สวัสดีค่ะ ช่วงนี้อากาศบ้านเราร้อนสุดๆไปเลยนะคะ
เด็กจิ๋วเลยจะมาพาย้อนอดีตไปรำลึกถึงอากาศเย็นๆที่เชียงราย ที่ไปเที่ยวมาเมื่อสิ้นปีที่แล้วค่ะ
เชียงรายรอบนี้เป็นรอบสองของเด็กจิ๋วค่ะ ไปคราวนี้ตั้งใจไปเที่ยวไร่ชาฉุยฟง ตามรอยละครหลายๆเรื่องที่ไปถ่ายทำที่นั่น
และอีกจุดประสงค์คือ งานดอกไม้ที่เชียงราย ที่แม่เคยดูรีวิวใน BP แล้วคิดว่าเป็นไคเคนฮอฟเมืองไทย ทำให้อยากไปมากๆเลย
พร้อมแล้วเรามาย้อนอดีตสัมผัสอากาศหนาวเย็นของเชียงรายยามสิ้นปีกันค่ะ
เด็กจิ๋วเริ่มออก Chill Out ตามสถานที่ต่างๆ เป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปีแล้วค่ะ
เพื่อนๆ สนใจ แวะไปชมได้นะคะ…
https://www.facebook.com/DekJewChillOut
http://www.dekjewstory.blogspot.com/
https://www.youtube.com/user/DekJewChillOut
ทั้งที่เพิ่งไปเชียงรายมาเมื่อต้นปี (มกรา 55) แต่ปลายปี (ธันวา 55) ก็มีเหตุผลที่จะกลับไปอีกจนได้
เหตุเพราะได้ดูละคร ที่นางเอกเป็นเจ้าของไร่ชาที่สวยงามแห่งหนึ่ง จะด้วยมุมกล้องหรืออะไรก็ตาม ทำให้หลงรักไร่ชาแห่งนี้มากมาย
พยายามสืบเสาะค้นหาว่าเค้าไปถ่ายทำกันที่ไร่ไหน อยู่ตรงไหนของประเทศ แล้วก็ได้รู้ว่าที่นั่นคือ ไร่ชาฉุยฟง บ้านพญาไพร เชียงรายนี่เอง
ขอบคุณภาพจาก thaitv3.com ค่ะ
(ตอนนี้ทราบว่ามีละครที่ยังออกอากาศอยู่ เรื่องมัจจุราชสีน้ำผึ้ง ที่เคนธีรเดชเล่น ก็ถ่ายที่นี่เหมือนกัน แต่ไม่ได้ดูเรื่องนี้ค่ะ)พอรู้แล้วคราวนี้ก็หาเบอร์ติดต่อที่ไร่ชา จนได้รู้ว่าเค้ามีที่พักให้ที่ไร่ด้วย ราคาไม่แพง รวมอาหารเช้าเย็นให้ เราก็จัดการจองทันที
คราวนี้เรากะช่วงเวลาให้ไปตอนงานดอกไม้บานของเชียงรายพอดี จะได้ไปชมทิวลิปบานที่ไคเคนฮอฟเมืองไทยด้วยเลย
ทริปนี้ปะป๊าขับรถไปเองอีกแล้ว ทั้งๆที่แม่พยายามเกลี้ยกล่อมให้นั่งเครื่องบินมาตลอดหลายเดือนก่อนการเดินทาง แต่ไม่เป็นผล
เราออกจากกรุงเทพตอนตี 4 เด็กจิ๋วก็ตื่นมาด้วย นั่งดู concert พี่เบิร์ดบ้างหลับบ้าง ไปถึงเชียงรายเที่ยงพอดี
เราแวะกินกลางวันกันที่ร้านหลู้ลำ ร้านเดิมที่เคยมากินกันคราวก่อน
อาหารก็ยังอร่อยเหมือนเดิมค่ะ
ร้านนี้ ของแท้ต้องมีตุ๊กตาเด็กไหว้หน้าร้าน 2 ตัว
กินกลางวันเสร็จ เราก็มุ่งหน้าไร่ชาฉุยฟง ที่บ้านพญาไพร
ระยะทางจากเมืองเชียงรายก็ราว 60 กม. แต่ใช้เวลาขับค่อนข้างนาน เพราะเป็นเขา และบางช่วงก็แคบมากๆ
เราไปถึงไร่ชาฉุยฟง บ้านพญาไพรกันประมาณ 4 โมงเย็น
ใช่เลย...แบบนี้ะ ที่อยากเห็น ไร่ชาม่วนใจ๋ (ชื่อไร่ในละคร) จริงๆด้วย
เราจอดรถกันข้างๆโรงงานใบชา พอลงจากรถมาอากาศได้สัมผัสอากาศเย็นๆ แถมได้กลิ่นหอมๆ ของดอกหอมหมื่นลี้ ผสมกลิ่นใบชา ชื่นใจมากๆ
แต่เอ...ไหนบ้านพักละเนี่ย เรามาถูกที่มั้ยนะ ไม่เห็นมีบ้านพัก ไม่มีเจ้าหน้าที่อะไรเลย เงียบมากๆ
ลองเดินลงไปถามคนที่โรงงานชา เค้าก็เลยช่วยเรียกแม่บ้านมาให้ ปรากฎว่ามาถูกที่แล้ว เราจะพักกันที่นี่ะ
หน้าโรงงานผลิตชาจะมีบ้านไม้หลังใหญ่อยู่ น่าจะเป็นบ้านเจ้าของ เพราะมีรูปถ่ายของครอบครัวเจ้าของไร่ชาอยู่เต็มไปหมด
แต่ตอนนี้ทำเป็นห้องพัก มีอยู่ 3 ห้อง ตอนแรกทางแม่บ้านจัดห้องบนบ้านไม้นี้ไว้ให้เรา แต่พอเราไปสำรวจแล้วต้องขอย้ายโดยด่วน
ขอไปนอนห้องที่เราเคยเห็นใน web ดีกว่า ห้องนั้นน่าจะหลับได้สบายกว่าสำหรับคนชอบจินตนาการโน่นนี่อย่างปะป๊า
ห้องที่ขอย้ายไป จะอยู่ชั้นล่างของโรงงานใบชา อยู่ข้างๆ ที่จอดรถ ต้องเดินลงบันไดไปหน่อย
ห้องใหม่ดูจะคับแคบกว่าห้องบนบ้านใหญ่ แต่ดูโปร่งๆ กว่า และมีห้องน้ำในตัว ไม่ต้องออกมานอกห้องเหมือนบนบ้านใหญ่
ตรงนี้เป็นทางเข้าห้องพักใต้อาคารโรงงานใบชา
ระเบียงข้างๆห้อง เห็นวิวไร่ชาเขียวขจี สบายตามากๆ
เดินเข้าไปหน่อยก็เจอห้องพัก ซึ่งถ้าจำไม่ผิดจะมี 3 ห้อง เราพักห้องแรก วันนี้มีแขกแค่บ้านเราบ้านเดียวเลยค่ะ
ห้องก็จะแบบเล็กๆ แต่ก็สะอาดดี พื้นเป็นกระเบื้อง ตอนกลางคืนเย็นมากๆ ดีที่เอาถุงเท้าไปกันทุกคน
ห้องน้ำเล็กๆ แต่มีน้ำอุ่น
จากหน้าต่างตรงหัวนอน มองไปก็เห็นไร่ชานะคะ เป็นวิวนี้เลยค่ะ
ศาลาเก๋งจีนนี่อยู่ข้างๆบ้านใหญ่ สามารถนั่งชมวิวไร่ชาจากตรงนี้ได้
ถัดจากเก๋งจีนจะเป็นถนนลัดเลาะไปตามไร่ชา ตอนเย็นๆ เราลองเดินเล่นกันไปทางนี้ แต่ไม่ค่อย work
เพราะทิศนี้เห็นไร่ชาไม่สวย จุดที่เห็นสวยๆ จะต้องย้อนไปตามทางที่รถวิ่งเข้ามา
ออกไปเดินถ่ายรูปกันรอบๆค่ะ
ท้องฟ้าหน้าหนาวใสดี มีแดด แต่ก็ไม่ร้อน เพราะอากาศเย็นสบาย
ไร่ชาฉุยฟงที่เชียงรายนี่จะมีทั้งหมด 3 แห่ง คือที่บ้านพญาไพร (500 ไร่) ที่เรามานอนกันคืนนี้
อีกที่ที่สวยไม่แพ้กัน คือที่แม่จัน (600 ไร่) ซึ่งอยู่ใกล้กันกับ Katiliya ที่เราจะไปพักในวันต่อไปมากๆ เดี๋ยวจะได้พาไปชมกันค่ะ
ส่วนที่สาม จะมีแค่ 50 ไร่ ที่บ้านสันนายาว อันนี้ไม่มีข้อมูลค่ะว่าเป็นยังไง เพราะไม่ได้ไปค่ะ
ตรงบริเวณที่เรามาเดินเล่นถ่ายรูปกันเย็นนี้ ต้นชาไม่ค่อยสวย เพราะสีใบจะเขียวเข้มๆ ออกดำๆ สอบถามมาว่าเป็นพันธุ์อู๋หลง
พอพระอาทิตย์ตกดิน เราก็เดินกลับมาตรงบ้านพัก แม่บ้านคนเดิมเตรียมอาหารไว้ให้พร้อมแล้ว เรานั่งทานกันที่ระเบียงบ้านใหญ่
ราคาที่พักที่เราจ่ายไป 1,500 บาท เป็นราคาต่อสองคน รวมอาหารเช้า และเย็นไว้แล้ว
อาหารเย็นวันนี้มีปลา 1 ตัว เรียกว่าปลาอะไรไม่แน่ใจ เพราะเป็นรสชาติที่ไม่เคยกินมาก่อน
แต่แม่กับเด็กจิ๋วก็ชอบ เด็กจิ๋วกินข้าวกับปลานี่ไปเยอะเลยที่เดียว
มีผัดผักสดๆ ขาหมูที่แม่ไม่กิน (ปะป๊าว่าไม่ค่อยโดน ไม่ถูกปาก) และผัดเห็ดที่ปะป๊าบอกว่าอร่อยมาก
ทีแรกเกือบได้ดินเนอร์กลางแสงเทียนซะแล้ว เพราะว่าไฟดับทั้งหมู่บ้านเลย แต่ดับได้พักนึงไฟก็มา
เช้าแล้วค่ะ
เหตุผลที่ต้องมานอนที่ไร่ชา ไม่แค่มาเที่ยวแบบ day trip ก็เพราะอยากมาเห็นแสงสวยๆ ยามเช้า กับสายหมอกเรี่ยๆ ไร่ชาแบบนี้
ที่นี่พระอาทิตย์ขึ้น และตกหลังเขา เราจะได้เห็นแต่แสงแบบนี้ ไม่ได้เห็นดวงกลมๆ ตอนขึ้นและตก
หมอกเยอะเลยทีเดียว คงเพราะด้านล่างมีบ่อน้ำขนาดใหญ่อยู่
เมื่อวานนี้ระหว่างอาหารค่ำ แม่บ้านเอาอัลบั้มรูปมาให้เราดู เป็นรูปถ่ายดารา กองถ่ายละคร และรายการต่างๆที่เคยมาถ่ายทำที่นี่
มีเยอะเลยทีเดียว กองถ่ายรายการจากต่างประเทศก็มี คุณตันโออิชิ กับคุณโน้สอุดมก็เคยมา (ไม่รู้ชาคุณตัน ซื้อใบชาจากไร่นี้ด้วยรึเปล่า)
ไร่ชาที่นี่เขียวสวยสมบูรณ์มากๆ เรียงแถวสวยงาม แน่นจริงๆ เท่าที่สังเกตได้ จะมีสองสี คือสีเขียวเข้ม ที่คนที่นี่บอกว่าเป็นอู๋หลง
บางส่วนสีเขียวอ่อน ดูสดใสและสวยกว่า ก็เป็นอีกพันธุ์ที่เค้าก็บอกชื่อมานะคะ แต่เป็นภาษาจีน ฟังยากมาก เลยไม่ได้รู้กันว่าพันธุ์อะไรกันแน่ค่ะ
จากจุดนี้มองขึ้นไปเห็นโรงงานชาหรือบ้านพักที่เรานอนนั่นเอง
บริเวณนี้เป็นอีกจุดที่เราคิดว่าสวยที่สุด อยู่ด้านหน้าห้องพักเรา ตอนขับรถเข้ามาจะอยู่ขวามือ ก่อนตัวโรงงานชา
เรานั่งทานอาหารเช้ากันที่เดิม
อาหารเช้าวันนี้เด็ดมากๆ นั่งเขียนอยู่นี่ก็ยังอยากจะกลับไปกินอีกเลยค่ะ
ตอนที่แม่บ้านยกมาเสิร์ฟ เราคิดว่าคงกินไม่ได้แน่ๆ เพราะสีของบะหมี่ดูเผ็ดๆ เหมือนใส่พริกเผาอะไรซักอย่าง
แต่ผิดคาด เราไม่รู้ว่าซอสที่ราดมาคืออะไร แต่มันมีส่วนผสมของหมูสับ ซึ่งเป็นบะหมี่ที่อร่อยมาก
เด็กจิ๋วกินไปเยอะเลย บะหมี่กินกับหมูย่าง แล้วก็ข้าวเกรียบถั่วเข้ากันได้ดี อร่อยสุดๆไปเลย อยากกินอีกนะเนี่ย
แล้วเช้านี้ได้ชิมชาที่ชงร้อนๆ หอมมากๆค่ะ ดื่มแล้วสดชื่นจริงๆ
อิ่มแล้ว เราก็ไปเดินย่อยถ่ายรูปกันอีกรอบ ก่อนเก็บของเดินทางกันต่อ
สรุปคืนแรกที่ไร่ชาฉุยฟง ดอยพญาไพร:
บ้านเราชอบที่นี่กันมากๆ อากาศดี ไร่ชาสวย อาหารอร่อย (บะหมี่กับข้าวเกรียบถั่ว โดนมากๆ) แม่บ้านน่ารัก ดูแลเราดีมากๆ
ข้อเสียที่มีคงเป็นเรื่องระยะทางที่ไกลจากเมืองพอสมควร และเป็นทางเขาที่บางช่วงแคบจนไม่สามารถสวนกันได้ (แต่ก็ไม่มีรถสวนมาเลยสักคัน)ขับรถออกมาจากบ้านพญาไพรชั่วโมงกว่าๆ เราก็มาถึงไร่ชาฉุยฟงอีกแห่งหนึ่งที่แม่จัน
ที่นี่การเดินทางเทียบกับไปบ้านพญาไพร ถือว่าแสนสะมาก แถมไร่ชาที่นี่ก็สวยงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
ไร่ที่นี่ไม่มีห้องพัก แต่มีร้านชาน่ารักๆ ให้นั่งจิบเครื่องดื่มประเภทชาต่างๆ รวมทั้งขนม และของทานเล่นอร่อยๆ
นั่งดื่มชาเขียวเย็น ชมวิวไร่ชา ฟินมากๆค่ะ บางวันเค้าจะมีเมนูข้าวเกรียบถั่วด้วย (ถ้ามีก๋วยเตี๋ยวด้วยคงดี)
อันนี้เห็นจากใน FB เค้าที่ admin ขยันมา post รูปเมนูต่างๆ ยั่วยวนให้กลับไปหาเค้าอีกค่ะ ซึ่งก็ได้ผลนะคะ
เพราะรู้สึกอยากกลับไปที่นี่อีกค่ะ ถ้าได้ไปเชียงรายก็อยากจะแวะไปอีกค่ะ
https://www.facebook.com/ChouiFongTea
ขับรถเข้ามาได้หน่อยก็จะเจอกับจุดชมวิวแรก มีลานกว้างๆ ให้ชมไร่ชาแบบพานอราม่า
ตอนที่เราไปถึงก็บ่ายๆแล้ว แต่ยังมีคนเก็บใบชากันอยู่ ทีแรกนึกว่าต้องเช้าตรู่ถึงจะเก็บซะอีก
คนเก็บชาจะเด็ดยอดชาใส่ตะกร้า พอได้เวลา จะมีเสียงนกหวีดดังลั่นเขา
เป็นอันรู้ว่าหมดรอบ เค้าก็จะรีบเดินกลับกันมาที่สถานีชั่งใบชา (เราตั้งชื่อให้เอง) เพื่อเอาใบชามาชั่งน้ำหนัก
ความจริงปะป๊าเดินไปถ่ายรูปคนเก็บชาคนเดียวนะคะ เค้าเก็บกันอยู่ไกลลิบๆ แม่กับเด็กจิ๋วไปไม่ไหว รออยู่ในรถ
ถึงแม้อากาศจะไม่ร้อน แต่แดดก็แรงกล้าค่ะ สองแม่ลูกเลยนั่งดูคอนเสิร์ตพี่เบิร์ดกันในรถค่ะ
(ทริปนี้ดูแต่คอนพี่เบิร์ด เพราะเด็กจิ๋วกำลังฮิตค่ะ บอกว่าพี่เบิร์ดร้องเพลงเพราะที่สุดในโลก )ขยับจากจุดชมวิวแรกมานิด ก็ถึงจุดชมวิวที่สอง
ที่ไร่ชาฉุยฟง แม่จัน จะเป็นเนินเขาเตี้ยๆ หลายๆลูก ซึ่งแตกต่างจากเมื่อวานที่บ้านพญาไพรที่เป็นหุบตามธรรมชาติ สวยไปคนละแบบ
บ่อน้ำที่นี่ใหญ่กว่าของเมื่อวานมาก เช้าๆก็น่าจะมีหมอกเยอะเหมือนกัน
จุดชมวิวที่ 3 เป็นร้านชาน่ารักๆ มีระเบียงนั่งชิมชา พร้อมชมวิวไร่ชา และเป็นจุดที่อยู่สูงสุดของไร่ค่ะ
แม่ได้มีโอกาสชิมชาเขียวหอมอร่อยด้วย แต่ปะป๊าไม่ได้เก็บรูปมาฝากค่ะ
เราถ่ายรูป และนั่งเล่นกันอยุ่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมง ก็เดินทางไปที่พักของคืนนี้
คือที่ Katiliya Mountain Resort & Spa ซึ่งงจากที่ไร่ชานี่แค่ 5 กิโลเท่านั้นเองค่ะ
Katiliya นี่ก็เป็นจุดหมายที่ต้องมาพักให้ได้ค่ะ เหตุก็เพราะได้ดูรีวิวสวยๆจากในห้องนี้นั่นเองค่ะ
โดยเฉพาะรีวิวครอบครัวน่ารักๆ ของคุณ shoppingrome และรีวิวขั้นเทพของ อ.ชานไม้ชายเขาค่ะ
(เดี๋ยวสิ้นปีจะตามรอยคุณ Shoppingrome ไปปาย ปางอุ๋ง อีกนะคะ)
เมื่อเราตัดสินใจได้ว่าจะไปพักที่ Katiliya เราก็รอคอยงานท่องเที่ยวเลยค่ะ มีเมื่อไหร่จะรีบไปซื้อไปจองทันที
เจ้าหน้าที่ที่มาขายน่ารักมากค่ะ แนะนำเราว่าห้องต่างๆเป็นยังไง อยู่ทิศไหน
เราเองก็ถามมากเหลือเกิน เพราะอยากได้ห้องที่วิวสวยๆ และเดินไม่ไกล สะกับเด็กจิ๋วหน่อย
ในที่สุดก็เลือกได้ห้อง Signature Suite ทิศตะวันออก เพราะเราอยากเห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่ระเบียงห้องเลย
แล้วก็คิดไม่ผิดจริงๆค่ะ ที่เลือกห้องนี้
ห้องนี้จะอยู่ใกล้กับ Lobby และห้องอาหารมากๆ คือพอเดินออกจากตรงส่วน Lobby ห้องเราก็จะอยู่ซ้ายมือเลย
ขึ้นบันไดมาเลยค่ะ ห้องเราอยู่ชั้นบนค่ะ
เข้ามาก็โอ้โหเลยค่ะ ห้องใหญ่มาก กว้างขวาง เด็กจิ๋ววิ่งเล่นสนุกไปเลย
Welcome Fruit เด็กจิ๋วจัดการเรียบ ทั้งส้มและแอปเปิ้ล
ดู Spec ของห้องจาก web ของ Katiliya ก็พบว่าห้องนี้มีขนาด 100 ตารางเมตรเลยที่เดียว กว้างมากอ่ะ
ความจริงตอนซื้อ Voucher เราซื้อเป็นห้อง Superior Suite แต่ปะป๊าต่อราคาเก่งมาก
น้องเซลล์ลดเปอร์เซ็นต์ให้แล้วยังได้ Upgrade เป็นห้อง Signature ด้วย
ทีแรกปะป๊าบอกว่าห้องที่นี่ราคาแพงไป จะไม่มาพัก (เราไปพักหน้า High ราคาแรงอยู่เหมือนกัน)
ลำบากแม่ต้องหารีวิวมา Built และเกลี้ยกล่อมอยู่นาน ถึงได้มาพักที่นี่
ส่วนของห้องน้ำก็กว้างมาก มีอ่างอาบน้ำใหญ่ แยกส่วนชักโครก ส่วน shower ทั้งข้างในและกลางแจ้ง
หลังจากเช็คอิน เก็บของที่ห้องแล้ว ก็รีบพาเด็กจิ๋วลงน้ำเลย กลัวว่าเย็นๆแล้วจะหนาว
ตรงนี้เป็นสระใหญ่ เดินมาจาก Lobby จะถึงก่อนเลย
ช่วงที่ลงไปเล่นน้ำ แดดยังแรงอยู่มาก สระนี้ไม่มีร่มเงาอะไรเลย เล่นอันนี้ดำปี๋แน่ๆ เด็กจิ๋ว เลยขอเดินเลยไปดูสระถัดไปก่อนนะ
จากสระใหญ่มองกลับไปที่ห้องพักเรา ใกล้นิดเดียว
เดินถัดไปด้านหลังสระใหญ่ประมาณ 50 เมตร จะเป็นสระเล็ก
เป็นสระน้ำอุ่น ซึ่งอุ่นจริงๆ ไม่ได้อุ่นแต่ชื่อเหมือนที่อื่น หรือแบบบางที่ต้องแจ้งก่อนลงล่วงหน้าหลายชั่วโมงถึงจะอุ่น
ถัดจากสระอุ่นมาอีกนิดจะเป็น Kid Club ซึ่งข้างๆจะมีสระเด็กอีกสระ แต่เล่นไม่ไหวเพราะน้ำเย็นมาก
บ้านพักที่นี่จะเรียงเป็นแถว 2 แถวขนาบสระใหญ่ ฝั่งที่เราอยู่จะเห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้น อีกฝั่งจะเห็นวิวพระทิตย์ตก
เล่นน้ำเสร็จก็จับเด็กจิ๋วอาบน้ำ แล้วต้องรีบพามากินอาหารเย็นเร็วหน่อย เพราะเด็กจิ๋วหมดแรง ใกล้จะหลับแล้ว
ห้องอาหารจะอยู่ชั้นล่างของ Lobby
เราจองโต๊ะริมระเบียงเอาไว้ชมวิวพระอาทิตย์ตก แต่ดันมาถึงเร็วไปหน่อย ราวๆ 5 โมง แดดยังแรงมาก
ไม่สามารถนั่งตรงระเบียงได้ ต้องแอบเข้าไปข้างในก่อน เดี๋ยวค่อยย้ายออกมา
น้องที่นี่เค้าแนะนำว่าพิซซ่าอร่อย เลยต้องลองซะหน่อย ของปะป๊าเป็นแฮมเบอร์เกอร์
พิซซ่าอร่อยจริง แต่ต้องตอนร้อนๆ (ตอนหลังปะป๊ามัวไปถ่ายรูป พิซซ่าเย็นหมด เอาไปอุ่นซ้ำ คราวนี้เจ๊งเลย)
พอพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ แดดเริ่มหมด เราก็ย้ายมานั่งโต๊ะที่จองไว้ บรรยากาศดีมากๆ
จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ดีที่สุดของที่นี่คือบริเวณห้องอาหารนี้่ะ
แต่พระอาทิตย์ที่นี่ก็ตกหลังเขาเหมือนที่พญาไพร เห็นแสงสวยๆ แต่ไม่เห็นไข่แดง
แล้วก็เป็นไปตามคาด กินข้าวยังไม่ทันเสร็จ เด็กจิ๋วก็ง่วงนอนจัด แม่ต้องรีบพากลับห้องด่วน
ทิ้งปะป๊าไว้จัดการกับอาหารคนเดียว
พอเด็กจิ๋วกับแม่ไปแล้ว ปะป๊าก็สบายตัวละ เริ่มเดินเก็บภาพมุมต่างๆของรีสอร์ทอย่างมีความสุต
(แม่เคยบ่นว่าปะป๊ามาเที่ยว ทำไมไม่พักผ่อนบ้าง เดินถ่ายรูปจริงจังตรากตรำเหมือนมาทำงาน
ปะป๊าตอบว่า อ่าว...ก็เนี่ยพักผ่อนของปะป๊า ได้ถ่ายรูปก็มีความสุขแล้ว ตั้งแต่นั้นก็...อะนะ...ปล่อยไป)
มาดูบริเวณ Lobby กันบ้าง
ที่นี่มีเตาผิงที่ก่อไฟจริงๆ ให้ความอบอุ่นแก้หนาวได้จริงๆ
ตอนที่เราไป เหมือนที่นี่เพิ่งจัดงานคริสมาสไป บริเวณ Lobby เลยจะดูรกๆนิดหน่อย
ข้าวของมีการเคลื่อนย้ายผิดที่ผิดทาง (เดาเอาเองจากที่เห็น)
มีส่วนของห้องสมุดอยู่ใกล้ๆ Lobby
ข้างๆ Lobby มีพวกห้องประชุม สัมมนาต่างๆด้วย
ที่บอกไว้ตั้งแต่แรกว่าคิดไม่ผิดที่เลือกห้องนี้ ก็เพราะวิวตอนเช้ามืดจากระเบียงห้อง สวยมากที่สุดเลย
แม่มีความสุขมากที่ได้ชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นจากระเบียงห้องได้เลย
(ปกติถ้าต้องออกจากห้องไป จะไม่สามารถทำได้ เพราะต้องเฝ้าเด็กจิ่วที่ยังไม่ตื่น)
ระเบียงห้องกว้างขวางใหญ่โต มีโต๊ะเก้าอี้ และเตียงให้นอนเล่นด้วย
มองจากตรงนี้เห็นไร่ชาฉุยฟงด้วย
มาดูพระอาทิตย์ค่อยๆขึ้นกันนะคะ
ห้อง Signature Suite นี่นอกจากกว้างขวางอยู่สบายแล้ว วิวยังงามมากๆด้วย
แม่ชอบที่นี่มากๆ ร่ำๆกับปะป๊าว่าอยากกลับไปอีก แล้วก็อยากจะไปไร่ชาฉุยฟงอีก
ปะป๊าก็งงๆกับแม่นะ เพิ่งไปมาจะไปทำไมอีก ก็มันสวยนี่นา อยากกลับไปอีกอ่า...
(แต่ในที่สุดเหตุผลก็ชนะอารมณ์ ปลายปีนี้เราจะไปปาย ปางอุ๋ง อ่างขางกันค่ะ)
สายหมอกแบบนี้สวยมากจริงๆ
ตรงจุดที่เห็นต้นไม้ปลูกเรียงๆกันคือไร่ชา
พอพระอาทิตย์ขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ สายหมอกจางหายไป เด็กจิ๋วก็ตื่นพอดี เรามาทานอาหารเช้ากันที่โต๊ะเดิมค่ะ
ความจริงทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เราออกไปเที่ยวไร่ชากันอีกรอบนะคะ เพราะปะป๊าบอกว่าแสงเช้าจะสวยกว่าแสงแข็งๆของบ่าย
ฉะนั้นรูปไร่ชาที่เห็นเป็นของสองวันเอามารวมกันนะคะ
ก่อนกลับปะป๊ายังไม่วายตามเก็บภาพมุมต่างๆของรีสอร์ทอีก
ตรงนี้เป็นด้านท้ายของรีสอร์ท เป็นเหมือนร้านกาแฟ ที่ตอนนี้ปิดบริการอยู่
เราออกจากที่ Katiliya กันตอนเที่ยงๆ จุดหมายต่อไปคือแม่สาย
เราซื้อของกันจนเย็น แล้วถึงเข้าที่พักที่ต่อไปที่ Mantrini ในเมืองเชียงราย
โรงแรมมันตรินี่ (The Mantrini Chiangrai) เป็นโรงแรมน่ารักๆ เก๋ๆ อยู่ในเมืองเชียงราย
ตอนเราขับมาเชียงรายวันแรก ก็มองเห็นโรงแรมนี้อยู่แล้ว เพราะอยู่ริมถนนใหญ่ (พหลโยธิน) ติดกับห้างเซ็นทรัลเชียงรายเลย
มาถึงก็หิวกันเลย รีบกินข้าวกันก่อน
ห้องอาหารขนาดเล็ก ตกแต่งน่ารักๆ อยู่ติดกับ Lobby
อาหารวันนี้อร่อยทีเดียว เสียแต่รอนานมากไปหน่อย เล่นเอาเด็กจิ๋วเกือบอาละวาด
อาหารมื้อนี้ได้รับอภินันทนาการจากทางโรงแรม เพราะเหตุว่า...
ต้องเท้าความซักหน่อยว่าทีแรกมีหลังไมค์มาเชิญให้ไปพักที่นี่สองคืน เพื่อทำรีวิว
แต่แม่ก็ปฏิเสธไป เพราะหลายเหตุผลด้วยกัน คือเรามีเวลาพักที่นี่เพียงน้อยนิด คงไม่เหมาะที่จะทำรีวิวแบบเต็มๆ
และเราอยากไปพักแบบสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่า เราจะทำงาน (รีวิว) สมกับที่เค้าคาดหวังมั้ย
ทางน้องที่มันตรินี่ก็เข้าใจ คิดราคาห้องพักลดพิเศษมาให้ แถมตอนไปถึงก็ให้ complimentary อาหารค่ำด้วย
โรงแรมนี้เป็นโรงแรมขนาดกลาง (วัดด้วยความรู้สึกตัวเองค่ะ) ที่สะสบายมากพอควร
ด้วยที่ตั้งที่หาง่ายและติดห้างใหญ่อย่าง Central และอยู่งจากใจกลางเมืองไม่ไกล
ทราบมาว่าทางโรงแรมเพิ่ง Renovate ส่วนหน้าโรงแรม และส่วนของ Lobby ใหม่ไม่กี่เดือนก่อนเรามาพัก
สีสันสดใส น่ารักดีค่ะ
มุมนี้จัดไว้เหมือนเป็นส่วนของร้านเครื่องดื่ม+ขนม ติดกับ Lobby ค่ะ
ทางเดิน และลิฟต์สีสันสดใส
ห้องที่เราพักวันนี้เป็นห้องแบบ Deluxe สามารถเปิดระเบียงหลังห้อง แล้วเดินลงสระน้ำได้เลย
ตอนที่ไปอากาศเย็นและเรามีเวลาอยู่ที่นี่ค่อนข้างน้อย เพราะวันรุ่งขึ้นต้องรีบไปงานดอกไม้แต่เช้า
เด็กจิ๋วเลยไม่มีโอกาสได้เล่นน้ำที่นี่เลย
มาดูห้องที่เราพักกันค่ะ
ตกแต่งด้วยสีสว่างๆ อยู่สบายค่ะ ยกเว้นว่าเตียงจะเป็น Queen Size สามคนพ่อแม่ลูกเลยเบียดกันไปหน่อย
ปะป๊าโดนเด็กจิ๋วเข่าลอย+จระเข้ฟาดหางไปหลายดอกเลยค่ะ
ถึงห้องจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะครบนะคะ มีอ่างอาบน้ำด้วยค่ะ
เด็กจิ๋วบอกว่าชอบห้องที่นี่มากกว่าที่ Katiliya อีกนะคะ เพราะห้องนี้มีของเล่นค่ะ
(ของเล่นใหม่ ได้มาจากแม่สายสดๆร้อนๆ)
ได้ทราบมาจากเพื่อนของแม่ว่าที่นี่มีห้อง Designer Suite ที่ตกแต่งแบบเก๋ไก๋มีสไตล์มากๆ ที่ออกแบบโดย คุณดุ๊ก ภาณุเดชด้วย
เราเลยขอทางน้องเจ้าหน้าที่เข้าไปชมซะหน่อยค่ะ น้องเจ้าหน้าที่บอกว่าห้อง Suite จะมี 2 ห้อง ออกแบบแตกต่างกันสิ้นเชิง
เรามาดูห้องที่พี่ดุ๊กออกแบบก่อนค่ะ
พอเข้าไปห้องนี้ก็ อืม..เป็นสไตล์ที่ค่อนข้างชัดเจน ไม่รู้เค้าเรียกว่าสุดขั้วรึเปล่า ไม่ค่อยรู้เรื่องงานดีไซน์ค่ะ
แต่ไม่ใช่แนวเราเลยค่ะ ถ้าให้นอนห้องนี้ก็อาจจะต้องคิดหนัก
(ความจริงมีม้าโยกหน้าตาชวนจินตนาการแขวนอยู่ 1 ตัวด้วย นั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราไม่ like ห้องนี้)
ห้อง Suite อีกห้องจะเป็นสีฟ้า ออกแนวหวานๆ
ทั้งสองห้องอยู่ชั้นบนของอาคารนะคะ
เช้าวันสุดท้ายที่เชียงราย เราตื่นกันแต่เช้าตรู่ เด็กจิ๋วยังไม่ลืมตาเลย แม่ก็อุ้มไปทานข้าวเช้ากันแล้ว
ห้องอาหารเช้าจะอยู่ชั้นบนของ Lobby จัดเป็นบุฟเฟต์ อาหารหลากหลายและอร่อยมาก
ที่ชอบมากคือ มีเตาอบขนมขนาดเล็กแบบที่เราใช้ที่บ้านตั้งไว้ให้ด้วย
ที่เราเคยเจอมาหลายๆที่คือ รร จะมีครัวซองให้ แต่นิ่ม หรือไม่ก็แข็งจนกินไม่อร่อยเลย
อันนี้เอาไว้อุ่นครัวซองให้กรอบ อร่อย เริ่ดมาก
ใช้เวลากับอาหารเช้ากันพอสมควร เราก็เช็คเอาท์ เดินทางต่อไปงานเชียงราย Asean Flower 2012 กันเลย
ตอนขับรถมานี่งุนงงพอสมควรว่างานอยู่ตรงไหน และต้องจอดรถตรงไหน
มีป้ายบอกทางเยอะมาก แต่บอกไปหลายทางมาก เดาว่าคงเข้าได้หลายทาง และมีหลายลานจอดรถ
กว่าจะเข้าจอดรถได้ก็ขับวนไปมา มึนกันเลยทีเดียว
พอเดินเข้าบริเวณสวนมาก็เจอดอกไม้หลากสี กำลังบานสวยงาม
แต่ยัง แม่ยังไม่ฟิน ที่ตั้งใจมาดูคือดงทิวลิปบานสะพรั่ง
ถามน้องเจ้าหน้าที่ บอกว่าสวนทิวลิปอยู่ด้านในค่ะ
เดินไปเรื่อยๆ ก็แวะถ่ายกับดอกไม้ไปเรื่อย
ในที่สุดก็เดินมาถึงสวนทิวลิป...
อึ้งค่ะ!!! ช็อคด้วย ... เสียใจด้วย ...
เพราะดงทิวลิปที่เราอยากมาเห็น มีสภาพเป็นแบบนี้
สอบถามน้องเจ้าหน้าที่อีกครั้ง น้องบอกว่าอีก 2-3 วันถึงจะบานค่ะ
เอ่อ... แล้วเราจะรีบมาแต่วันแรกๆของงานทำไมเนี่ย ???
รีบมาเพราะกลัวดอกเหี่ยว แต่ดันมาเร็วไปดอกไม่บาน ทำไมทำกับเรายังงี้นะ Fail สุดๆอ่ะค่ะ
ทั้งงานที่บานมีแค่นี้ แค่นี้จริงๆ
แม่แทบจะไม่อยากเดินเที่ยวต่อแล้ว สิ่งที่หวังจะมาดูมันไม่มีอ่า...
ถึงแม้ทั้งงานจะมีดอกไม้สีสดใสอื่นๆบานสะพรั่ง ก็ทดแทนทิวลิปที่อยากจะมาดูไม่ได้
เดินมาเรื่อยๆ ถึงตรงใกล้ๆริมน้ำ ก็มาเจอกับดงคาลล่าลิลลี่หลากสี
สวยน่ารักมากๆ พอให้จิตใจดีขึ้นได้นิดนึง
ระหว่างเดินๆถ่ายรูปอยู่ในงาน เห็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมลงรูปมาเที่ยวเชียงรายอยู่เหมือนกัน
ของเพื่อนถ่ายกับดอกทิวลิปหลากสีสันสดใสสวยงามมาก แม่เลยรีบถามเพื่อนทันที บอกมาด่วนว่าถ่ายที่ไหน?
เพื่อนตอบมาว่าที่สวนตุงและโคม แม่เลยบอกปะป๊า ไปด่วนเลย สวนตุงและโคม ...
งานเชียงราย Asean Flower 2012 เค้าโฆษณาว่าปีนี้จัดอลังการยิ่งใหญ่กว่าทุกปี
มีเอาสัตว์ต่างๆมาโชว์ด้วย เท่าที่เห็นก็มีนกฟลามิงโก้ และนกเพนกวิ้น
(อันนี้น่าสงสารมาก เอามาใส่ตู้กระจกเล็กๆไว้ คงทรมานน่าดู)
เราเดินเล่นต่ออีกหน่อยให้ทั่วๆงาน แล้วก็รีบตรงไปสวนตุงกันเลย
มาถึงสวนตุงและโคมแล้ว แล้วก็พบว่าที่นี่เล็กกว่าบริเวณที่จัดงาน Asean Flower มาก
แต่พอก้าวเข้าไปข้างใน ก็ต้องอึ้งอีกรอบ...
แต่คราวนี้เป็นอึ้งแบบดีใจ และชื่นใจ เพราะที่นี่ถึงแม้จะเล็ก แต่ทิวลิป และลิลลี่บานเต็มที่มากๆ
ทิวลิปหลากสีกำลังบานเต่งตึงเลย ดีใจมากๆ ที่ได้มาที่นี่ ทำให้การมาเชียงรายคราวนี้บรรลุเป้าหมายทุกประการเลย
ที่ทำให้ประทับใจที่นี่มาก กลับกลายมาเป็นดงลิลลี่ ไม่ใช่ทิวลิปอย่างที่ตั้งใจมาดูทีแรก
เพราะไม่เคยเห็นที่เค้าปลูกลิลลี่รวมกันเยอะๆแบบนี้ กลิ่นหอมตลบอบอวลมากๆ
ขอจบทริปเชียงรายไว้เท่านี้นะคะ เด็กจิ๋วต้องบ้ายบายไปก่อน
เจอกันรีวิวหน้าที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ค่ะ
ตอนนี้เด็กจิ๋วเข้าโรงเรียนแล้ว เป็นเด็กอนุบาล 1 แล้วค่ะ เวลาเที่ยวคงลดน้อยลง
ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน เพราะจะได้มีเวลามารีวิวทริปเก่าๆ ที่ดองๆไว้มากมายค่ะ
Dek Jew Chill Out
วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 13.39 น.