อากาศที่หนาวเหน็บจนทำให้เท้าชา พร้อมเสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกดังขึ้น ปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาจากนิทรา ผมกดมือถือเช็คสภาพอากาศ......7องศาเซลเซียส เป็นฤดูร้อนที่หนาวจับใจ ผมลุกไปอาบน้ำแต่งตัว และปลุกรุ้งให้ตื่นขึ้นเตรียมตัว

08.00น. Driver ของเรา มาตรงเวลาเป๊ะๆ ไม่ขาดไม่เกิน เราร่ำลาอาฟ่งเจ้าของโรงแรมที่แสนดี แล้วรีบเดินตาม Driver ของเราไปยังรถของเขา ซึ่งจอดอยู่ห่างไกลประมาณ 500 เมตร ทันทีที่เราขึ้นรถ ผมควักมือถือออกมาพูดแล้วใช้กูเกิ้ลทรานสเลทแปลภาษา ว่าขอไปร้านขายยาก่อน เพราะเพื่อนของเราหนึ่งคนนั้น มีอาการแพ้ความสูงอย่างรุนแรงถึงขั้นหายใจไม่ออกเมื่อคืนนี้

ในระหว่างที่นั่งไปบนรถ ผมถามชื่อDriver ของเรา เพื่อให้สะดวกต่อการเรียกขานชื่อ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วเรายังไม่รู้จักกันเลย ผมเองก็เรียกเขา “มิสเตอร์ โอเค” มาตลอด เพราะพี่แกพูดภาษาอังกฤษได้ชัดเจนอยู่สองคำ คือคำว่า OK!! กับคำว่า NO!!

แทนคำตอบ Driver ของเราตอบชื่อมาซะยืดยาว เรียกยากชะมัด รุ้งเองซึ่งพอพูดภาษาจีนได้บ้าง จึงเรียกชื่อแบบง่ายๆ “หลงปู้” Driver ของเราหัวเราะเสียงดัง แล้วพูดออกมาว่า OK!!!.....ตามฟอร์ม เอาเป็นว่า แกคงชอบชื่อนี้ ต่อไปนี้ เราจะเรียกคนขับรถของเรา ว่าหลงปู้นะครับ

วันนี้หลงปู้ดูอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ต่างจากเมื่อวานที่หน้าตาเคร่งขรึม วันนี้หลงปู้เริ่มพูดคุยกับพวกเราเป็นภาษาจีน ผ่านแอพแปลภาษา ซึ่งเราก็พอจับใจความและตอบกลับการสนทนาได้ ทำให้การเดินทางวันนี้เป็นไปอย่างสนุกสนาน

หลงปู้จอดให้เราวิ่งไปซื้อยาที่ร้านขายยาแห่งหนึ่ง ซึ่งยาที่เราต้องการ คือยาน้ำหงจิ่นเทียน ยาแผนโบราณที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงกำลัง โดยเฉพาะ บรรเทาอาการแพ้ความสูง ซึ่งยาน้ำหงจิ่นเทียนนั้น เป็นยาหลอดเล็กๆเท่านั้นเอง

หลังจากซื้อยาแล้ว หลงปู้พาเราไปจองตั๋วรถนอนเพื่อกลับคุนหมิงในวันพรุ่งนี้ เผื่อกันซื้อตั๋วไม่ทัน หลังจากนั้น เราก็เข้าไปแวะกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แถวๆย่านสถานีขนส่งแชงกรีล่า เราเรียกหลงปู้เข้ามาร่วมโต๊ะกินข้าวเช้าด้วยกัน ซึ่งเราไม่รู้ว่า ตั้งแต่ขับรถมา เคยมีใครมาชวนแกร่วมโต๊ะแบบนี้หรือเปล่า แต่รู้สึกว่าหลงปู้ดูดีใจ และอารมณ์ดีมากๆ

วิวทิวทัศน์บนถนน เมืองแชงกรีล่า.....

การดินทางของเรากำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว จุดหมายปลายทางของเราวันนี้คือ เต๋อชิง เมืองแห่งภูเขาหิมะเหมยลี่สีทอง ราชินีแห่งภูเขาหิมะ มลฑลยูนนาน

รถวิ่งไปได้สักพัก เราเริ่มเห็นวิวของทะเลสาปนาปาไห่อยู่ข้างทาง จึงแวะถ่ายรูปกันสักหน่อย

ตาหลงปู้ Driver ของเรา กับท่าโพสของเขา......

รถตู้ VIP ของหลงปู้วิ่งลัดเลาะไปตามถนน ออกจากตัวเมืองแชงกรีล่าที่สงบเงียบ ผู้โดยสาร 4 คน มีผมนั่งข้างหน้า อีก3 คน นั่งด้านหลัง วิวสองข้างทางเริ่มสวยขึ้นตามลำดับ เรามองเห็นทุ่งหญ้าทะเลสาปนาปาไห่ ผมสะกิดหลงปู้แวะทะเลสาปนาปาไห่ให้เราด้วย

พอรถจอด ตาหลงปู้ของเราก็วิ่งทะยานไปคุยภาษาจีนกับเคาน์เตอร์ ที่ดูแลทะเลสาปโช้งเช้งๆ สักพักพี่แกก็หันมาถามว่า เราอยากขี่ม้ามั้ย เขาลดให้ จาก 250 หยวน เหลือ 100 หยวน....... สกิลติดตัวของหลงปู้คือ ต่อรองราคาให้ผู้โดยสารของเขาได้เก่งมาก แต่ด้วยความที่เราจะไม่ได้อยู่ที่นี่นาน เราจึงปฏิเสธไป ขอแค่เพียงได้เข้าไปเดินเล่นในทะเลสาปนาปาไห่ก็เพียงพอ

เราเดินเล่นในทะเลสาปนาปาไห่ ที่ตอนนี้น้ำแล้งกันอยู่ครู่ใหญ่ๆ ทะเลสาปนาปาไห่นั้นยังสามารถมองเห็นวิวของภูเขาหิมะสือข่า หรือ Blue moon valley Snow moutain เป็นฉากหลังได้ อีกด้วย

ไม่นานเราก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ ก่อนขึ้นรถ หลงปู้โวยวายเพื่อนของเราเป็นภาษาอังกฤษคำเดียวของพี่แก คือคำว่า No!!! ดังๆ เพราะเพื่อนเราแอบเบาะบนรถพับ ไอ้หมอนี้หวงรถโคตรๆ ฮ่าๆ เราทั้ง 4 คน รู้สึกขำขันกับท่าทางของหลงปู้ คนขับรถของเรา และทำให้การเดินทางของวันนี้ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

รถของหลงปู้ บรรทุกเรา 4 คน แล่นไปบนถนนที่วิวทิวทัศน์สองข้างทางสวยงาม มีเพลงจีนบนรถเปิดคลอๆ อยู่ๆหลงปู้ก็ร้องเพลงออกมา เป็นท่วงทำนองแปลกๆ จะว่าภาษาจีนก็ไม่ใช่ และที่สำคัญ มันไปคนละทิศคนละทาง คนละจังหวะกับเพลงที่เปิดบนรถเลย...... แรกๆเรา 4 คน รู้สึกขำขัน ผมพยายามพยักหน้าหงึกๆ ถามว่านั่นร้องเพลงอะไร

หลงปู้ไม่ได้หยุดร้องเพลง เพียงแต่ยกมือขึ้น พนมมือเหนือหัว แทนคำตอบว่า เขากำลังสวดมนต์........ นั่นอาจเป็นบทเพลงทำนองสรภัญญะ ภาษาทิเบต ซึ่งเคยรับทราบมาก่อนว่า ไกด์หรือ Driver ชาวทิเบตบางคน จะสวดมนต์ให้เราไปด้วย ในระหว่างขับรถ เพื่อคุ้มครองป้องกันภยันตรายและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นบนท้องถนน ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ที่เราเองก็ได้แต่มีความรู้สึก ที่ต่างไปจากบ้านเรา เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยพบเจอ

รถของเราวิ่งลัดเลาะไปตามหน้าผาสูงชัน ถนนที่นี่ สร้างไว้ตามไหล่เขาซึ่งหากพลาดละก็ หมายถึงรถทั้งคันจะพุ่งทะยานลงไปยังหุบเขาเบื้องล่างอย่างแน่นอน ดังนั้น คนขับรถที่นี่จะต้องมีความชำนาญในเส้นทางและมีสติอย่างยิ่งยวด

หลงปู้จอดให้เราพักถ่ายรูป บริเวณจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นวิวของแม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งขนาบไปด้วยภูเขาทั้งสี่ทิศทาง

เราถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ ทิวทัศน์สองข้างทางทำให้เรารู้สึกตื่นตาตื่นใจ กับสิ่งที่มองเห็นอย่างมาก ไม่นานนัก ภูมิประเทศก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นภูเขาแห้งแล้ง มีเพียงต้นหญ้าขึ้นเท่านั้น ไม่ต่างจากทะเลทราย อากาศเริ่มทวีความร้อนขึ้น ทั้งๆที่เมื่อครู่ที่ผ่านมา เรายังรู้สึกหนาวอยู่เลย

เป็นความแปลก ที่เมืองๆเดียว เส้นทางเดียวกัน แต่กลับภูมิประเทศที่แตกต่างกันลิบลับ อาจเป็นเพราะภูเขาสูง ที่บังเมฆฝนเอาไว้ จึงไม่สามารถทำให่้ฝนตกในบางพื้นที่ได้ ทั้งๆที่ไม่ไกลจากกันมาก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ชาวจีนและทิเบต ละทิ้งความพยายามในการสร้างถิ่นฐาน และทำเกษตรกรรม ในพื้นที่ทะเลทรายที่แห้งแล้ง

ผมเหลือบมองนาฬิกา เป็นเวลาใกล้เที่ยง หลงปู้ส่งสัญญาณเป็นภาษาไบ้ เป็นท่าทางว่าเดี๋ยวแวะกินข้าวเที่ยงกัน และรถของหลงปู้ ก็จอดยังร้านค้าร้านหนึ่ง

เราทั้ง 4 คน ยู่ในอาการที่หิวโหยพอสมควร จึงสั่งอาหาร แต่ที่ร้านนี้กลับมีเมนูแค่ภาษาจีนให้เรา แต่ไม่มีรูปภาพให้เราเลือกซะอย่างนั้น ทำให้เราต้องเปิดรูปภาพอาหารจีนจากในเน็ต ให้แม่ครัว แล้วถามว่าทำได้หรือไม่.... หนึ่งในนั้นคือข้าวผัดไข่ธรรมดาๆ ด้วยความกลัวว่าจะไม่อิ่ม เราบอกแม่ครัวว่า ขอข้าวผัดจานใหญ่นะ

ผ่านไป15 นาที แม่ครัวยกบางอย่างมาที่โต๊ะ...........แม่เจ้า ข้าวผัดจานใหญ่ที่สั่งไป แถวบ้านผมไม่ได้เรียกมันว่าจานใหญ่ แต่มันสมควรถูกเรียกว่า “กาละมัง” ซะมากกว่า


Reaction ของทั้ง 4 คน เมื่อเจอกับข้าวผัดไข่ยูนนานกาละมังยักษ์ หัวเราะกรามค้างจริงๆ.....

เราทั้ง 4 คน ขำก๊ากพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย หลงปู้ซึ่งออกไปสูบบุหรี่มาด้านนอก แล้วเดินเข้ามาเห็นข้าวผัดกาละมังยักษ์ อุทานตกใจออกมาเป็นภาษาจีน นั่นยิ่งทวีความฮาให้เราเข้าไปอีก เราทั้งหมดขำกันหน้าดำหน้าแดง ได้แต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวผัดกาละมังยักษ์ กับซุปผัก ที่ดูยังไง ก็คือผักต้ม ที่ไม่ได้มีความอร่อยเลยแม้แต่นิดเดียว แหม่ ถ้ามีน้ำพริกปลาทูบ้านเราติดมาสักหน่อย จะอร่อยมากเลยขอบอก…........ ภายใต้เสียงหัวเราะ มีน้ำตาซ่อนอยู่ มื้อนี้ โดนไป 200 หยวน ถึงกับแทบกระอักเลือด

เราออกเดินทางกันต่อไป ยังเส้นทางที่แสนกันดาร คล้ายภูเขาทั้งลูก จะเป็นทะเลทรายแห้งแล้งไปเสียหมด อากาศเริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นไม่ต่างจากอากาศในเมืองไทย แต่มีแสงแดดที่ทวีความรุนแรงขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับเมืองไทย


รถของหลงปู้จอดให้เราอีกครั้ง บริเวณจุดชมวิว “โค้งหัวเต่า” หรือโค้งแม่น้ำแยงซีเกียง

สนุกเขาล่ะ ทั้ง 4 คน....

เราวิ่งลงไปถ่ายรูปกันอยู่ครู่หนึ่ง ก็รีบวิ่งขึ้นรถ เพราะอากาศร้อนอบอ้าว รถของหลงปู้เริ่มไต่ขึ้นสู่ภูเขาสูงอีกครั้ง คราวนี้เราเริ่มเห็นต้นไม้หนาตาขึ้น อากาศเริ่มเย็นลง และเส้นทางคดเคี้ยวที่เลี้ยวเลาะไปตามหน้าผาสูงชัน

ไม่นานนัก ภาพของภูเขาหิมะก็เริ่มปรากฏตรงหน้าให้เราได้ยลโฉมเป็นครั้งแรก เราทั้ง 4 คนตื่นเต้นกันอย่างมาก ตามประสาคนพื้นราบที่ไม่เคยพบเจอภูเขาหิมะมาก่อน



ภาพที่เห็นตรงหน้านี้คือ ภูเขาหิมะไป๋หม่า ซึ่งเส้นทางที่จะผ่านไปยังเต๋อชิงนั้น ต้องบอกว่าสองข้างทางนั้นสวยงามเกินบรรยาย และเกินกว่าที่จะเก็บภาพมาได้ทั้งหมด เพราะมันสวยทุกอณูจริงๆ


เราจอดรถถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ของภูเขาหิมะไป๋หม่ากันนิดๆหน่อยๆก็รีบขึ้นรถออกเดินทางต่อ

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่รถวิ่งลอดอุโมงค์ที่มืดมิด พอรถวิ่งพ้นโผล่ปลายทางอุโมงค์ ผมอุทานออกมาว่า โอ้โห!!! เพราะสิ่งที่เห็นตรงหน้านี้คือ ความยิ่งใหญ่อลังการของภูเขาหิมะเหมยลี่ ที่มีหิมะปกคลุมเต็มไปหมด สะท้อนกับแสงแดดยามบ่าย เป็นภาพที่เห็นแล้วแทบ น้ำตาคลอด้วยความดีใจ หลงปู้เองเมื่อเห็นอาการของเราแล้วก็ได้แต่หัวเราะดีใจ

ในระหว่างที่รถวิ่ง เราสามารถมองเห็นภูเขาหิมะเหมยลี่ได้ ตลอดเส้นทางที่วิ่งไป เราดื่มด่ำกับภาพตรงหน้า ในเวลานั้นเป็นเวลา บ่าย 3 แสงแดดยามบ่ายที่กระทบภูเขาหิมะ ทำให้ภูเขาทั้งลูกดูสว่างสไว ไม่นานนักรถก็เข้าไปจอดยังจุดชมวิวภูเขาหิมะเหมยลี่.....

ภูเขาหิมะเหมยลี่นั้น จัดว่าเป็นภูเขาหิมะที่สวยที่สุด ในมลฑลยูนนานก็ว่าได้ ตั้งอยู่ที่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเต่อชิง มีความสูงโดยเฉลี่ย 6,000 กว่าเมตร ยอดที่สูงที่สุด สูงถึง 6,740เมตร เหนือระดับน้ำทะเล

ในเทือกเขาประกอบไปด้วยภูเขาทั้งหมด 13 ยอด ถูกขนานนามว่าเป็นบุตรแห่งกษัตริย์ทั้ง 13 หรือที่เรียกกันว่า “คาวาเกโป”

ตามตำนานพุทธศาสนาของชาวทิเบต ภูเขาหิมะเหมยลี่ถูกจัดเป็นอันดับ 1 ของภูเขาแห่งเทพ ทั้งแปดแห่งทิเบต และปัจจุบัน ยังไม่มีผู้ใดสามารถพิชิตยอดเขาได้ เปรียบเหมือนดั่งสาวพรหมจรรย์ ที่ไม่เคยต้องชายใด

ตรงจุดชมวิวนั้น มีธงมนตราทิเบต ปลิวสะบัดไปตามลมอยู่ตลอดเวลา อากาศหนาวและลมเย็นยะเยือก พัดจากภูเขามะ เหมือนเรายืนอยู่ในตู้เย็นยังไงยังงั้น

เธอขี้อายและไม่ค่อยเผยตัวตน ภายใต้ก้อนเมฆที่บดบัง จากสถิติของคนท้องถิ่น เราสามารถมองเห็นยอดภูเขาเหมยลี่ต้องแสงแดดสีทอง โดยไม่มีเมฆมาบดบังได้ เพียงแค่ 6 ครั้งต่อปี เท่านั้นเอง

ไม่เคยคิดว่าจะได้มีภาพภูเขาหิมะที่ตัวเองถ่ายไว้เป็นคอลเลคชั่นการท่องเที่ยว จนกระทั่งทริปนี้

เราเองก็อยากจะวัดดวงดูสักครั้ง กับภูเขาหิมะเหมยลี่ ว่าจะได้มีบุญได้พบเจอภูเขาหิมะเหมยลี่สีทอง อย่างคนอื่นๆหรือไม่ เราดื่มด่ำถ่ายรูปภูเขาหิมะเหมยลี่กันอยู่ครู่ใหญ่ ก็ได้เวลานั่งรถ เข้าสู้ที่พักของเรา

ที่พักของเราในค่ำคืนนี้ มีมูลค่าเพียง 150 หยวน ต่อ คืน เท่านั้นเอง

ในขณะที่เรา สามารถมองเห็นวิวของภูเขาหิมะเหมยลี่ และเทือกเขา คาวาเกโปได้ ตลอดเวลาที่เราตื่นลืมตา ช่างเป็นที่พักหลักร้อย วิวหลักล้านจริงๆ จะมีอะไรคุ้มค่ามากไปกว่านี้อีกมั้ย

บรรยากาศในตัวเมืองเต๋อชิง ที่ดูเป็นเมืองเล็กๆที่ไม่ใช่ทางผ่าน

ร้านค้าต่างๆในเมืองเต๋อชิงแสนสงบเงียบ ในยามค่ำคืนมีเพียงร้านค้าไม่กี่ร้าน ไม่มีแหล่งเริงรมย์

วันนี้เมฆหมอกยังปกคลุมยอดเขาหิมะเหมยลี่อยู่มาก ผมพยายามนั่งเฝ้าหาช่วงเวลาที่ฟ้าเปิดเป็นใจ ขอแค่สักเสี้ยววินาทีได้เห็นยอดเขาเหมยลี่ก็พอ

แล้วช่วงเวลาแค่เสี้ยววินาทีนั้น ก็เกิดขึ้นจริงๆ มันเป็นเสี้ยววินาทีจริงๆครับ เท่านั้นก็ดีใจมากๆแล้ว มารอลุ้นกันต่อว่าพรุ่งนี้ จะได้เจอภูเขาหิมะ กระทบแสงสีทองของพระอาทิตย์ยามเช้าหรือไม่.........


เช้าตรู่ ผมลุกขึ้นมาตั้งแต่ตี 5 เพื่อรอลุ้นว่า วันนี้ฟ้าจะเปิดเป็นใจหรือไม่ ผมเอื้อมมือเปิดหน้าต่างบานใส แล้วเพ่งสายตาไปยังยอดเขา......สิ่งที่เห็นคือ เมฆหมอกที่หนาจนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย

ดูเหมือนเราจะโชคร้าย ที่ฟ้าปิด ทำให้ไม่ได้เห็นภาพภูเขาหิมะเหมยลี่สีทองเสียแล้ว........น่าเสียดายจริงๆ

ผมอาบน้ำอาบท่า รอลุ้นที่อยู่ริมหน้าต่าง จนกระทั่งฟ้าสาง ไม่มีวี่แวววว่าฟ้าจะเปิด แต่กลับมาเมฆฝนครึ้มเข้ามาบดบังเมฆขาวอีกชั้นหนึ่ง ความหวังจะเห็นเหมยลี่ พังทลาย.....

ด้วยความเสียดาย ผมกับรุ้งเดินลงไปด้านล่างคือวัดเฟ่ยไหลซื่อ ซึ่งมีจุดชมวิวภูเขาหิมะ ผู้คนมากมายต่างเฝ้ารอการปรากาฏตัวของแม่นางเหมยลี่ แต่เหมือนนางจะขี้อาย ไม่ยอมเผยตัวตน และซ่อนตัวอยู่ใต้ภายใต้เมฆที่หนาทึบ ที่นี่ผมเจอเพื่อนชาวไทย ที่มากับทัวร์อีกกลุ่มหนึ่ง เราสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง เขาเสียดายมากๆ ที่ฟ้าไม่เป็นใจ ทำให้ไม่สามารถบันทึกภาพของภูเขาหิมะเหมยลี่สีทองได้ อย่างน่าเสียดาย

แต่ถึงกระนั้น เราก็ยังเดินดูกิจกรรมภายในวัด พระลามะกำลังสวดมนต์ทำพิธีกรรมบางอย่างอยู่ และสุมกิ่งสนเข้าไปในเตาเผา บางคนสวดมนต์เป็นภาษาทิเบตเสียงดัง

หินสลัก ด้วยภาษาทิเบต

เราเดินดูเจดีย์ ที่สร้างไว้สักการะความศักดิ์สิทธิ์ของยอดเขาคาวาเกโป ทั้ง 13 ยอด

กองหินที่สร้างไว้รำลึกถึงผู้กล้าทั้ง 17คน ที่เคยพยายามพิชิตยอดเขาคาวาเกโปแห่งนี้ แต่ความฝันของพวกเขาล่มสลายลงไปพร้อมกับ การถูกฝังร่างไว้ภายใต้ภูเขาหิมะที่ใดที่หนึ่งแห่งนี้ หลังจากล้มเหลวในการพิชิตยอดเขาคาวาเกโปแห่งนี้ จนต้องแลกมาด้วยชีวิต

เราเห็นบางคนก้มลงกราบแบบทิเบต หรือที่เรียกกันว่า อัษฎางคประดิษฐ์ไปยังหุบเขาเบื้องหน้า กล่าวคือ การก้มลงกราบราบไปทั้งตัว....

ผมกับรุ้ง เราสองคนนึกสนุก อยากลองก้มลงกราบแบบอัษฎางคประดิษด้วย ในใจก็ภาวนา ว่าทำขนาดนี้แล้ว ขอให้ฟ้าเปิดเป็นใจเสียหน่อยเถอะ

09.00น. ผ่านไป ฟ้าไม่เปิดเลยแม้แต่น้อย เราคงไม่อยู่รอ ให้ฟ้าเปิด จำต้องตัดใจ เดินทางกลับไปยังแชงกรีล่า เพื่อเดินทางกลับประเทศไทย แม่นางเหมยลี่จะรู้ไหมนะ ว่าเธอทำให้เราผิดหวัง

"การรอคอยบางอย่าง อาจทำให้เราผิดหวัง แต่เมื่อหวนคิดถึงเรื่องราวการเดินทาง ก่อนที่เราจะตั้งใจมาเฝ้ารอบางอย่าง มันคุ้มค่า และทำให้เรามีความสุข แม้ว่าเราอาจจะผิดหวังกับสิ่งที่เฝ้ารอก็ตาม"

เรานั่งรถกลับ ตามเส้นทางเดิมที่เราจากมา เราได้แต่มองเห็นภาพภูเขาหิมะเหมยลี่อยู่ไกลๆ บนถนน ผมถอดใจ เก็บกล้องยัดลงกระเป๋าแล้ว ในระหว่างที่เรากำลังจะออกจากเขตเต๋อชิง พลันนั้น ฟ้าเปิดกว้าง สว่างสไวเป็นใจ แม่นางเหมยลี่ปรากฏกายแล้ว...... ในขณะที่ผมไม่มีกล้องอยู่ในมือ

ภาพของภูเขาหิมะเหมยลี่สีทอง ที่เคยถูกบันทึกไว้ ในวันที่ฟ้าเป็นใจ....

เธอคงไม่อยากให้เราบันทึกภาพของเธอกลับไป หรือเหตุใดก็ช่าง ผมไม่ควักกล้องออกมาถ่าย ไม่ขอให้หลงปู้หยุดรถ.....เพียงแต่เฝ้ามองแม่นางเหมยลี่อยู่เงียบๆ พร้อมกับความปิติใจ เพื่อนของเราอีก 3 คน ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน


นึกถึงฉากเรื่องหนึ่งในหนัง Walter Mittiy ขึ้นมาได้..... บางทีเราก็ไม่ได้อยากคว้ากล้องขึ้นมาถ่ายหรอก เราแค่อยากเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลานั้นๆ เท่านั้นเอง.......


ลาก่อนนะ แม่นางเหมยลี่ ถ้ามีโอกาส เราจะกลับมาอีก.....สัญญาได้ไหม ว่าครั้งหน้า เธอจะเผยตัวให้เราได้เห็นความงามของเธอ..... ลาก่อน

รถของเราวิ่งไปบนถนนที่คดเคี้ยว เรานั่งอยู่บนรถด้วยความรู้สึกใจหายที่ต้องจากที่นี่ไปเสียแล้ว....

หลงปู้ควักลูกประคำออกมา สวดมนต์พึมพำเป็นภาษาทิเบต พร้อมนับลูกประคำไปด้วยมือหนึ่ง ในขณะที่มือหนึ่ง บังคับพวงมาลัยรถ ที่วิ่งเลียบเลาะไปตามหน้าผาสูง น่าแปลกที่เรากลับรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาดกับการกระทำของเขา เขาสวดมนต์พึมพำๆอยู่ครู่ใหญ่ ก็วางลูกประคำเก็บไว้ยังที่เดิม จรดมือขึ้นพนมเหนือหน้าผาก แล้วเอื้อมมือมาตบไหล่ผม พร้อมหันมายิ้มให้ พูดเป็นภาษาจีนประมาณว่า “ฉันสวดมนต์ให้พวกคุณทั้งหลาย ปลอดภัยจากการเดินทางครั้งนี้และเดินทางถึงบ้านของคุณโดยสวัสดิภาพ”...... และนั่น เป็นครั้งแรก ที่ผมหลับตาลง บนรถของหลงปู้................


หลายชั่วโมงต่อมา รถของเราวิ่งเข้าสู่เขตแชงกรีล่า เสียงทำนองเพลงสรภัญญะของหลงปู้ก็ดังขึ้นเหมือนเดิม เมื่อรถวิ่งเข้าสู่เขตแชงกรีล่า........... ผมไม่รู้ว่านั่นคือบทสวดอะไร แต่ก็ได้แต่สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นบทสวดที่บรรยายถึงดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ บ้านเกิดเมืองนอนของเขาเอง “แชงกรีล่า”


วันนี้เพื่อนของเราสองคน ขอแยกตัวกลับไปเที่ยวยังลี่เจียงให้หนำใจก่อน เพราะอยากขึ้นยอดภูเขาหิมะมังกรหยก ทำให้ผมกับรุ้ง จะต้องอยู่ที่แชงกรีล่านี้เพียงลำพัง สองคน.....


หลงปู้พาผมกับรุ้งไปส่งที่ทางเข้าวัดลามะซงจ้านหลิน ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสุดท้าย ที่เราจะได้เที่ยวในแชงกรีล่า

วัดซงจ้านหลิน เป็นวัดทิเบต ที่ใหญ่ที่สุดในมลฑลยูนนาน สถาปัตยกรรมการสร้างแบบเดียวกับ วัดโปตาลา ในกรุงลาซา เขตปกครองตนเองทิเบต แต่ย่อส่วนลงมา ทำให้ที่นี่ถูกขนานนามว่า “วัดโปตาลาน้อย” วัดที่นี่ยังทำมาจากทองทั้งหลัง ที่นี่จึงเป็นแหล่งศูนย์รวมศรัทธาของประชนชาวเมืองแชงกรีล่า ที่มีต่อพระพุทธศาสนา และในวัดยังมีพระลามะ จำพรรษาอยู่เป็นจำนวน 700 รูปอีกด้วย

เราเดินเล่นยังจุดชมวิว ที่มีทัศนียภาพที่งดงามราวกับคำบรรยายในนิยายของเจมส์ ฮิลตัน มีทะเลสาปที่เต็มไปด้วยฝูงนกเป็ดน้ำ และทุ่งหญ้าเขียวขจี ที่มีดอกไม้ป่าแซม มีฉากหลังเป็นวัดซงจ้านหลินสีทองเหลืองอร่าม

วัวจามรี มีให้เห็นได้ทั่วไปในทุ่งหญ้า บริเวณว่าซงจ้านหลิน

มุมมหาชน


ายในวัดมีทัวร์นักท่องเที่ยวจีนเต็มไปหมด ทางขึ้นไปบนวิหารค่อนข้างสูงและชัน จึงต้องค่อยๆเดินขึ้นไป เพื่อไม่ให้เกิดอาการแพ้ความสูง ซึ่งอาจทำให้เราวูบเป็นลมหมดสติได้

ภายในวิหารนั้นมีพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่รูปลักษณ์แปลกประหลาดผิดแผกไปจากพระพุทธรูปของบ้านเราอยู่พอสมควร รูปปั้นของพระโพธิสัตว์ และเทพเจ้าตามความเชื่อของชาวทิเบต ทั้งยังมีภาพวาดบนผนัง ที่บอกเล่าเรื่องราวต่างๆมากมาย เสียดายที่เราไม่สามารถนำกล้องถ่ายภาพ ถ่ายภาพด้านในได้ ทำได้เพียงบันทึกไว้ในความทรงจำที่ดีของเราสองคน

บริเวณหน้าทางเข้าวัด

มุมด้านบนของวัดซงจ้านหลิน ที่มองเห็นภูมิทัศน์ของเมืองแชงกรีล่าได้อย่างทั่วถึง

พระลามะทิเบต ที่กำลังปรับปรุงภูมิทัศนบริเวณวัดซงจ้านหลิน

ภาพของศรัทธา ที่ชาวทิเบต มีต่อพระพุทธศาสนาของเขา แม้กระทั่งการเดินทางไปยังที่หนึ่ง ยังต้องก้มลงกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ แล้วค่อยๆลุกขึ้นเดินไป......ซ้ำๆ ซ้ำๆ

เราเดินถ่ายรูปเล่นกันอยู่พักใหญ่ๆ ก็ได้เวลากลับลงไปด้านล่าง

หลงปู้มารับเราที่จุดนัดพบตามเวลา เพื่อไปส่งเราที่สถานีขนส่งแชงกรีล่า วันนี้เราคงต้องลาจากเมืองแชงกรีล่าแล้ว คิดแล้วก็รู้สึกใจหาย ระยะเวลาแค่ไม่กี่วันที่มาอยู่ที่นี่ ทำไมมันช่างรู้สึกผูกพันกับสถานที่เหล่านี้อย่างประหลาด.....

เราร่ำลาหลงปู้ และจ่ายเงินค่าจ้างสำหรับการเดินทางทั้งหมด ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับแล้ว ขอบคุณสำหรับเสียงหัวเราะ และการดูแลที่ดีมากๆ หลงปู้ช่วยเป็นธุระให้เราหลายอย่างเลยล่ะ โชคดีนะหลงปู้.....

เราสองคน นั่งรอรถนอน ที่กำลังจะเข้าเทียบท่าที่สถานีขนส่ง ไม่นานนัก รถก็มาตรงเวลา นี่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้นอนบนรถนอนของจีน รถนอนระยะยาว ที่วิ่งไกลเป็นเวลาถึง 12 ชั่วโมง เวลารถออก คือ หกโมงเย็น

สภาพบนรถนอนที่แออัด ที่จะต้องวิ่งไปยังเมืองคุนหมิง เป็นเวลา 12 ชั่วโมงด้วยกัน

นอนบนรถนอน ต้องสวมผ้าปิดปากปิดจมูก เพราะสารพัดกลิ่น ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นบุหรี่ กลิ่นถุงเท้าเน่า ฯลฯ

บนรถนั้น มีคนหลากหลายแบบ บางคนไม่รู้ประสา สูบบุหรี่บนรถ ผมจ้องไปด้วยสายตาพิฆาต ถึงจะดับบุหรี่ ใจก็อยากจะภาษาจีน แต่ดันพูดไม่เป็น คนแบบนี้ใช้ไม่ได้ ไม่รู้จักมารยาทสากลกันจริงๆ


รถวิ่งยาว 12 ชั่วโมง เราทั้งคู่ก็หลับยาวเช่นกัน …....ตีสี่ รถจอดที่จุดพักนอน คนขับจอดรถนอนอย่างจริงจัง ถึง 1 ชั่วโมง ก่อนที่รถ จะวิ่งเข้าสู่เมืองคุนหมิง ในเวลาเช้า ถึงสถานีขนส่งคุนหมิง 6 โมงตรงพอดิบพอดี ช่างเป็นการเดินทางที่ยาวนานจริงๆ


เราลงจากรถ แล้วประชุมกันนิดหน่อยว่า จะไปยังจัตุรัสจินปี้ กันเสียก่อนกลับ เมื่อลงรถแล้ว เราก็ขึ้นรถเมล์ สาย 82 เพื่อไปยังจัตุรัสจินปี้ หรือที่คนจีนเรียกกันว่า จิหม่าปี้.....โดยถามคนท้องถิ่นที่นั่น ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้

จัตุรัสจินปี้ เป็นย่านท่องเที่ยวของเมืองคุนหมิงที่เป็นที่นิยมของหมู่วัยรุ่นเมืองคุนหมิง อารมณ์ก็จะคล้ายๆ สยาม ที่บ้านเรา มีร้านค้าขายอาหารอยู่หลากหลาย

วิวดีๆอย่างนี้ แหม อย่างกะถ่ายแบบ.....

มีห้างสรรพสินและเป็นแหล่งช็อปปิ้ง ของเมืองคุนหมิง แต่ตอนที่เราไปนั้นเป็นเวลาเช้า ร้านรวงต่างๆยังไม่ทันจะเปิด เราก็ได้แต่เก็บภาพ จัตุรัสจินปี้ไปพลางๆ ในระหว่างเดินดูถนนหนทาง

เราพบเจอกับจักรยานยืมขี่สำหรับคนจีนเท่านั้น การจะยืมรถจักรยานได้ จะต้องมีบัตรประชาชนจีนเท่านั้น และจำต้องนำมาคืนให้ตรงเวลา

คุนหมิงเป็นเมืองที่สะอาดสะอ้าน รถเมล์และรถยนต์ วิ่งเป็นระเบียบเรียบร้อย บนรถเมล์ไม่ต้องใช้เงินสด เพราะทุกๆที่เป็นสังคมไร้เงินสดของแท้ กับสัญลักษณ์ของอาลิเปย์ และวีแชทเปย์ ที่แปะอยู่ทุกๆที่


เราฝากท้องกับแม็คโดนัลจีน ที่รสชาติต้องบอกว่า อร่อยกว่าแม็คโดนัลที่เมืองไทยมากๆ โดยเฉพาะ เฟรนช์ฟราย ที่นำมันฝรั่งไปชุบกับเกล็ดขนมปังแล้วมาทอด ให้รสสัมผัสที่แตกต่างจากเฟรนช์ฟรายบ้านเราอย่างสิ้นเชิง ไก่ย่าง ที่รสชาติกลมกล่อม กินคู่กับเบอร์เกอร์ ที่ทำด้วยแป้งซาลาเปาของจีน รสชาติแปลกประหลาดไม่คุ้นลิ้น ต่างจากบ้านเรา


ท้องอิ่มเราก็เดินทางต่อ ด้วยแท็กซี่ ไปยังสนามบินฉางสุ่ย เรานั่งเครื่องกลับบ้าน ด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า แต่อิ่มเอมใจ เป็น 6 วัน ที่สนุก และคงเป็น 6 วัน ที่จะไม่มีวันลืม

สิ่งที่ได้จากการท่องเที่ยวในทริปใหญ่ครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นโลกในมุมมองที่กว้างขึ้น ใหญ่ขึ้น เราได้มองเห็นสิ่งต่างๆที่ประทับใจ ของประเทศจีน ความเจริญ การพัฒนาอย่างก้าวไกลของชาติจีนนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า จีนนั้นยิ่งใหญ่ สมกับเป็นมังกร แห่งโลกตะวันออกจริงๆ และเราก็ได้แต่หวังว่า ประเทศเรา จะเจริญรุดหน้า เหมือนที่จีนพัฒนาไม่หยุดนิ่งบ้างเสียที


การออกจากเซฟโซน มันทำให้เรากล้าขึ้น เข้มแข็งขึ้น แกร่งขึ้น และทำให้เราหัดเรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จักหลงทางบ้าง รู้จักวางแผน รู้จักเตรียมการ รู้จักแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ดึงเอาศักยภาพ ทางด้านความคิด วิเคราะห์ วางแผน การทำงานเป็นทีม และการสื่อสารทุกรูปแบบ ออกมาใช้ ยังดินแดนที่ไม่ใช่บ้านของเรา ดินแดนสนทยา ที่เราไม่เคยย่างกรายเข้าไป ในวันที่คุณกล้าที่จะเผชิญกับความกลัวสารพัดรูปแบบจากความไม่รู้ วันนั้นแหละ คือวันที่คุณจะรู้จักตัวตนของคุณเอง ว่าเราอยู่จุดไหน.....


ชีวิตมันมีเวลาเหลือน้อย อยากทำอะไร อยากไปที่ไหน จงออกไป เผชิญหน้ากับความกลัว เผชิญหน้ากับสิ่งที่ท้าทาย แล้วสุดท้าย คุณเท่านั้นเองที่จะตอบได้ ว่าคุณได้อะไรกลับมา..........


ขอบคุณทุกท่านที่อ่านกันมาจนถึงบรรทัดนี้ สัญญาว่าทริปหน้าหากมีโอกาศ จะพาไปเที่ยวอีกนะครับ ขอให้คุณโชคดี กับทุกการเดินทางของคุณเอง ….......สวัสดี

เที่ยวก่อนแก่

 วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2562 เวลา 22.46 น.

ความคิดเห็น