ให้กับอาตี๋น้อยผู้เฝ้าร้านอาหาร แทนคำขอบคุณ “Welcome to China....” ตี๋น้อยเอ่ยปากกับเรา พร้อมรอยยิ้มที่จริงใจ

เราเข้าห้องน้ำทำธุระ และเตรียมตัวออกเดินทาง ผมกับรุ้งเดินขึ้นไปช่องเช็คอินสายการบินภายในประเทศ ซึ่งอยู่ในอาคารเดียวกันกับสายการบินระหว่างประเทศ สะดวกมากๆ ชาวจีนเดินกันขวักไขว่แต่เช้าตรู่ อากาศภายในสนามบินเย็นสบาย โดยไม่เปิดแอร์ เราสองคนรีบเช็คอินก่อนเวลา เพื่อความชัวร์ในการเดินทาง หลังจากนั้นเราเข้าไปนั่งรออยู่หน้าเกท เพื่อรอเวลา

พบว่าสนามบินที่มีความสวยงาม เป็นส่วนอาคารที่เป็นกระจก ยื่นเข้าไปในรันเวย์ ทำให้สามารถมองเห็นเครื่องบินได้ใกล้ชิดมากๆ ไม่นานเครื่องบินสายการบินจีน นำเครื่องขึ้นตรงเวลา 07.00 น. คณะเดินทางทั้ง 4 คน ไม่มีใครตกหล่นที่สนามบินคุนหมิง

08.00น. เราไปถึงสนามบินลี่เจียง ซานยี ความตื่นตาตื่นใจตอนเครื่องลงจอด เราเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ ที่กลายเป็นแปลงผักบนภูเขาเขียวขจี และบ้านเรือนทรงจีน ช่างเป็นสนามบินที่มีความงดงามจริงๆ เรา 4 คน ออกจากสนามบิน และนั่งรถต่อไปยังเมืองเก่าลี่เจียง โดยรถแท็กซี่

สองข้างทางเต็มไปด้วยพื้นที่ทางเกษตรกรรม

ระหว่างที่นั่งรถไป เราทั้งสี่คนมีความตื่นตาตื่นใจกับสภาพภูมิประเทศ และวัฒนธรรมการสร้างบ้านเรือนของชาวจีนยูนนาน ไม่นานนัก เราก็มาถึงเขตเมืองเก่าลี่เจียง เราทั้ง 4 คน เดินหาอาหารเช้า และที่พักสำหรับค่ำคืนนี้เป็นอันดับแรก

เดินหาห้องพักกันไป

หล่อสักหน่อย

จุดแรกที่เราจะต้องพบ เมื่อมาถึงเมืองเก่าลี่เจียง นั่นคือ บริเวณกังหันน้ำ ป้ายมรดกโลก และหินสลัก บริเวณหน้าทางเข้าเมืองเก่าลี่เจียง


กังหันน้ำโบราณ แลนด์มาร์คที่เหมาะสำหรับการนัดหมายเพื่อนร่วมทริป

ป้ายมรกดกโลก ที่ได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโก้ ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในปี 1997

น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลาคาร์ฟ

เมืองเก่าลี่เจียงนั้น อยู่ในระดับความสูง 2,400 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล นั่นก็พอๆกับยอดดอยอินทนนท์ ทำให้ที่นี่มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี มีที่เที่ยวที่สำคัญได้แก่ เมืองโบราณลี่เจียง ซึ่งประกาศเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในปี ค.ศ. 1997 จากองค์การยูเนสโก้ มีเอกลักษณ์ของชนเผ่าหน่าซี ซึ่งเป็นชนเผ่าดั้งเดิมแต่โบราณ และมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่สวยงาม มีภาษาที่เป็นเอกลักษณ์

ภาษาหน่าซี ที่ดูเผินๆคล้ายภาพวาดเขียนโบราณ

มีการอนุรักษณ์บ้านเรือนในย่านเมืองเก่าเอาไว้ ซึ่งเป็นบ้านเรือนทรงโบราณ แต่ภายใน รีโนเวทให้ดูทันสมัย มีคูคลอง ถนนหนทาง สะอาดสะอ้าน และน่าเดินเป็นที่สุด ที่นี่เป็นเส้นทางการค้าชาในอดีต ที่มีอายุยาวนานมากว่า 800 กว่าปี เมืองลี่เจียงยังมีภูเขาหิมะมังกรหยกที่สวยงาม สูงทะยานเสียดฟ้า และมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี ทั้งยังเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ของชาวเมืองลี่เจียงนี้อีกด้วย

เราแยกกันเป็นสองกลุ่ม เดินหาที่พักกันคนละที่ ผมกับรุ้ง พักที่ Xiao long inn อาคารไม้เล็กๆน่ารัก ที่ตั้งอยู่บนเชิงเขาไม่ไกลจากกังหันน้ำมากนัก เป็นโรงแรมที่เงียบสงบ และราคาค่อนข้างถูก เพียงคืนละ150 หยวนเท่านั้นเอง

ภายในห้องพัก ตกแต่งสไตล์จีนโบราณ สงบเงียบ...

หลังจากพักผ่อนกันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาเดินเล่นในย่าน Lijiang Oldtown เราตื่นตาตื่นใจกับการเดินเที่ยวใจในเมืองเก่าลี่เจียง พบว่าที่นี่เหมือนกับเป็นแหล่งช็อปปิ้งของฝากแหล่งย่อมๆ มีทุกสิ่งทุกอย่าง

ร้านน้ำผลไม้ มีทั้งสด และปั่น แต่ไม่มีน้ำแข็งให้นะจ้ะ....

ผมพารุ้งเดินขึ้นไปยัง ว่านกู่โหลว หรือจุดชมวิวเมืองลี่เจียง ซึ่งต้องเสียค่าเข้า คนละ 15 หยวน

ว่านกู่โหลว เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของเมืองลี่เจียง

ต้นเมเปิ้ล มีให้เห็นได้ตลอดเส้นทางเดินในเมืองลี่เจียง คนพื้นราบอย่างเราเห็นแล้วก็รู้สึกแปลกตาและตื่นเต้น

เมเปิ้ลสีแดง

มีริบบิ้นแดงและอักษรมงคล ถูกนำมาผูกไว้ใต้ต้นเมเปิ้ล เป็นความเชื่อ


อย่างที่บอกว่า ว่านกู่โหลวเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในเมืองลี่เจียง เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ทั้งเมืองลี่เจียงได้รอบทิศทางเป็นฉากหน้า มองเห็นภูเขาหิมะมังกรหยกอยู่ไกลๆ เป็นฉากหลัง เรียกได้ว่า เป็นทะเลหลังคาเมืองลี่เจียงก็ว่าได้

วิวทะเลหลังคา แห่ง Lijiang Old town ซึ่งมีอายุยาวนานมากว่า 800 กว่าปีแล้ว


วันฟ้าใส เราสามารถมองเห็นภูเขาหิมะมังกรหยกได้จากจุดนี้ แต่วันนี้เมฆหมอกเยอะไปนิด

ฝั่งเมืองใหม่ ที่เพิ่งเกิดขึ้น

เหนื่อยหรือฟินก็ไม่รุ 55

แนะนำร้านอร่อยที่ลี่เจียง บริเวณทางขึ้นไปยังว่านกู่โหลว มีร้านขายเต้าหู้ผัดหมาล่าอยู่ร้านนึง อยู่ติดถนน เป็นเต้าหู้ผัดหมาล่าที่อร่อยมาก เผ็ด ชาลิ้น และกลมกล่อม ถ้ามาที่ลี่เจียง อย่าพลาดร้านนี้เลยนะครับ

ของอร่อยขนาดนี้ ราคาแค่ 10 หยวนเท่านั้นเอง

กำแพงเมืองโบราณเก่าแก่

บรรยากาศตามร้านต่างๆในยามเย็น

เราทั้งคู่แวะกิน ก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพาน (กั๋วเฉียวหมี่เสี้ยน) ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อในตำนานของมลฑลยูนนานนี้ เป็นก๋วยเตี๋ยวที่แยก เส้น เนื้อ ผัก และน้ำซุปมา เมื่อถึงเวลาจะกิน ก็นำวัตถิบทั้งหมดใส่ลงไปในน้ำซุป อารมณ์คงคล้ายๆ จิ้มจุ่มบ้านเรา

ว่ากันว่า เป็นอาหารที่มีที่มาที่ไป คือ สมัยก่อนมีคู่รักคู่หนึ่ง ฝ่ายชายต้องไปติวหนังสือเพื่อสอบจอหงวน ยังเกาะแห่งหนึ่งซึ่งต้องข้ามสะพานข้ามแม่น้ำไป ฝ่ายหญิงต้องตามไปส่งอาหารทุกๆวันเพื่อให้คนรักได้รับประทาน แต่ทว่า เมื่อไปถึงแล้ว พบว่าอาหารที่ห่อมานั้นเย็นชืดไม่อร่อย เพราะอากาศที่หนาวเย็นของมลฑลยูนนาน จึงได้คิดค้น วิธีการและสูตรใหม่ ด้วยการแยกน้ำซุป กับเส้น เนื้อสัตว์ และผักออกจากกัน ปรุงน้ำซุปด้วยน้ำมันที่เจืออยู่บนผิวน้ำ ซึ่งทำให้น้ำซุปสามารถเก็บกักความร้อนได้ดีกว่า เมื่อไปถึงคนรักก็ผสมวัตถุดิบลงเข้าด้วยกัน กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานที่ร้อนและอร่อยพอดีๆ สำหรับเราลองชิมดูแล้ว ก็ยังไม่รู้สึกว้าวสักเท่าไหร่ แต่ก็ถือเป็นซิกเนเจอร์ที่ว่า มายูนนาน จะต้องได้กิน....

กินเสร็จแล้ว ก็หามุมสวยๆถ่ายรูป

มุมสวยๆที่เมืองโบราณลี่เจียงนี้มีเยอะมากๆ

ให้เดินถ่ายทั้งวันก็ไม่หมด

เรา4 คนมานั่งประชุมแผนการเดินทางร่วมกันบริเวณกังหันน้ำเมืองเก่า ถึงแผนการวันพรุ่งนี้ เดิมทีเราตั้งใจไว้ว่า จะขึ้นภูเขาหิมะมังกรหยก แต่เมื่อสอบถามเวลาแล้ว กว่าจะเสร็จจากทัวร์ภูเขาหิมะ ก็ปาเข้าไป 5 โมงเย็น ผมจึงตัดสินใจ ตัดทัวร์ภูเขาหิมะออกอย่างน่าเสียดาย เพราะหากว่าเราต้องขึ้นภูเขาหิมะวันพรุ่งนี้ เราจะเสียเวลา อยู่ที่อีกอย่างน้อยก็สองวัน ซึ่งอาจทำให้เราไม่ได้เที่ยวที่อื่นเลย และหากพรุ่งนี้ฟ้าไม่เปิด สภาพอากาศไม่เป็นใจ เราอาจจะต้องเสียดาย ที่ไม่ได้ไปที่อื่น และความรู้สึกวุ่นวาย ที่ต้องซื้อทัวร์ ร่วมกับชาวจีนอีกหลายๆคน ทั้งอาม่าอาเจ็ก ลุกเด็กเล็กแดง เมื่อประเมินแล้ว ดังนั้น ผมจึงตัดทัวร์ภูเขาหิมะ ซึ่งมีค่าบริการค่อนข้างแพงออกอย่างจำใจ

ตกกลางคืน กว่าที่นี่จะมืด ก็ปาเข้าไปสามทุ่ม พระอาทิตย์ที่นี่จะตกค่อนข้างช้า เรากลับพบว่า ลี่เจียงในยามค่ำคืนนั้น คึกคัก คลาคล่ำไปด้วยคนจีน และชาวต่างชาติ ที่เข้ามาเที่ยวยังเมืองเก่าลี่เจียงนี้ ต่างจากความสงบเงียบ ในเวลากลางวันอย่างสิ้นเชิง

เมืองทั้งเมืองก็ถูกเปลี่ยนไปจากเมืองที่สงบเงียบ กลายเป็นเมืองแห่งแสงสีที่มีแต่ความคึกคัก หลายๆร้านแปรสภาพไปเป็นผับ บาร์ มีสุรา นารี ไว้คอยบริการอย่างเต็มรูปแบบ

ส่วนเราสองคน ไม่ใช่สายดื่มสายเที่ยวอยู่แล้ว เราจึงเข้าที่พัก นอนหลับเอาแรง เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อในวันพรุ่งนี้....... ฝันดี ลี่เจียง พรุ่งนี้เช้าค่อยเจอกัน


อากาศยามเช้าของลี่เจียงนั้นเย็นสบาย ผมสปริงตัวเองขึ้นจากเตียง อาบน้ำอาบท่า และรีบออกไปเก็บแสงเช้า ที่จุดชมวิวใกล้ๆว่านกู่โหลว

เช้านี้อากาศแจ่มใส ฟ้าใสไม่มีเมฆ นั่นทำให้เราได้ยลโฉมกับภูเขาหิมะมังกรหยกไกลๆ ได้อย่างเต็มสองตา

ภาพภูเขาหิมะมังกรหยก เป็นแบ็คกราวน์ และเมืองลี่เจียงด้านล่าง เป็นโฟร์กราวน์ เป็นภาพที่สวยงามเกินบรรยายจริงๆ

ผมใช้เวลาถ่ายภาพ และดื่มด่ำ อยู่กับภูเขาหิมะที่มองเห็นไกลๆนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบลงมาเก็บของ เพื่อเดินทาง ไปยังแชงกรีล่าต่อ

เรา 4 คน กินอาหารเช้าที่ร้านอาหารร้านหนึ่ง รสชาติอาหารที่ร้านนี้อร่อยมาก โดยเฉพาะน้ำเต้าหู้ ซึ่งมีความต่างจากน้ำเต้าหู้สูตรไทยๆ มีความหอม นุ่มละมุน และเป็นฟองน้ำเต้าหู้ละมุน อยู่ด้านบน หลังจากนั้น เรารีบไปขึ้นรถเมล์ สาย 11 เพื่อไปยังสถานีขนส่ง Lijiang passenger station เดินข้ามถนนข้ามไปอีกฝั่ง จากบริเวณด้านหน้าเมืองเก่า เพื่อไปขึ้นรถ บริเวณป้ายรถเมล์ รอรถไม่นานนัก รถเมล์ก็มาถึง โดยที่เราไม่ต้องโบก เพราะรถเมล์ที่นี่ จะจอดทุกที่ที่มีป้าย เราสามารถขึ้นรถได้เลย โดยเตรียมเงินไว้หยอด ที่หน้ารถ ในราคาตลอดสายแค่ 1 หยวน (5บาท)

รถเมล์ที่นี่เป็นรถไฟฟ้าทุกคัน เงียบ และวิ่งได้นิ่งมากๆ และที่สำคัญ ไม่มีมลพิษ ไม่มีควันดำมารบกวน คนขับรถฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง และพอสื่อสารภาษาอังกฤษได้ด้วย เราสังเกตเห็นป้ายคิวอาร์โค้ดของ อาลิเปย์ และวีแชท ในทุกๆที่ จีนเป็นประเทศไร้เงินสดขนานแท้ เพราะทุกๆที่ ล้วนเต็มไปด้วยสัญลักษณ์คิวอาร์โค้ด ที่เอาไว้ใช้จ่ายเงิน เพียงแค่คุณมีสมาร์ทโฟนในมือ ไม่ต้องพกบัตรอีรุงตุงนังมากมาย ไม่ต้องพกเงินสด สะดวก สบาย แม้กระทั่งบนรถเมล์ ที่แค่แตะคิวอาร์โค้ด ก็จ่ายเงินได้ เมืองจีน ไม่มีกระเป๋ารถเมล์เหมือนบ้านเรานะครับ

เราทั้งสี่คน ได้แต่รู้สึกทึ่งในนวัตกรรมของคนจีน ที่พัฒนาไปแบบก้าวกระโดด หนีจากประเทศของเราไปไม่เห็นฝุ่น ทั้งระบบขนส่งสาธารณะ และการเป็นสังคมไร้เงินสดอย่างแท้จริง ได้แต่หวังว่า บ้านเราจะเริ่มพัฒนาระบบต่างๆอย่างจริงจัง เหมือนที่จีนพัฒนา บ้างเสียที นี่แหละหนา ที่เขาบอกว่า ทรัพยากรที่สำคัญของจีนนั้นคือ ทรัพยากรมนุษย์.......

ไม่นานนัก เราก็มาถึงสถานีขนส่ง เราซื้อตั๋วไปแชงกรีล่า ทั้งสี่คน เคาน์เตอร์ซื้อขายตั๋ว สามารถสนทนาภาษาอังกฤษได้ แบบไม่มีปัญหา รถออกเวลา 11.00 น. เรานั่งเล่นรอเวลาหน้าสถานีขนส่ง มีชาวจีนชาวหน่าซีสองคน เดินถือตะกร้าขายของที่ระลึกไปมาอยู่หน้าสถานี เราสังเกตว่า เขามีบริการถักเปีย แบบชนเผ่าหน่าซีบริการด้วย

ชนเผ่าหน่าซีเป็นชนเผ่าโบราณของที่ลี่เจียง และมีวัฒนธรรมที่มีมาอย่างยาวนาน หนึ่งในนั้นคือการถักเปียผมด้วยเชือกหลากสี ผมแนะนำให้รุ้งลองถักเปียดู ซึ่งก็ต้องบอกว่าเหมาะกับรุ้งมากๆ

ใกล้ได้เวลาออกเดินทาง เราเข้าไปยังด้านในจุดนั่งรอของผู้โดยสาร


ก่อนเข้าจะต้องตรวจพาสปอร์ต และแสกนกระเป๋า เหมือนกับการขึ้นเครื่องบินอย่างไงอย่างงั้น เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยของประเทศจีน ที่เข้มงวด

ภายในห้องนั่งรอผู้โดยสาร มีเก้าอี้นวดไฟฟ้า ซึ่งมีไว้บริการคนจีน ที่สามารถจ่ายได้ด้วยการแสกนคิวอาร์โค้ด ผ่านอาลีเปย์

เรานั่งรอสักพัก จะมีประกาศเรียกให้ขึ้นรถ ตามเวลาที่กำหนด ดูเป็นมาตรฐานและเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้กระทั่งการขึ้นรถบัส

ได้เวลาออกเดินทางไปยังแชงกรีล่า..........เส้นทางที่น่าตื่นเต้น แล้วความสนุกจะเป็นอย่างไรต่อไป การเดินทางของเราจะราบรื่นเพียงใด โปรดติดตามตอนต่อไป........

ความคิดเห็น