เวียดนาม

เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เราสามารถเก็บกระเป๋าไปได้อย่างง่ายดาย

แม้หน้าประวัติศาสตร์ของเวียดนามจะเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งสงคราม

แต่มันกลับเพิ่มเสน่ห์และมนต์ขลังที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้มาเยือน

หลังจากตัดสินใจว่าจะ ‘ไป’ ทุกอย่างก็ถูกจองอย่างรวดเร็วภายในอาทิตย์เดียว เดิมทีทริปเวียดนามของเราจะไปในเส้นทาง ดาลัด-มุยเน่-โฮจิมินห์ แต่เนื่องด้วยเวลาการเดินทางต่างๆของเรามันบีบจนไม่ลงตัว เราจึงต้องเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางใหม่เป็น ดานัง-ฮอยอัน-โฮจิมินห์ นี้แทน ... พร้อมรึยัง! กลับการเดินทางตลอด 3 วัน 2 คืน ที่เรากำลังจะมาเม้าส์ให้ฟัง ถ้าพร้อมแล้วก็ออกผจญภัยในต่างแดนไปพร้อมๆกับเรากันได้เลย ...

Route Plan แพลนคร่าวๆ สำหรับทริปเวียดนาม 3 วัน 2 คืน

Day 1 : ออกเดินทางจากประเทศไทย > ดานัง > ฮอยอัน

Day 2 : ฮอยอัน > บาน่าฮิลล์

Day 3 : บาน่าฮิลล์ > โฮจิมินห์ > เดินทางกลับประเทศไทย


:: Day 0 ::

เตรียมตัวอย่างไรกับสิ่งที่ควรต้องรู้

การ Backpack ไปต่างประเทศ ควรศึกษาข้อมูลก่อนเดินทางเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ควรพกเอกสารสำคัญติดตัว และควรปริ้นเอกสารเกี่ยวกับการจองไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น จองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก จองรถ เป็นต้น เพื่อให้ง่ายต่อการผ่าน ตม. และเผื่อเวลาที่สายการบินถาม .. นอกจากนี้ เราควรเตรียมตัวอะไรอีกบ้างเมื่อไปเที่ยวประเทศเวียดนาม ขอแชร์จากประสบการณ์ตรงของตัวเองนะคะ

1.วีซ่า

ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยไม่ต้องขอวีซ่าเมื่อเดินทางเข้าประเทศเวียดนาม โดยสามารถพำนักอยู่ที่ประเทศเวียดนามได้ 30 วัน

2.เวลา

ประเทศไทยกับเวียดนามตั้งอยู่ในเขตเวลาเดียวกัน (Time Zone) เวลาจึงตรงกัน

3.กระแสไฟฟ้า

เวียดนามใช้กระแสไฟฟ้า 220 โวลต์ เหมือนเมืองไทย ปลั๊กเป็นแบบเดียวกัน จึงไม่ต้องพก adeptor ไปเปลี่ยนให้ยุ่งยาก แต่เราเตรียมปลั๊กพ่วงไปเผื่อ เพราะ เรามีอุปกรณ์ที่ต้องชาร์จเพียบกลัวปลั๊กจะไม่พอใช้

4.ซิมการ์ด

เราจองซื้อผ่านแอพ Klook ไป แล้วสามารถไปรับได้ที่สนามบินดานังเลย 7 GB 170 บาท ไปรับที่ TRUNG NGUYÊN LEGEND .. หากไม่ได้จองซิมโทรศัพท์มา สามารถมาซื้อได้ที่สนามบิน จะมีของ Vinaphone, Mobifone, Viettel, Vietnamobile ค่ะ

5.สกุลเงิน

เวียดนามใช้เงินอยู่ 3 สกุล คือ VND, USD, THB ควรพกติดตัวอยู่ 3 สกุลค่ะ .. เงินดอง มีตั้งแต่ 10.000-500.000 ดอง (ใช้จุดแทนจุลภาค) แล้วก็จะมีเศษเงินเป็นแบงก์กระดาษ เพราะ เวียดนามไม่ใช้เหรียญค่ะ วิธีการคำนวณเงินเวียดนามเป็นเงินไทยอย่างง่ายๆ ที่เราใช้มี 2 วิธีค่ะ

- ตัดศูนย์ข้างหลังทศนิยมออก 3 ตัวแล้วนำไปคูณ 1.4 เช่น 500.000 ดอง เป็นเงินไทยประมาณ 500 x 1.4 = 700 บาท

- นำเงินดองทั้งจำนวนมาหารด้วย 700 เช่น 500.000 ดอง เป็นเงินไทยประมาณ 500.000/700 = 714 บาท

6.สภาพอากาศ

อากาศที่ประเทศเวียดนาม พอๆกับอากาศที่ประเทศไทยเลย แต่เช็คเพื่อไว้หน่อยก็ดีว่าช่วงที่ไปมีฝนหรือไม่

7.Taxi

แท็กซี่ของเวียดนามมีบริการของ Vina sun กับ Mai Linh เท่านั้นค่ะ สามารถเรียกรถได้ทั่วไปพบเจอได้ง่ายพอๆกับบ้านเรา หรือใครจะใช้บริการ Grab ก็สามารถใช้แอพเรียกได้เช่นกัน แต่ระวังในเรื่องของการจ่ายเงิน ควรจ่ายให้พอดีหรือใกล้เคียงกับจำนวนเงินเรียกเก็บดีที่สุดค่ะ เพราะ เวียดนามขึ้นชื่อเรื่องการโกงเงิน

8.จองรถ

เราจองรถของคนเวียดนาม นามว่า ‘เนียง’ (Nhan) โดยหาข้อมูลมาจากกลุ่มเที่ยวเวียดนาม ราคาถูกและเป็นกันเอง สื่อสารภาษาอังกฤษพอคุยกันรู้เรื่อง สอบถามราคาและตกลงกับเขาก่อนไปได้เลยค่ะ .. อันนี้เป็ราคาของทริปของเราค่ะ

Day 1: Airport - Hoi An ราคา 300.000 VND (หากจะแวะเที่ยวในเมืองดานังเพิ่มจะสถานที่ละ 100.000 VND)

Day 2: Hoi An - BaNaHills ราคา 500.000 VND

Day 3: BaNaHills - Airport ราคา 300.000 VND

9.ภาษา

คนเวียดนามสามารถใช้ภาษาไทยและอังกฤษได้ ยิ่งตลาดเบนถันและฮอยอันคนเวียดนามสามารถสื่อสารภาษาไทยได้ แต่ไม่ได้ทุกคนนะคะแต่ไม่ต้องกลัว หากสื่อสารไม่ได้ภาษามือดีที่สุด รอดมาแล้วค่ะ ^^ ..

10.ถนน

คนเวียดนามขับรถพวงมาลัยซ้าย และขับรถเลนขวา การขับรถจะจำกัดความเร็วอยู่ที่ 60 กม.ต่อชั่วโมง .. การข้ามถนนควรข้ามตรงทางม้าลาย ควรกะจังหวะให้ดีแล้วรีบข้ามเลย อย่ามั่วแต่รอไม่งั้นจะไม่ได้ข้าม .. การบีบแตรรถเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่นี่


:: Day 1 ::
24 พฤษภาคม 2562
BKK-Danang-Hoian

เราออกเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่ตีห้าครึ่ง ทริปนี้ เราเดินทางโดยสายการบิน Vietjet นี่เป็นครั้งแรกของเรากับสายการบินนี้ เราจองตั๋วเครื่องบินผ่าน Taveloga ตอน check in ที่เค้าเตอร์ พนักงานจะขอดูไฟลท์กลับของเราค่ะ .. Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 9.00 น. ไปถึงสนามบินนานาชาติดานังถึงเวลา 10.40 น. ใช้เวลาประมาณ 1.40 น. ก็ถึงเวียดนามแล้วค่ะ .. ส่วนนี่เป็นวิวปีกจากตำแหน่งที่นั่ง 20A ของสายการบิน Vietjet เอามาให้ชมกัน

เมื่อเรามาถึงสนามบินนานานชาติดานัง (Danang International Airport) แล้วก็ตรงดิ่งมาตรง immigration ที่เวียดนามผ่านง่ายมากไม่ถามอะไรสักคำ ..

สิ่งแรกที่ทำหลังจากผ่านด่าน ตม. มาได้คือ มารับซิมการด์ ที่จองไว้ .. เราจองซิมการ์ดผ่าน klook มา ราคา 170 บาท นำ voucher มารับที่ร้าน TRUNG NGUYÊN LEGEND ร้านจะอยู่ตรงด้านหน้าอาคาร พอเราออกจากสนามบินออกมา เลี้ยวซ้ายเดินตรงไปอีกนิดก็จะเจอร้านแล้วค่ะ (อย่าลืมนำเข็มจิ้มซิมไปด้วยนะ) .. แต่ถ้าใครไม่ได้จองไป ภายในสนามบินสามารถเดินเลือกซื้อได้เลยมีหลายร้านตามแต่โปรโมชั่นที่เราพอใจ

ต่อมาเราก็ติดต่อหาคนขับรถที่เราจองไว้ เค้าจะถือป้ายรอรับเราอยู่ตรงทางออก เราติดต่อกับเค้าผ่านทางไลน์ โดยแจ้งแพลนว่าเราจะไปที่ไหนบ้าง ให้เค้าคำนวณราคามาให้เลย รับรองว่าถูกกว่าการเรียก grab แน่นอน เป็นกันเอง บริการดี และคุยภาษาอังกฤษได้ .. contact อยู่ตามข้างล่างนี้นะคะ

เมืองดานัง (Đà Nẵng) หลายคนคงรู้จักดานังในนามทางเชื่อมไปนังเมืองมรดกโลกอย่างฮอยอัน ดานังไม่ได้โดดเด่นเรื่องเมืองเก่า แต่มีความสงบและความสะอาดของชายหาดบวกกับความทันสมัยของเมืองจึงทำให้ดานังโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวขึ้นมา และดานังยังมีความลับซ่อนอยู่ซึ่งเป็นจุดหมายใหม่แห่งการเดินทางที่สวยอลังการอยู่บนยอดเขาแห่งสายหมอก .. พร้อมที่จะออกรถไปตะลุยเมืองดานังกับเราแล้วรึยัง !? ส่วนเราพร้อมมาก ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลย ..

สถานที่ 1 วัดหลินอึ๋ง | Linh Ung Pagoda (Chùa Linh Ứng - Sơn Trà) ตั้งอยู่บนยอดเขา เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทะเลและชายหาดหมีเควได้ ความพิเศษของที่นี่ คือ รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมสีขาวล้วน ความสูง 67 เมตร ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่แหลมซอนทรา (Sơn Trà Peninsula)

สถานที่ 2 ชายหาดหมีเคว | My Khe Beach (Bãi Biển Mỹ Khê) ดานังเป็นเมืองท่าติดทะเล แน่นอนว่าสถานที่ยอดฮิตต้องหนีไม่พ้นชายหาด และชายหาดหมีเควก็เป็นหาดยอดนิยมที่ชาวดานังใช้เป็นสถานที่ออกกำลังกายในยามเช้าและยามเย็น และชายหาดด้านที่ใกล้แหลมเซินจ่าก็เป็นหาดที่สำหรับจอดเรือตะกร้า เราแวะมาถ่ายรูปเล่นในเวลาสั้นๆ แต่สัมผัสได้มาทรายที่นี่ขาว ละเอียด นุ่มมากๆ

สถานที่ 3 ร้านอาหาร seafood | Bé Mặn (Nhà Hàng Bé Mặn) กองทัพต้องเดินด้วยท้อง จริงไหม!? เราเลยเลือกร้านอาหารทะเลที่คนท้องถิ่นบอกว่าดีที่สุดในเมือง คือ ร้านนี้ Bé Mặn เป็นร้านอาหารซีฟู้ดที่สดและราคาถูก เรารู้จักร้านนี้จากคลิปในยูทูปของหม่อมถนัด- .. ที่ร้านจะให้เราเดินเลือกอาหารทะเลที่แล้วบอกว่าเราอยากได้เป็นเมนูไหนบ้าง มื้อนี้ค่าเสียหายของเราอยู่ที่ 1743.000 VND หรือประมาณ 2,440 บาท (สี่คนกิน) .. ขอแนะนำสำหรับคนไทยให้เตรียมน้ำจิ้มซีฟู้ดไปด้วยนะคะ ^^

สถานที่ 4 โบสถ์สีชมพู | Danang Cathedral ( Giáo XỨ Chính Toà Đà Nẵng) โบสถ์สีชมพูหวานที่สร้างขึ้นตามสถาปัตยกรรมกอทิกในสมัยที่ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส คนดานังจะเรียกโบสถ์แห่งนี้ว่า ‘โบสถ์ไก่’ เพราะ มีกังหันรูปไก่ติดอยู่ด้านบนสุด และเป็นโบสถ์แห่งเดียวในเมืองดานัง ทำให้ที่นี่เป็นศูนย์รวมหลักของชาวคริสต์ในเมือง เข้าชมฟรี เปิดทุกวัน จันทร์-เสาร์ เวลา 05:00 – 17:30 น. และวันอาทิตย์เวลา 05:00 – 17:00 น. เข้าชมได้แค่รอบนอก ทัวร์จีน ทัวร์เกาหลี ค่อนข้างมาที่นี่เยอะ ก็อย่าเพิ่งอารมณ์เสียกันนะ

สถานที่ 5 ตลาดฮาน | Han Marget (Chợ Hàn) เป็นตลาดเก่าแก่ที่สุดและเป็นตลาดโบราณที่ใหญ่ที่สุดในดานัง อยู่ใกล้กับโบสถ์สีชมพู ใครอยากซื้อของฝากของที่ระลึกจากเวียดนามก็ลองมาเดินดู เดินชมกันได้ พ่อค้าแม่ค้าที่นี่พูดไทยได้ชัดแจ๋ว หรือใครอยากใส่ชุดอ๋าวหญ๋ายแนะนำให้ซื้อที่นี่ เพราะ ถูกกว่าครึ่งๆเลย

สถานที่ 6 สะพานมังกร | Dragon Bridge (Cầu rồng) เป็นสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำห่าน สะพานนี้ออกแบบเป็นรูปมังกรทองทอดตัวยาวข้ามแม่น้ำ จนได้รับการขนานนามว่า ‘มังกรแห่งเอเชีย’ และในยามค่ำคืนของวันหยุดสุดสัปดาห์ เวลาประมาณ 21.00 น. จะมีการแสดงลมหายใจแห่งมังกร (Fire-Breath of Dragon) ซึ่งมังกรตัวนี้จะพ่นไฟขึ้นฟ้าสลับกับพ่นน้ำใส่คนดู .. มุมถ่ายรูปที่อยากแนะนำ หากเดินเลียบแม่น้ำไปหน่อย จะเจอกับเจ้าคาร์ฟดราก้อน (CÁ CHÉP HOÁ RỒNG) ซึ่งมุมนี้จะเป็นจุด View Point เหมาะกับการถ่ายรูปมากๆเลยค่ะ

สถานที่ 7 ภูเขาหินอ่อน | Marble Mountain (Núi Ngũ Hành Sơn) เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของดานัง ประกอบไปด้วยภูเขาขนาดใหญ่ 5 ลูก แทนธาตุทั้งห้า อันได้แก่ น้ำ ไม้ ไฟ โลหะ ดิน โดยภูเขาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ Thủy Sơn ซึ่งเป็นภูเขาที่เรากำลังเที่ยวชมอยู่ในขณะนี้นั่นเอง

ไฮไลต์อยู่ที่ถ้ำเหวียนคง (Huyền Không Cave) เป็นถ้ำที่มีช่องแสงธรรมชาติอยู่ด้านบน เคยเป็นที่หลบภัยของชาวเวียดกงในช่วงสงครามกับอเมริกา ภายในมีแท่นบูชา 4 แท่น สำหรับขอพรด้านสุขภาพ ความรัก เงินและบุตร

เราเสียค่าเข้าชม Marble Mountains คนละ 40.000 VND และมีลิฟต์แก้วให้บริการ รอบละ 15.000 VND

หลังจากที่เราเที่ยวในเมืองดานังกันจนหนำใจ ตอนนี้ก็เป็นเวลาสี่โมงครึ่งแล้ว ก็สมควรแก่เวลาที่เราจะไปเชคอินที่ห้องพักคืนแรกของเราสักที .. ซึ่งคืนแรกของเรานี้จะนอนกันที่ฮอยอันกันค่า Let’s go to Hoi-An

ฮอยอัน (Hội An) เรารู้จักเมืองนี้ครั้งแรกผ่านละครหลังข่าวเรื่องหนึ่งที่พระนาง ‘เจนนี่-แดน’ เป็นผู้แสดงไว้ นั้นก็คือ ‘ฮอยอัน ฉันรักเธอ’ มีใครเกิดไม่ทันไหม!? ... เสน่ห์ของตึกสีเหลืองสไตล์โคโลเนียล ที่ผสมผสานระหว่างความเป็นยุโรปและจีนเข้าด้วยกันอย่างลงตัว มันดึงดูดให้คนที่ชอบสีเหลืองแบบเราเลือกเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเมืองเก่าแห่งนี้ จนกระทั่งในปี 2542 องค์การยูเนสโกได้ประกาศในเมืองฮอยอันเป็นเมืองมรดกทางวัฒนธรรม

ที่พักของเราชื่อ Tran Family Villas Boutique ทำการจองผ่านทาง Agoda มาในราคา 1,276.68 บาท เป็นห้อง Family Suite with Balcony สามารถพักได้สูงสุด 4 คน เหมาะสำหรับมาเป็นครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน .. ตอนที่เข้าเช็คอินพนักงานจะให้เราเลือกอาหารสำหรับมื้อเช้าว่าเราอยากจะทานอะไร อาหารเช้าของที่พักนี้จะเสริฟ์ตั้งแต่ 6.30 น.จนถึง 10.00 น.

ที่พักมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ผ้าเช็ดตัว, เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น, โทรทัศน์, ไดร์เป่าผม, wifi เป็นต้น ... หากใครมีความประสงค์อยากไปเที่ยวย่านเมืองเก่าฮอยอัน สามารถนำจักรยานไปได้ไม่มีค่าบริการ แต่ขี่ระวังๆหน่อยนะคะ ระวังจะหลงเลนแบบเรา และอย่าไปตกใจกับเสียงแตรรถนะ เป็นปกติของบ้านเมืองเค้า

หลังจากที่เราเข้ามาเก็บของ ล้างหน้าล้างตาพอให้บรรเทาจากความเหนื่อยเมื่อยล้าที่เที่ยวมาตลอดทั้งวัน แพลนเราก็มีการปรับเปลี่ยนใหม่อีกครั้ง เนื่องจาก เวลาที่เราคาดคะเนไว้ได้ล่วงเลยมาจนเย็นมากแล้ว เราจึงตกลงกันว่า ช่วงค่ำของวันนี้เราจะไปเดินเล่นที่ Night Market กัน เก็บบรรยากาศยามค่ำคืน และพรุ่งนี้เช้าตรู่ เราจะกลับมาอีกครั้งเพื่อซึบซับบรรยากาศยามเช้า .. การเดินทาง ของเราส่วนใหญ่ ใช้ Google Map ในการนำทาง พาอ้อมบ้างอะไรบ้างก็ตื่นเต้นดี ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบทุกครั้งในการเดินทาง ...

เปิดประเดิมร้านแรก หนึ่งใน Target List ที่อยากมาทาน .. แจ (Chè) ขนมหวานสไตล์เวียดนาม มีให้เลือกหลายอย่างเช่น ข้าวโพด ถั่วแดง ลอดช่อง รากบัว สาคูฯ คนแล้วตักกิน รสชาติคล้ายถั่วเขียวต้มน้ำตาลบ้านเราเลย แปลกดีต้องลอง ราคาแก้วละ 20.000 VND

มาค่ะ เราจะพาทุกคนไปเดินชมฮอยอันยามค่ำคืนกัน ยามกลางวันที่ว่าสวยแล้ว แต่ยามกลางคืนของฮอยอันกลับมีเสน่ห์ยิ่งกว่า .. ยิ่งดึกเมืองนี้ยิ่งครึกครื้น

เดินไปเดินมาเราก็มาป๊ะเข้ากับอีกหนึ่ง Target List ของเรา นั่นคือ น้ำดอกบัว นั่นเอง .. รสชาติมันจะเป็นแบบไหน ถึงจะเฝื่อนแต่คงต้องขอลอง ราคาแก้วละ 12.000 VND ส่วนประกอบของน้ำดอกบัวมีแต่สมุนไพรทั้งนั้นเลยค่ะ

เสียดายเรามาเย็นไปหน่อย หากใครมีเวลามากพอแนะนำให้ซื้อตั๋วเข้าชมเมืองเก่า ราคา 120.000 VND สามารถหาซื้อได้ตามเคาน์เตอร์ขายตั๋วรอบๆเมืองได้เลย ตั๋วชมเมืองจะประกอบด้วยตั๋วใบเล็ก 5 ใบ ใช้เข้าชมบ้านเก่า ศาลเจ้า วัด พิพิธภัณฑ์ที่ใดก็ได้ 5 แห่งค่ะ แต่ถ้าต้องการชมเพียงด้านนอกก็เดินชมได้ทั่วเมืองโดยไม่ต้องซื้อตั๋วค่ะ .. มื้อเย็นของเราวันนี้ก็ฝากท้องไว้กับ Street Food ที่เมืองฮอยอัน สั่งเมนูไป 5 อย่าง ที่จำได้ก็จะมี Cao Lầu ,ข้าวมันไก่, ผัดผักบุ้ง, หมูย่างห่อกับแป้งและผัก, เกี๊ยวทอดไส้ปู ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ 435.000 VND

สำหรับการเดินทางของวันนี้ขอลาเพียงเท่านี้ เจอกันตอนเช้ากับบรรยากาศฮอยอันยามเช้านะคะ .. ราตรีสวัสดิ์จ้า


:: Day 2 ::
25 พฤษภาคม 2562
Hoian-BanaHill

อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่ 2 จ้า ~ เช้าวันนี้เรามีความตั้งใจไปเดินถ่ายรูปเล่นที่ย่านเมืองเก่าฮอยอันกันค่ะ ช่วงเช้าของย่านเมืองเก่าฮอยอันค่อนข้างสงบ เงียบ ใครอยากได้รูปสวยๆต้องมาช่วงเช้า มาปั่นจักรยานหรือเดินชมชมเมืองกันแบบคนยังไม่พลุกพล่าน ..

ถ้ามาถึงฮอยอันแล้วไม่ได้มาสะพานนี้ก็คงไม่ได้ ถ่ายรูปเชคอินสิคะ รออัลไล ~

สะพานแห่งนี้เรียกว่า สะพานญี่ปุ่น | Japanese Covered Bridge (Lai Viễn Kiều) ซึ่งแปลว่า สะพานแห่งมิตรไมตรีในภาษาเวียดนาม สะพานเล็กๆสีแดงที่สร้างขึ้นข้ามคลองเพื่อเชื่อมระหว่างชุมชนชาวจีนและญี่ปุ่น มีศาลเจ้าจั่วเกิ่ว (Cầu Chùa) ตั้งอยู่กลางสะพาน (ต้องใช้ตั๋วเข้าชมเมืองเก่า) .. ปลายสะพานทั้งสองจะมีรูปปั้นลิงและสุนัขตั้งอยู่ เป็นสัญลักษณ์แทนปีที่สร้างสะพาน นั่นคือ เริ่มสร้างในปีวอก สร้างเสร็จในปีจอ ..

ในช่วงเช้าร้านต่างๆในฮอยอันยังไม่เปิดค่ะ เราจึงมาทานอาหารเช้ารองท้องเป็นมื้อเช้าริมทาง ที่นั่งทานริมถนน มีเก้าอี้ตัวเล็กเป็นโต๊ะและเก้าอี้ให้นั่งทานกัน อยู่ตรงหัวมุมถนนใกล้ๆสะพานญี่ปุ่น ริมแม่น้ำทูโบ่น เราจัดกาแฟใส่นม ราคา 20.000 VND เสริฟ์มาคู่กับน้ำชา ปกติเราเป็นคนไม่กินกาแฟแต่ลองชิมกาแฟที่นี่ เฮ้ย! อร่อยอ่ะ แล้วเราก็สั่งอาหารเวียดนามมาอีกหนึ่งอย่าง เรียกว่า บั๋นหล่ำ ราคา 30.000 VND อร่อยถูกปากมากค่ะ

อาหารเช้าเรายังไม่หมดเพียงเท่านี้ มาถึงเวียดนามจะไม่ทาน ‘บั๋นหมี่’ (Bánh mì) ก็เดี๋ยวจะว่าว่ามาไม่ถึง บั๋นหมี่ก็คือขนมปัง Baguette เวียดนามที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศฝรั่งเศส บางครั้งก็เรียกว่า "แซนด์วิชเวียดนาม" เราเลยหาร้านที่เปิดแล้ว สรุปได้มาทานบั๋นหมี่กันที่ร้าน MóTร้านเดียวกับที่เราทานน้ำดอกบัวกันเมื่อคืน ในราคา 55.000 VND

อีกหนึ่งเมนูที่มาเวียดนามแล้วไม่ควรพลาด ต้องทานเฝอ (phở) ซึ่งเป็นอาหารหลักของคนเวียดนาม มีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวของไทย แต่ต่างกันที่เส้น น้ำซุป และเครื่องเคียง

เราเดินเล่นในฮอยอันเพื่อรอเวลาที่ร้าน Faifo Coffee จะเปิด ร้านนี้เปิดเวลาแปดโมงเช้า ทำไมถึงอยากมาร้านนี้ เพราะ ร้านนี้มี Roof Top ไง เป็นร้านกาแฟที่มีดาดฟ้าให้ขึ้นไปนั่ง ถ่ายรูป เห็นเมืองเก่าจากมุมสูง ร้านนี้คนมาค่อนข้างเยอะ .. อยากได้รูปต้องใจเย็นๆนะ

เราสั่งเครื่องดื่ม Vietnam Black Coffee , Late Coffee และ Strawberry Soda ค่าเสียหายรวม 130.000 VND

และตรอกมหาชนที่จะไม่แวะมาถ่ายรูปก็ไม่ได้ อยู่ใกล้ๆกับร้านกาแฟนี้เอง ตั้งใจซื้อเสื้อสีนี้เพื่อตรอกนี้โดยเฉพาะเลย อิอิ

หากใครมีเวลามากพอเราอยากจะแนะนำอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด แต่เราพลาด 555 .. นั่นคือ ล่องเรือตะกร้า (Basket Boat Tour) .. เรือตะกร้า เกิดจากไอเดียชาวฝรั่งเศสที่คิดค้นไว้ใช้สัญจรและขนของในเวียดนาม เมื่อครั้งเกิดน้ำท่วมใหญ่ สามารถหมุนได้ 360 องศา ระหว่างการล่องเรือ จะมีโชว์ Boat Dance ประกอบเพลงสุดมันส์ การล่องเรือใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม. ค่าใช้จ่ายลำละประมาณ 600,000 VND เรือ 1 ลำสามารถนั่งได้ 2 คน

จากตัวเมือง “ฮอยอัน” แนะนำให้เรียก Grab ค่าใช้จ่ายประมาณ 95,000 – 100,000 VND ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที

เสร็จจากเดินเล่นที่ย่านเมืองเก่าฮอยอันยามเช้าแล้ว เราก็กลับไปยังที่พักเพื่อทานอาหารเช้าของโรงแรม อาบน้ำแต่งตัวใหม่ และเชคเอ้าท์ให้ทันเวลา 10.30 น. ที่เรานัดคนขับรถให้มารับพาเราไปสู่สถานที่ต่อไป นั่นคือ บาน่าฮิลล์ (Bà Nà Hills) ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางกันเกือบหนึ่งชั่วโมง เพราะ กฏหมายของเวียดนามจำกัดความเร็วในการขับรถอยู่ที่ 60 กม./ชม. รถมอเตอร์ไซด์ที่ขับเคารพกฏจราจรยิ่งกว่าเมืองไทยอีก เค้าสวมหมวกกันน็อคกันทุกคน เห็นแล้วอายเลยจ้า

บาน่าฮิลล์ (Bà Nà Hills) เป็นสถานที่ตากอากาศของชาวฝรั่งเศสในยุคอาณานิคมขึ้นมาสร้างไว้ แม้เวียดนามจะอุณหภูมิจะใกล้เคียงกับประเทศไทยแต่อุณหภูมิข้างบนนี้กลับลดลงเหลือเพียงสิบกว่าองศา หลังจบสงครามฝรั่งเศษพ่ายแพ้ ทำให้ถูกทิ้งร้างมานานจากผลของสงคราม และกลับมาบูรณะเป็นเมืองท่องเที่ยวในปี 2009 พร้อมสร้างเคเบิ้ลคาร์ยาวเกือบ 6 กิโลเมตร ซึ่ง Guinness World Records จัดให้เป็นกระเช้าที่ยาวที่สุดและมีความสูงระหว่างสถานีสูงที่สุด

คืนนี้เราพักกันที่ Mercure Danang French Village Ba Na Hills ทำการจองผ่านทาง Agoda มาในราคา 6,010.44 บาท เป็นห้อง Family Room with Bunk Beds สามารถพักได้ 4 คน รวมอาหารเช้า .. เตียงที่ได้จะเป็นเตียงสองชั้น ส่วนห้องน้ำจะแยกห้องสุขากับห้องอาบน้ำออกจากกัน ไร้ปัญหาเรื่องการแย่งเข้าห้องน้ำ .. ที่พักมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ตามมาตรฐานโรงแรมระดับ 4 ดาว ไม่ว่าจะเป็น ผ้าเช็ดตัว, เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น, โทรทัศน์, ไดร์เป่าผม, wifi, เตารีด เป็นต้น

เมื่อไปถึงจะมีเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนการเข้าพัก และให้คูปองสำหรับขึ้นกระเช้า และเอกสารที่นำไปแลกคีย์การ์ดเข้าห้องพักที่ Lobby บนบาน่าฮิลล์ .. สำหรับราคาค่าใช้บริการเคเบิ้ลคาร์ ถ้าเราพักที่ Mercure Danang French Village Ba na Hills จะได้ราคา 400.000 VND (ไป-กลับ) ราคานี้จ่ายแยกกับค่าที่พักนะคะ เจ้าหน้าที่จะเก็บตั๋วขึ้นเคเบิ้ลคาร์ไป ตอนลงก็ลงมาโดยไม่ต้องใช้ตั๋วอะไรค่ะ .. ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไปที่ไม่ได้เข้าพักจะต้องจ่าย 550.000 VND เป็นค่าเข้าและค่าเคเบิ้ลคาร์

สำหรับเคเบิ้ลคาร์สำหรับผู้เข้าพักที่โรงแรมจะขึ้นจาก Danang Station เป็นกระเช้าสายเดียวมุ่งสู่ด้านบนเลยค่ะ ไม่ต้องเปลี่ยนสายที่ไหน กระเช้าสายนี้จะไต่ระดับความสูงเรื่อยๆประมาณ 30 นาที ระหว่างทางเราจะได้เพลิดเพลินวิวที่สวยงามของเมืองดานังในมุมสูง ต้นไม้ ภูเขา บางช่วงเมื่อมองลงไปด้านล่างก็จะเห็นน้ำตกและได้ยินเสียงน้ำตกด้วยค่ะ .. ส่วนตัวไม่ใช่คนที่กลัวความสูง แต่ยอมรับเลยค่ะว่าแอบเสียวเบาๆ ฮ่าๆ

เมื่อเรามาถึง Gare de l’indochine Station พอเดินออกมายัง French Village เมื่ออากาศข้างบนปะทะร่างกายขอบอกเลยค่ะว่า เย็นสบายแบบสุดๆ อากาศบริสุทธิ์มากๆ และคนเยอะแยะมากๆ ทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีน เกาหลี ฝรั่ง และคนไทย แต่พอตกช่วงเย็นๆ คนก็หายหมดเหลือแต่คนที่พักด้านบนเท่านั้นค่ะ .. เราเดินไปที่ Lobby เพื่อรับคีย์การ์ดเป็นอันดับแรกและ Bell Boy จะพาเราเดินไปยังห้องพัก Receptionist จะแนะนำสถานที่สำคัญและวงในแผนที่ให้คร่าวๆ ว่าที่พักเราอยู่ตรงไหน ต้องเดินไปทานอาหารเช้าที่ไหน เคเบิ้ลคาร์ที่ลงไปสะพานมืออยู่ที่ไหน บลาๆๆๆ

หลังจากที่นำสัมภาระเก็บเข้าที่พักเรียบร้อย เราลงมติกันว่าจะไม่ทานอาหารกลางวันจะเก็บท้องไว้รอดินเนอร์บุฟเฟ่ต์กันตอนเย็นเลยทีเดียว .. เราปิดประตูเดินออกจากห้องพักและไม่ลืมที่จะถ่ายรูปกับลูกโลก Sun World ก่อนที่จะไปเดินสำรวจรอบๆ

ด้านบนนี้มี Theme Park ให้เล่นด้วยค่ะ เล่นได้แบบ Non-Stop กันไปเลยทีเดียว .. เราเริ่มกันที่ Fantasy Park เปิดให้เล่นตั้งแต่ 8.30 น.- 19.00 น. เป็นสวนสนุกที่ได้แรงบันดาลมาจากนวนิยายเรื่อง Journey To The Center of the Earth และ Twenty Thousand under the Sea เครื่องเล่นส่วนใหญ่อยู่ในร่ม ตั้งแต่เครื่องเล่นหวาดเสียวระทึกใจ อย่าง Tower Drop ที่ขึ้นไปเล่นแล้วไม่กล้าลืมตา

จนถึงเครื่องสนุกสนานแบบเด็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็น รถบั๊ม (Fire Race) บ้านผีสิง (Horror House) ถ้ำไดโนเสาร์ (Jurasic Park) เครื่องเล่นแบบ 4D และ 5D เป็นต้น

และก็พลาดไม่ได้กับเครื่องเล่นกลางแจ้ง อย่าง Alpine ที่คนต่อแถวกันเล่นอย่างล้นหลาม ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น รอแล้วรออีกก็ไม่ขยับไปไหน และสุดท้ายก็รอฟรีจ้า เนื่องจาก หมอกลงจัดมากจนมองอะไรไม่เห็นเลย ทางเครื่องเล่น Alpine จึงปิดให้บริการ ฮือๆๆ เสียใจที่ไม่ได้เล่น ~ อุตส่าห์ต่อแถวมาตั้งนาน

เราจึงมาเดินเล่นท่ามกลางสายหมอกที่วนเวียนอยู่รอบตัวเรา แต่เดินเล่นได้ไม่นานหมอกก็ลงมาจัดมาก จัดเสียจนเพื่อนที่อยู่ห่างกันไม่กี่ก้าวแทบมองกันไม่เห็น และหลังจากนั้นฝนก็ตกลงมาจ้า .. วิ่งสิคะ วิ่งหน้าตั้งหนีฝนไปหลบในที่พักเพื่อตั้งหลักกันก่อน .. เราตั้งใจจะไปสะพานมือ (Golden Bridge) ช่วงประมาณ 5 โมง มาลุ้นกัน ขอให้หมอกมลายหายไป ฝนหยุดตกด้วยเถิด เพี้ยง~

และแล้วในความโชคร้ายก็มีความโชคดีบังเกิดขึ้น ฝนได้ขับไล่หมอกที่หนาให้มลายหายไป ให้เรากลับมามองเห็นได้อีกครั้ง .. พวกเรารีบสะพายกล้องและมุ่งตรงไปยังเคเบิ้ลคาร์ Louvre Station เพื่อลงไปยัง Bordeaux Station เราใช้เวลาลงเคเบิ้ลคาร์สายนี้ประมาณ 15 นาที ก็ถึงสะพานมือ (Golden Bridge) แล้วคร่า เย้ๆ

สะพานมือ (Golden Bridge) ที่เที่ยวแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2561 ความพิเศษของสะพานแห่งนี้ก็อยู่ที่การออกแบบที่แปลกไม่เหมือนใคร ด้วยเสาที่เป็นรูปมือยักษ์สองข้างรองรับสะพานเอาไว้ ตัวสะพานเป็นสีทอง บอกเลยว่าถ้าไม่ได้ถ่ายรูปคู่สะพานมือ (Golden Bridge) ก็เหมือนมาไม่ถึงบาน่าฮิลล์ .. สะพานมือ (Golden Bridge) ได้รับการโหวตจาก TIME magazine ให้เป็นหนึ่งใน 10 จุดหมายที่ดีที่สุดในโลกปี 2018 อีกด้วย

เวลาที่ทัวร์ลงถ่ายรูปสวยๆได้ยาก หากพักที่นี่ รอสักประมาณ 5-6 โมง เวลาที่ทัวร์กลับไปแล้ว คนจะน้อยลง หรือไม่ก็มาที่สะพานมือตอนกระเช้าเที่ยวแรกรับรองได้ภาพสวยๆ อัพเฟสอัพไอจีแน่นอนจ้า

ใกล้ๆกับสะพานมือก็จะมีทางไปสวนดอกไม้ Le Jardin d’ Amour มีด้วยกัน 9 โซน คือ Legend Garden, Mo Spring Garden, Memory Garden, Thought Garden, Love Garden, Heaven Garden, Holy Garden, Secret Garden, และ Grape Garden แต่ละสวนจะตกแต่งในคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างกันไป

ระหว่างที่เรากำลังเพลิดเพลินฝนก็ตกลงมา เราเดินเข้ามาหลบฝนและนั่งรอสักพักใหญ่ เลยตัดสินใจกลับไปยังเครื่องเล่นอินเดอร์ใน Fantasy Park ต่อกะจะเก็บเครื่องเล่นที่ยังไม่ได้เล่น อู้หู้ ไม่มีคนเลย เล่นได้เลยไม่ต้องรอคิวนานแบบตอนบ่าย สุดยอด!

เล่นนั่นเล่นนี่กันจนท้องร้อง จ๊อกๆ ลืมไปเลยว่าหลังจากมื้อเช้าเรายังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันเลย เราเดินไปกินข้าวที่ Beer Plaza ดินเนอร์บุฟเฟ่ต์นานาชาติ เปิดถึง 22.00 น. บุฟเฟ่ต์คนละ 250.000 VND จะได้รับคูปองไว้สำหรับแลกเบียร์ได้ 1 ลิตร (1 ใบ/2 เหยือก) มีให้เลือกระหว่าง Black Beer และ Yellow Beer กินข้าวพร้อมการแสดงดนตรีสด มันส์อย่าบอกใครเชียว ..

เมื่ออิ่มแล้วก็มาเดินย่อยรับลมเย็นๆกันหน่อย อุณหภูมิตอนกลางคืนเย็นยิ่งกว่าตอนกลางวันอีกค่ะ อุณหภูมิที่เราเจอประมาณ 17 องศา .. เรามาหยุดถ่ายรูปเล่นบริเวณโบสถ์ที่จำลองมาจากโบสถ์ Notre-Dame ในกรุงปารีส ภายใต้กลิ่นอายของหมู่บ้านฝรั่งเศสสมัยยุคกลาง .. ขอปิดท้ายค่ำคืนนี้ด้วยภาพ French Village ยามค่ำคืนแต่เพียงเท่านี้ค่ะ


:: Day 3 ::
26 พฤษภาคม 2562
BanaHill-Hochiminh-BKK

วันสุดท้ายของการเดินทาง .. เราก็ยังคงตื่นเช้ากว่าการตื่นไปทำงานเช่นเดิมเพิ่มเติมคือเช้ากว่าเดิม วันนี้ที่เราต้องตื่นเช้ากว่าเดิมนั้น เนื่องจาก เรามีภารกิจสำคัญในตอนเช้า เรามีเวลาจำกัดในการลงจากบาน่าฮิลล์เพื่อไปที่สนามบินให้ทันไฟล์ทบินไปโฮจิมินห์ในช่วงสายของวันนี้ ..

เราไปทานอาหารเช้าของโรงแรมกันที่ห้องอาหาร LA COTE D’AZUR ห้องอาหารจะเปิดให้บริการตอน 6.30 น. เลือกทานได้ตามสบายเลยค่ะ

ระหว่างรอห้องอาหารเปิด เราจึงมาถ่ายรูปเล่นกันก่อนบริเวณใกล้ๆห้องอาหาร บรรยากาศที่นี่ดีมาก มาแค่เวียดนามแต่ได้ภาพเหมือนมาฝรั่งเศส คุ้มสุดๆ

อย่างที่บอกค่ะว่าเช้านี้เรามีเวลาจำกัด การวางแผนเวลาดีดีเป็นเรื่องที่สำคัญมาก .. เคเบิ้ลคาร์มีเวลาเปิดปิดที่ชัดเจน เราสอบถามจากทางโรงแรมว่าจะลงเคเบิ้ลคาร์รอบแรกต้องลงสายไหนที่เร็วที่สุด หากใครมีเวลาจำกัดแบบเราสามารถตามรอยได้นะคะ .. หลังทานอาหารเช้าเสร็จเรารีบมาที่เคเบิ้ลคาร์สถานีที่จะลงไปตรงสะพานมือ Louvre Station - Bordeaux Station เที่ยวแรกเปิด 7.15 น. แล้วมาต่อเคเบิ้ลคาร์อีกสาย Marseille Station - Hoi An Station เที่ยวแรกเปิดให้บริการ 7.00 น. ถ้าทำเวลาได้แบบนี้รับรองไปสนามบินทันแน่นอนจ้า

หลังจากลงจาก Cable Car เรียบร้อยแล้ว เราก็ตรงดิ่งมาตรงทางออกที่เรานัดพบกับคนขับรถของเราไว้ .. ถือว่าเราทำเวลากันได้ดีมาก .. สำหรับค่ารถเราจะจ่ายให้คนขับหลังจากส่งเราที่สนามบินเรียบร้อยแล้วตามที่ได้ตรงลงราคากันไว้ .. Mr Nhan (เนียง) ให้บริการดีมาก มีน้ำดื่มให้ทาน แถมเปิดเพลงไทยให้เราฟังด้วย ใครมาเที่ยวที่นี่ ขอแนะนำ Mr Nhan (เนียง) นะคะ .. service ดี ราคาถูกและไม่โกง

เราใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็เดินทางมาถึงสนามบินแห่งชาติดานัง (Danang International Airport) มาถึงเร็วกว่าที่คิด แอบลุ้นมาตั้งนาน ถามใครๆก็บอกว่าไม่ทันแน่นอน สรุป ทันนะจ้ามีเวลาเหลือด้วย (เราทำการเชคอินออนไลน์ไว้แล้วเดินเข้าเกทอย่างสวยๆเลยค่ะ ไม่ต้องต่อคิวออก Boarding Pass ใช้ E-ticket ในการขึ้นเครื่องแทน) ถ้าไม่ได้เชคอินออนไลน์มาถ้ามาต่อคิวเชคอิน มีไม่ทันแน่นอน แถวยาวมากๆๆๆๆ .. รอบนี้ เราเดินทางโดยสายการบิน Vietjet อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เราบินในประเทศ เราจองตั๋วเครื่องบินผ่าน Taveloga เช่นเดิม .. Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 9.45 น. ไปถึงสนามบินนานาชาติเตินเซินเญิ้ต (Tan Son Nhat International Airport) ถึงเวลา 11.10 น. ใช้เวลาประมาณ 1.25 ชม. ก็ถึงโฮจิมินห์แล้วค่ะ

โฮจิมินห์ (Hồ Chí Minh) ถูกเปลี่ยนชื่อมาจาก ไซ่ง่อน หลังจากการรวมเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้เข้าด้วยกันเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม แม้โฮจิมินห์จะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศเวียดนาม แต่ก็เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ .. โฮจิมินห์เป็นย่านสำคัญที่คนส่วนใหญ่ที่จะเดินทางไปดาลัค-มุยเน่นิยมมาจองรถซื้อตั๋วในย่านฟามงูเหลา แต่ในปัจจุบันมีเที่ยวบินบินตรงสู่ดาลัคไม่ต้องเสียเวลาในการนั่งรถ 5-6 ชั่วโมง แต่ทริปนี้เรามีเวลาแค่ 3 วัน ดาลัค-มุยเน่ จึงถูกตัดทิ้งไปจากแพลนการเดินทางของเรา .. ก่อนที่เราจะไปตะลุยโฮจิมินห์กัน เราต้องการความคล่องตัวกันซะก่อน เราจึงนำสัมภาระมาฝากที่ห้องล็อกเกอร์ของที่สนามบิน โดยจุดฝากกระเป๋ามีอยู่ที่เดียว จะอยู่ที่อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ Terminal 2 ชั้นที่ 1สังเกตป้าย Locker Room แล้วก็เลี้ยวเข้าไปเลยค่ะ .. ห้องจะอยู่ซ้ายมือ เป็นห้องเล็กๆ บอกเจ้าหน้าที่ว่าเราจะฝากกระเป๋า เจ้าหน้าที่จะถามว่าจะฝากถึงกี่โมง จากนั้นเขาจะคำนวนราคาให้ แล้วก็ยืนพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่จดรายระเอียด แล้วก็จ่ายค่าบริการมัดจำ เจ้าหน้านี้จะติดแท็กให้กับกระเป๋าทุกใบ จากนั้นค่อยยื่นใบเสร็จให้เราพร้อมกับคืนพาสปอร์ตให้ แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว (เก็บใบเสร็จไว้รับกระเป๋าด้วยนะ) สำหรับค่าบริการฝากกระเป๋า เค้าคิดแบบนี้ .. น้อยกว่า 10 ชั่วโมง 27,500 ดอง/ชั่วโมง/ใบ แต่ถ้ามากกว่า 10 ชั่วโมงก็จะเป็น 275,000 ดอง/วัน/ใบ

เราเลือกผจญภัยในเมืองด้วยการนั่งรถประจำทาง รถประจำทางจะจอดให้บริการที่หน้าสนามบินเลยค่ะ รถประจำทางที่วิ่งเข้าเมืองจะมีบริการรถโดยสารสาย 109 สาย 119 และสาย 152

เราจะไปเริ่มต้นที่ The Apartment Cafe เราเลือกขึ้นรถโดยสารสาย 109 ค่ารถคนละ 20.000 VND รถประจำทางบ้านเค้าแอร์เย็น รถดูใหม่แล้วก็สะอาดดีค่ะ .. เราถามกระเป๋ารถเอาว่า จะไปที่นี่ต้องไปลงที่ป้ายไหนใกล้สุด ได้ความมาว่า ต้องไปลงที่ป้าย LÊ LƠI แล้วเดินเอาหน่อย ลุยค่ะ ! ในมือก็ถือ Google Map ไปด้วย ไม่ต้องกลัวว่าจะหลง

เราลงรถมาก็เดินตาม Google Map ค่ะ วันนี้อากาศเป็นใจ ไม่ร้อนเท่าไหร่ อากาศครึ้มฝน มีฝนตกมาพร่ำๆ เดินมาได้แปปนึงก็มาหยุดอยู่ที่ The Cafe Apartment เห้ย! มาได้ว่ะ ไม่หลงด้วย ถือว่าผ่านสำหรับการเดินทางในต่างประเทศแบบไม่ง้อทัวร์ครั้งแรก ... The Cafe Apartment เป็นอาคารตึกแถวเก่าๆที่ทั้งตึกเป็นคาเฟ่และร้านอาหารหมดเลย

แต่ก่อนจะขึ้นไปข้างบน เรามาแวะทานข้าวตรงร้านข้างๆ The Apartment Cafe กันก่อนค่ะ ชื่อร้านว่า Cơm Tấm Cali เอาจริงๆนะ ไม่ได้อ่านรีวิวหรืออะไรว่าจะต้องมาทานร้านนี้ สุ่มทานล้วนๆเลยค่ะ เมนูที่สั่งอย่าถามว่าคืออะไร ดูภาพแล้วจิ้มๆบอกเค้าเอาค่ะ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร ง่ายดีไหม อิอิ ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ 266.000 VND เห้ย! ถูกมาก .. มาทราบภายหลังว่า ข้าวที่ใช้หุงของร้านนี้ใช้ปลายข้าวนำมาหุง

ของคาวเสร็จแล้ว เราก็ต้องมาต่อกันด้วยของหวานตามคอนเซ๊ป ‘ทานคาวไม่ทานหวานสันดานไพร่’ .. สำหรับ The Cafe Apartment มีทั้งหมด 9 ชั้น สามารถขึ้นไปเที่ยวชมได้ แต่ใช้ลิฟต์มีค่าบริการ 3000 VND เราเลือกร้าน par tea แต่พอขึ้นไปแล้วคนเยอะมากๆ เลยมาแวะร้านข้างๆแทน ชื่อร้าน 8ielts Cafe ร้านนี้คนไม่เยอะ และไม่ค่อยเจอคนมารีวิวร้านนี้เท่าไหร่ เราสั่ง Mango Yogert กะเครื่องดื่ม Vanilla Milk Tea และ Tiramisu Milk Tea ขอบอกเลยว่า อร่อยมากกกกก เราถูกใจร้านนี้ ไม่เสียใจที่มาทานเลยค่ะ ค่าเสียหายมื้อนี้ของเราอยู่ที่ 190.000 VND

นับจากนี้ไปจะเป็น Walking Tour กันยาวๆ .. สถานที่ที่แนะนำของโฮจิมินห์มีหลากหลาย เราออกตัวก่อนว่า เราคงไปไม่หมดนะคะ เราจะนำเสนอสถานที่ที่เราไปมา เริ่มต้นด้วย สถานที่ที่ใกล้จุดที่เราอยู่มากที่สุด นั่นก็คือ ศาลาว่าการเมืองโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh Pepple’s Committee Building) ตัวอาคารของ City Hall โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส

ด้านหน้าอาคารจะเป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ตอนกลางคืนลานแห่งนี้จะมีการแสดงน้ำพุ ตรงลานแห่งนี้จะมีรูปปั้นที่สำคัญตั้งอยู่ แต่เดิมเป็นรูปปั้นประธานาธิบดีโฮจิมินห์ในลักษณะนั่งคู่กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่รูปปั้นนี้ได้ย้ายไปยังบ้านสงเคราะห์เด็กโฮจิมินห์ และได้นำรูปปั้นใหม่มาแทนเพื่อเฉิมฉลองครบรอบ 125 ปี

เดินข้ามถนนมาหน่อยก็จะเจอกับ Opera House เป็นโรงละครประจำเมืองมีอายุกว่า 300 ปี ปัจจุบันก็ยังมีการแสดงและยังเปิดให้เข้าชมกันอยู่ บริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยแบรนด์เนม และโรงแรมดังๆ มากมาย

ตลาดเบนถัน |Ben Thanh Market (Bến Thành Market) ตลาดแห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยอาณานิคม มี 2 ชั้น ชั้นล่างมีของขายเหมือนตลาดสดบ้านเรา ชั้นบนจะเป็นของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว แนะนำว่าก่อนจะตัดสินใจซื้อของให้เดินวนสอบถามราคาจากหลายๆร้าน และอย่าลืมต่อราคาเกินครึ่งเข้าไว้

เราเดินมาเรื่อยๆตาม Google Map มาเจอกับทำเนียบรวมชาติ (Independent palace) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมห้องต่างๆที่ยังคงสภาพเดิมมาตั้งแต่สมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ห้องประชุม ห้องนอน ห้องลับใต้ดิน มีค่าเข้าชม ราคา 30.000 VND .. เดิมทีสถานที่แห่งนี้เป็นที่ทำการของรัฐบาลฝรั่งเศส หลังเสร็จสิ้นยุคอาณานิคม ได้กลายมาเป็นที่พำนักของประธานาธิบดีแห่งเวียดนามใต้ และได้ถูกเวียดนามเหนือบุกทำลายประตูด้วยรถถัง (รถถังคันดังกล่าวก็ยังคงจอดอยู่หน้าทำเนียบ) และได้เปลี่ยนบทบาทมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญแห่งการรวมชาติ เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่สำคัญของชาวเวียดนามที่ประสานรอยร้าวระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้เข้าด้วยกัน และยังหมายถึงการล่มสลายของไซ่ง่อน และถือกำเนิดขึ้นของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

จากจุดล่าสุดเดินข้ามถนนตัดสวนสาธารณะมาไม่ใกล้ไม่ไกลก็จะเจอกับโบสถ์ Notre Dame Cathedral โบสถ์แห่งนี้ไม่ค่อยมีกระจกสีเหมือนโบสถ์อื่นๆ เพราะ เคยได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นของพระแม่มารี ตั้งเด่นเห็นเป็นสง่าอยู่ในสวนเล็กๆหน้าโบสถ์ .. เราไม่ได้เข้าไปด้านในเพราะด้านในมีการประกอบพิธีการทางศาสนาอยู่

ข้ามถนนมาอีกฝั่งของโบสถ์ Notre Dame Cathedral จะเป็นที่ทำการไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City Central Post Office) เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ปัจจุบันไปรษณีย์แห่งนี้ยังทำหน้าที่รับ-ส่งจดหมายและพัสดุอยู่ จึงทำให้นักท่องเที่ยวหลายๆคนยังคงแวะเวียนมานั่งเขียน Postcard ซึ่งเป็นกิจกรรมยอดฮิตของนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ และคนสร้างที่นี่เป็นคนเดียวกับคนที่สร้างหอไอเฟลด้วยน้า

ถึงเวลากลับไปที่สนามบินแล้วค่ะ เรายังคงเลือกวิธีเดิมคือการนั่งรถประจำทาง แต่ขากลับเราจะกลับสาย 152 ค่ารถ 5000 VND เท่านั้นเอง ..

สำหรับป้ายรถประจำทางที่นี่จะมีทั้งแบบที่มีป้ายและมีที่นั่ง หรือมีแค่สัญลักษณ์รูปฟันปลาบนพื้นถนน โปรดพึงสังเกตไว้ว่านั่นคือป้ายรถประจำทาง

เมื่อเราถึงสนามบินเราก็นำใบเสร็จไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ อย่าลืม เผื่อเวลาผ่าน ตม. ด้วยนะคะ .. ขากลับเราเลือกกลับสายการบิน Air Asia .. Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 21.35 น. ไปถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 23.05 น. ค่ะ นั่งรอที่เกทยาวๆเลยค่ะ แวะทานอาหารเย็นที่ Food Court ของสนามบิน ราคาก็สูงใช่ได้เลยค่ะ .. สำหรับทริปต่างประเทศสั้นๆ 3 วัน 2 คืน ก็คงจบลงเพียงเท่านี้ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ .. ขออำลาด้วยภาพปีกเครื่องบินยามค่ำคืนของตำแหน่งที่นั่ง 22F ค่ะ บ๊ายบาย

ขอบคุณ SONY A6500 + Lens 16-70mm F/4 และ Gopro HERO5
ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้

แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr

ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม

สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง
PAGE : https://www.facebook.com/KeepGoingThailand

และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ

รับชมในรูปแบบวีดีโอเราก็มีนะจ๊ะ (อย่าลืมกด HDด้วยนะ)


.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..

สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปนี้ (สำหรับ 4 คน) รวมทั้งสิ้น 41,995 บาท (ตกคนละประมาณ 10,498 บาท)

ความคิดเห็น