รถบัสจากลี่เจียง วิ่งไปบนเส้นทาง ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยภูเขาสูง พาดผ่านด้วยแม่น้ำแยงซีเกียง สีในแม่น้ำขุ่นเป็นสีเหลืองจากตะกอนดิน สมดังคำที่ชาวจีนเรียกมันว่า “แม่น้ำเหลือง” ซึ่งเป็นแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวจีนมาอย่างยาวนาน

เรา 4 คน ตื่นตาตื่นใจกับภูมิประเทศที่แปลกตา บ้างเป็นภูเขาสูง มีต้นสนอยู่บนภูเขาเต็มไปหมด บ้างเป็นอุโมงค์ ที่ตัดผ่านภูเขาทั้งลูก แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมและความอุตสาหะของแรงงานจีน ที่แม้กระทั่งภูเขา ก็เจาะทะลุทำถนนได้ บ้างเลียบไปตามแม่น้ำแยงซีเกียง บ้างเป็นเขตกสิกรรม มองเห็นบ้านเรือนของชาวจีนยูนนานแปลกตา ภาพเหล่านั้น ทำให้ผมยากที่จะหลับได้ลง....

รถบัสวิ่งไปบนถนนอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก็จอดพักยังจุดพักรถ ซึ่งเป็นย่านชนบท ห่างไกลจากความเจริญของตัวเมือง ที่นี่แหละ ที่ทำให้เราได้พบกับความเป็นจีนที่แท้จริงเสียที

ในสถานีพักรถมีสินค้าและอาหาร ขายอยู่อย่างหลากหลาย

ชีส ที่ทำจากนมของวัวจามรี และของขบเคี้ยวแปลกๆอีกมากมาย

ผลไม้หน้าตาประหลาดๆที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน

แต่ก่อนจะซื้อหาอะไร ด้วยการเดินทางไกลๆ จึงจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำกันเสียก่อน ชาวจีนส่วนใหญ่แต่งตัวดี บางคนใส่สูทหรูหรา เสื้อผ้าดีๆทั้งนั้นที่ลงมาจากรถ ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว......

ทันทีที่เข้าไป ก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง ห้องน้ำตามแถบชนบทนั้น เป็นห้องน้ำโอเพ่นแอร์.......ไม่มีประตู.... มีเพียงคอกกั้น ตามด้วยราง ที่มีวัตถุสีดำมะเมื่อมบ้าง น้ำตาลบ้าง วางพาดอยู่ในราง ยาวไปตลอดทุกห้อง ภาพที่ผมเห็นคือ เพื่อนร่วมรถบัสชาวจีนที่แต่งตัวดี กำลังนั่งขี้ทั้งชุดสูท สายตาเรามองสบกัน ดูเหมือนเขาไม่มีความเขินอายใดๆอยู่ในแววตา...... กลายเป็นผมที่ก้มหน้าก้มตา รีบทำธุระส่วนตัวให้เสร็จๆไปด้วยความรู้สึกประหลาด

รถจอดพักประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ได้เวลากลับขึ้นรถเหมือนเดิม กลุ่มเราทั้ง 3 คน ซื้อขนมมานั่งกิน มีเพียงผม ที่ไม่ได้ซื้ออะไรติดมือขึ้นมากินเลย

รถบัสเริ่มวิ่งไต่ขึ้นสู่ที่สูงไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ ภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นภูเขาที่ไม่ค่อยมีต้นไม้ กลายเป็นทุ่งหญ้า บ้างเลียบเลาะไปตามหุบเหวลึกซึ่งด้านล่างเป็นแม่น้ำแยงซีเกียง ดูหวาดเสียวลึกๆ ครู่ใหญ่ๆ โดยไม่ทันรู้ตัว ภูมิประเทศก็เปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้า ที่เต็มไปด้วยฝูงจามรีเลี้ยง และฝูงแกะ มีดอกคาโนล่าสีเหลือง แทรกตัวอยู่เต็มทุ่งไปหมด ภาพที่เห็นราวกับเราอยู่ยังดินแดนในฝัน หรือไม่งั้นก็ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ก็ไม่ปาน สัญลักษณ์ธงมนตราทิเบต เริ่มมีให้เห็น ตามร้านรวงต่างๆเริ่มปรากฏภาษาทิเบต...........

เราเข้าสู่เขตแชงกรีล่า ดินแดนในตำนานแล้วสินะ

ชั่วอึดใจเดียว รถบัสก็พาเราวิ่งเข้าสู่เขตตัวเมือง อาคารบ้านเรือนประหลาดๆ มีสีเหลืองทองและสีแดง ก็ปรากฏให้เห็น เมืองแชงกรีล่าดูสงบเงียบ และไม่วุ่นวายเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับลี่เจียง

รถบัสวิ่งเข้าไปจอยังภายในสถานีขนส่งแชงกรีล่า เราทั้ง 4 คน เดินออกมาอย่างไร้ทิศทาง เพราะไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหนดี มีชาวจีนเข้ามาถามว่าเราจะไปไหนเป็นภาษาจีนอยู่สองสามคน เราพยายามมองหาแท็กซี่แต่ก็ไม่มี จนกระทั่ง ชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่ง ผิวคล้ำจากแดดเผา ทำให้หน้าของเขาดูเป็นสีดำแดงระเรื่อตลอดเวลา เขาเดินอาดๆเข้ามา ท่าทางดูวางมาดนักเลง พูดจาด้วยภาษาจีนกลาง เสียงดัง ซึ่งเราฟังไม่ออก แต่คงถามว่าเราจะไปไหน ผมพูดภาษาอังกฤษใส่ไป......เขานิ่ง พร้อมกับควักโทรศัพท์ ขึ้นมาพูดภาษาจีน ใส่แอพพลิเคชั่นแปลภาษาเป็นภาษาอังกฤษ ถึงตอนนั้นเริ่มมีคนเข้ามามุงเราทั้ง 4 คนมากขึ้น คล้ายจะกดดัน

ผมถามเขาเป็นภาษาอังกฤษ ใส่แอพแปลภาษาของเขา ว่าไปที่วัดต้าฝอ ราคาเท่าไหร่ เพราะที่พักของเราอยู่แถวๆนั้น ชายร่างยักษ์คนนั้น กดเครื่องคิดเลขเป็นเลข 100....... ผมตกลง เขาพูดด้วยเสียงอันดังกลับมา OK!!!!

เรา 4 คนเดินขึ้นรถตู้ของชายร่างยักษ์คนนั้น รถวิ่งออกไปครู่หนึ่งก็เริ่มชะลอ ชายผู้ขับรถเริ่มหันมาถามโดยพูดใส่แอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์ ว่าต้องการเช่าเหมารถไหม...... ผมตอบเป็นภาษาอังกฤษไป เขานิ่ง...... นี่แกจะฟังภาษาอังกฤษไม่ออกเลยใช่มั้ยหือ...... ตายห่าละ ไม่มีใครพูดภาษาจีนได้สักคนใน 4 คนนี้ สักครู่หนึ่ง ชายร่างยักษ์ก็กดโทรศัพท์หาใครสักคน พูดเป็นภาษาจีนโวยวายเสียงดังอยู่พักนึง ก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมคุย ปลายสายสนทนาตอบกลับมา ผมถาม Can you speak english? เขาตอบกลับมา Yes.... ผมดีใจมาก

ปลายสายนั้นพูดเป็นภาษาอังกฤษใส่ผม ถามว่าคุณต้องการเช่าเหมารถเพื่อท่องเที่ยวไปยังสถานที่ใดที่หนึ่งหรือเปล่า ผมตอบเขาว่า ขอปรึกษาเพื่อนก่อน เรา 4 คน มานั่งคำนวณกันว่า หากนั่งรถบัสไปเต๋อชิง จะต้องจ่ายคนละเท่าไหร่ ….. ผมถามปลายสายไปว่า หากเหมารถ จะต้องเสียวันละเท่าไหร่


600 หยวนต่อวัน เขาตอบ..... เฉลี่ยแล้ว คนละ 150 หยวน ต่อวัน ซึ่งคำนวณแล้ว แพงกว่าการขึ้นรถบัสไปกันเองอยู่บ้าง แต่ถ้าหารกันก็จะประหยัดไปได้อยู่หน่อยๆ จึงตอบตกลง......


ชายชาวจีนร่างยักษ์คนนั้นดูท่าทางดีใจมากเมื่อเราตอบตกลง แรกเริ่มเรากลัวว่าเขาจะโกงเราเหมือนกัน เพราะเราต้องจ่ายค่ายมัดจำให้เขาก่อน 200 หยวน แต่เขาก็บอกให้เรา ถ่ายรูปตัวเขา พร้อมรถของเขาเอาไว้ วันพรุ่งนี้จะมารับตามนัด......และนับจากนี้ไป คือเรื่องราวฮาๆ ของ Driverและรถของเขา เพื่อนร่วมทริปโดยบังเอิญของเรา ผู้ที่ทำให้ทริปของเรา เป็นทริปที่โหด มันส์ ฮา มากกว่าทุกๆทริปที่เคยผ่านมา.....

Driver ของเรา ตัวละครลับ และรถของเขา ผู้ที่จะมาเติมเต็มความป่วน ความฮา และสีสันในทริปของเรา

บอกว่าซอยตันๆ แต่พี่ก็ก็ยืนยันที่จะขับเข้าไปจนสุดซอย

หลังจากลงรถ เราถามเขาว่า เขารู้จักโรงแรม Kersang's Relay Station มั้ย พี่แกก็พยักหน้าหงึกๆ พร้อมเสียงพูดดังๆว่า OK!!!! เราก็เบาใจว่าเออ แกคงรู้จัก สักพักหนึ่งพี่แกก็เดินลากกระเป๋าเพื่อนนำเราไป แล้วก็ตะโกนถามคนแถวนั้น ว่าโรงแรมไปทางไหน.............ไหนว่ารู้จักฟะ.......

สุดท้าย กลายเป็นเราที่ต้องเปิด GPS เพื่อตามหาพิกัดของโรงแรม แต่ก็ไม่ยากเกินไป เพราะเราก็มาถึงโรงแรมในที่สุด


โรงแรม Kersang's Relay Station มีชายหนุ่มชาวจีนร่างเล็ก ชื่อว่าอาฟ่ง เป็นเจ้าของโรงแรม และดูแลที่พักนี้อยู่เพียงคนเดียว เมื่อเข้าไปถามไถ่ พบว่าเขาพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วว่องไว ไม่มีปัญหา อีกทั้งยังช่วยคอนเฟิร์มราคาเช่าเหมารถของเรา ว่าราคานี้ถูกต้องและไม่โดนโกง ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจคนขับรถคนนี้ขึ้นมาหน่อยนึง เราจัดการเรื่องห้องพักกันอยู่ครู่ใหญ่ ก็แยกย้ายกับคนขับรถ และนัดหมายให้เขามารับเราในวันรุ่งขึ้นที่นี่ เวลา 8.00 น.


โรงแรมนี้ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าแชงกรีล่า ตัวโรงแรมสามารถมองเห็นวิวของวัดต้าฝอซื่อ ได้โดยแค่ออกมาตรงล็อบบี้ ตัวอาคารเป็นไม้สนสีทองทั้งหลัง มีธงมนตราทิเบตประดับประดาหลากสี ดูเป็นเอกลักษณ์และให้อารมณ์ของความเป็นทิเบตอย่างมาก ซึ่งเราทั้ง 4 คน ชอบมาก ว่าแล้วก็ขอเก็บภาพไว้สักหน่อย

ในขณะที่คณะของเราอีก 3 คน เหนื่อยล้าและพักผ่อนจากการเดินทาง บางคนมีอาการ Altitude Sickness หรือที่เรียกกันว่า อาการแพ้ความสูง เพราะเราอยู่เหนือระดับน้ำทะเลขึ้นมา เหนือกว่าเมืองลี่เจียง ซึ่งคนพื้นราบอย่างคนไทย ส่วนใหญ่มักปรับตัวไม่ทัน


ส่วนตัวผมเอง เดินลงไปเที่ยงยังตัวเมืองแชงกรีล่าเพียงลำพังพร้อมกล้องคู่ใจ จะขอเล่าถึงประวัติของเมืองแชงกรีล่าให้ฟังกันสักหน่อย เดิมทีแล้ว เมืองแห่งนี้ ไม่ได้ชื่อเมืองแชงกรีล่าหรอกครับ เดิมทีชื่อว่าเมือง “จงเตี้ยน” แต่ทว่าเมืองจงเตี้ยนเดิม ถูกไฟไหม้มอดวอดวายไปครึ่งเมือง......

ในขณะนั้นเอง นวนิยายชื่อดัง ของเจมส์ ฮิลตัน ชื่อนวนิยายว่า Lost Horizon หรือชื่อไทยว่า “ลับฟ้า ปลายฝัน” กำลังเป็นที่โด่งดังในเวลานั้น เนื้อเรื่องในหนังสือ บรรยายถึงเรื่องราวของเมืองลึกลับเมืองหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ใต้หุบเขา ที่มีภูเขาหิมะล้อมรอบ ผู้คนที่นั่นมีอายุยืนยาว ถือศีล ดำรงสมณะเพศ และเป็นอมตะ ผู้คนอยู่อาศัยอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันและกัน......

รัฐบาลจีนในเวลานั้น จึงพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส พร้อมประกาศแชงกรีล่าในหนังสือ คือที่นี่แหละ และรัฐบาลจีน ก็ได้เปลี่ยนชื่อเมืองจงเตี้ยน เป็นชื่อเมืองใหม่คือ แชงกรีล่า โดยคนจีน จะเรียกว่า “เชียงเก๋อหลี่ล่า” พร้อมพัฒนาเมืองให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว มาจนปัจจุบัน

จัตุรัสจงเตี้ยน เป็นสัญลักษณ์และแลนด์มาร์คของที่นี่

ผมเดินหลงทางอยู่พักใหญ่ๆ เพราะเดินไปทางไหน ตึกส่วนใหญ่ก็ทรงหน้าตาคล้ายๆกันไปหมด

ตกเย็น เราทั้ง 4 คน แยกย้ายออกไปเที่ยวตามที่ต่างๆในเมืองเก่าแชงกรีล่า ผมกับรุ้งแวะกินอาหารยังร้านค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านหม้อไฟทิเบต เมนูที่พลาดไม่ได้ก็คือ หม้อไฟเนื้อจามรี ที่มีน้ำซุปแยกมาสองส่วน คือน้ำซุปกลมกล่อม และน้ำซุปหมาล่า แสนเผ็ดร้อน มีผักหน้าตาประหลาด ที่เราไม่เคยกินมาก่อน สำหรับใส่ลงไปในหม้อไฟ และเนื้อจามรี ที่มีกลิ่นที่หอมเป็นเอกลักษณ์ กว่าเนื้อวัวบ้านเรา

หม้อไฟทิเบต เป็นอาหารที่ออกมาแบบมาเพื่อเอื้อต่อสภาวะอากาศที่หนาวเหน็บ เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง เหมาะแก่การทำกิจกรรมในแต่ละวัน

เนื้อจามรี และผักที่ไม่คุ้นตามาก่อน รสชาติอร่อย

หลังจากกินอิ่ม เดินเที่ยวยังบริเวณด้านล่างวัดต้าฝอในยามเย็น มีผู้คนเมืองแชงกรีล่า ออกมาทำกิจกรรมบริเวณลานกิจกรรมนี้หลากหลาย บ้างเต้นรำ บ้างออกกำลังกาย ยังมีบริการถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยว ที่ต้องการถ่ายรูปคู่กับจามรี และสุนัขพันธ์ทิเบตอีกด้วย

ถ่ายกี่ภาพก็ได้ แต่จะอัดภาพให้ ภาพละ 20 หยวน เลือกได้ว่าจะเอากี่ภาพ

ได้มาแล้ววว 1 ใบ

วัดต้าฝอ ในเวลา 6 โมงเย็น ฟ้าสว่างอยู่เลย

กงล้อมนตรา วัดต้าฝอ วิวเมื่อมองจากด้านล่าง

น้องแมวทิเบต ตัวเตี้ย ๆขาสั้นๆ ขนฟูๆ น่าร้ากก

เราเดินขึ้นไปบนวัดต้าฝอ ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูง การเดินขึ้นที่สูงที่นี่ เราจะต้องเดินขึ้นอย่างช้าๆ เพราะเราอยู่ในระดับความสูงที่สูงเหนือน้ำทะเลมาก คนพื้นราบอย่างเรามักมีอาการแพ้ความสูง ไม่ว่าจะมีสภาพร่างกายแข็งแรงมาขนาดไหน อาการเหล่านี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน อาการคือ ปวดหัว หายใจไม่ทัน หรือบางรายอาการหนักคือป่วยเลยก็มี สิ่งที่เราต้องเตรียมก่อนการมาที่นี่ คือ ยา Diamox หรือยาแก้อาการโรคแพ้ความสูง กระป๋องอ๊อกซิเจน ซึ่งขายกันด้านล่างในเมือง ราวๆ 20 หยวน และไอเทมลับ ยาน้ำหงจิ่นเทียน ยาแผนโบราณที่เป็นยาชูกำลังชั้นดี


การปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ที่นี่คือ เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวให้ช้าลง มีสติให้มากขึ้น ทั้งการเดิน นั่ง และกินอาหาร ต้องทำทุกอย่างให้ช้าลง เพราะการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วนั้น จะทำให้เราเหนื่อยง่ายมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว

เราเดินเข้าไปไหว้พระพุทธรูปในวัดต้าฝอ ซึ่งไม่สามารถนำกล้องถ่ายภาพ ถ่ายภาพในโบสถ์ได้ พระพุทธรูปในวิหารนั้นมีรูปร่างแปลกตา ไม่เหมือนกับศิลปะพระพุทธรูปของประเทศเราไปซะทีเดียว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่คล้ายคลึงและมองออกว่า นี่คือพระพุทธเจ้า ในศาสนาพุทธ นิกายวัชรยาน ซึ่งเป็นนิกายย่อยของพระพุทธศาสนา นิกายมหายานซึ่งมีคตินิยม ไปในทางการเป็นพระโพธิสัตว์ ไม่ถือวัตรเคร่งครัดมากนัก


ข้างบนยังมีกงล้อมนตรา แบบทิเบต ซึ่งเป็นกงล้อมนตราที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนักมากถึง 60 ตัน สูงถึง 21 เมตร ต้องใช้แรงคนในการหมุนกงล้อแต่ละครั้ง อย่างน้อย 20 คน ซึ่งการหมุน 1 ครั้ง จะเท่ากับว่าเราได้สวดมนต์ 1 จบ


กงล้อมนตราวัดต้าฝอ ยังมีรูปสลักเป็นเรื่องราวบนกงล้อ บนสุดคือพระพุทธเจ้า รองลงมาคือพระโพธิสัตว์ รองลงมาอีกก็คือภูเขาศักสิทธิ์ทั้งหลาย หนึ่งในนั้นมีภูเขาหิมะเหมยลี่ และภูเขาหิมะมังกรหยกด้วย รองลงมาอีกชั้นคือประชาชนชาวมลฑลยูนนานทุกชาติพันธ์ ทั้งจีน ทิเบต หน่าซี และอีกหลากหลายชาติพันธ์ในมลฑลนี้ และล่างสุด คือภาพของบัว 4 เหล่า ในศาสนาพุทธนั่นเอง

รอบๆวัดต้าฝอ ยังประดับประดาไปด้วยธงมนต์ ธงทิเบตที่เขียนบทสวดไว้ข้างใน ชาวทิเบตมีความเชื่อว่า หากลมพัดมาปลิวสะบัดธงมนต์ บทสวดที่เขียนไว้ในธงมนตราก็จะปลิวไปตามสายลม ณ จุดนี้ยังมีทะเลหลังคาเมืองเก่าแชงกรีล่า ให้ได้เห็นอีกด้วย

เราหมุนกงล้อมนตราอยู่พักหนึ่ง ก็นั่งพักเหนื่อยด้านบนสักครู่ ไม่นานก็ลงมาด้านล่าง เราพบเจอกับเพื่อนชาวไทย ที่มาเที่ยวยังแชงกรีล่าแห่งนี้ด้วย ยามเย็นบรรยากาศตรงลานกิจกรรมวัดต้าฝอนี้มีความคึกคัก มีผู้คนมาเต้นรำ ออกกำลังกาย เต้นแอโรบิก และเดินเที่ยวชมความงามของวัดต้าฝอในยามค่ำอย่างคึกคัก

ราวๆ 3 ทุ่ม พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้า วัดต้าฝอเปิดไฟสวยงามสว่างไสว แต่ไม่มีแหล่งเริงรมย์เหมือนอย่างที่ลี่เจียง มีแต่ความสงบเงียบ ตามสไตล์พุทธสถานเพียงเท่านั้น วัดต้าฝอในยามค่ำคืน เขาว่ากันว่า ยิ่งดึก จะยิ่งสวย และมันก็สวยดั่งคำร่ำลือจริงๆ

เรากลับเข้าที่พักเพื่อพักผ่อนกัน หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางและสู้รบปรบมือกับคนขับรถของเรามาทั้งวัน ผมนัดหมายทุกคนในเวลา 8.00 น. เป็นเวลาที่ล้อหมุนออกเดินทางไปเต๋อชิงพรุ่งนี้ เป็นอีกวันที่เราต้องสู้รบปรบมือกับ Driver ชาวจีน ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย อากาศค่อยๆเย็นลง จนกลายเป็นอากาศหนาว อุณหภูมิที่นี่ เฉลี่ยแล้วเพียงแค่ 7 องศเซลเซียส เท่านั้นเอง

เราผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย..........หลับไปด้วยความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่รู้สึกดี ในดินแดนแห่งเทพนิยายในตำนาน เป็นคืนที่เรา ฝันดีอีกคืน..........

โปรดติดตามตอนต่อไป......

ความคิดเห็น