NAN NAKORN 2018
"ขณะนี้เรากำลังจะลดระดับเพื่อลงจอด ณ สนามบินน่านนคร
ขอขอบพระคุณผู้โดยสารทุกท่านที่ร่วมเดินทางกับเราค่ะ"
เป็นครั้งแรก ที่ได้รับประสบการณ์สุดเหวี่ยง
จากการนั่งเครื่องบินลำเล็กที่มีที่นั่งแค่ 4 ตอน
ประสบการณ์สุดเหวี่ยงที่ว่า ก็คือความโคลงและสั่นแรงของตัวเครื่องบิน
จากคนที่กลัวเครื่องบินอยู่แล้ว อันนี้คือกลัวโคตร 55555555
เนื่องจากตอนที่เลือกตั๋วเพื่อเดินทางมาน่าน เราพบว่าการซื้อตั๋วแยกสายการบินนั้น
ราคาถูกกว่า ทำให้เราเลือกนกแอร์ตอนขามา โดยที่ไม่ได้รู้จักนกแอร์มาก่อนเลย
เป็นการขึ้นนกแอร์ครั้งแรก แต่เหมือนจะเคยรู้มาบ้างว่ามีน้ำเปล่าขวดเล็ก ๆ แจก
เปิดทริปด้วยวิวจากดอยเสมอดาว จากฟิล์มพาโนรามาของพี่เจ
นอกจากจะไม่รู้จักนกแอร์แล้ว เรายังไม่ค่อยรู้จักน่านสักเท่าไหร่ด้วย
แต่เห็นใคร ๆ ก็บอกว่าเป็นจังหวัดที่เงียบดี แถมธรรมชาติก็ยังไม่ค่อยถูกทำลายไปมากด้วย
สถานที่เที่ยวส่วนใหญ่ก็คงจะเป็นวัด แล้วก็ภูเขาลำน้ำ
ถ้านึกถึงความทรงจำแรกกับจังหวัดน่าน
ก็คงจะเป็นการที่ เวลามีใครพูดคำว่า 'นั่นไง' หรืออะไรทำนองนี้
ก็มักจะมีคนพูดต่อเสมอว่า น่านที่เป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ
ทริปนี้เราไม่มีเวลาทำแพลนเลย แต่โชคดีที่พี่แสบทำให้หมด
แถมยังครบถ้วนสมบูรณ์มากแล้วด้วย คือเหมาะสมกับจำนวนวันที่เราไป
ถ้าไปมากกว่านี้ ก็อยู่ต่อเถ้อะะะะะ
เนื่องจากสถานที่ที่ไปค่อนข้างเยอะ เราเลยทำแผนที่ไว้แบบนี้
เพื่อไม่ให้ตัวเองลืมในอนาคต
DAY 1 : DMK ✈ NNT
(1/12/2018)
คนอื่นอาจจะคิดว่า มีเวลาตั้ง 5 วันทำไมไปแค่น่าน
จริง ๆ ไม่มีใครคิดเลย เราคิดแทนเอง 555555555
แต่คือมันเหมือนการมาใช้ชีวิตสโลวไลฟ์ และพักผ่อนที่แท้
และถ้านับดี ๆ วันแรกกับวันสุดท้ายที่เราไม่นับเลย ถือเป็นวันเดินทาง
ก็จะเหมือน 3 วันเต็ม ๆ เท่านั้น
เราเดินทางมาถึงสนามบินพร้อม boarding pass ที่ผ่านการ check in ออนไลน์มาแล้ว
ก็เลยไม่ต้องต่อแถว เพราะไม่ต้องโหลดกระเป๋าลงใต้ท้องเครื่อง
ผ่านจุดตรวจกระเป๋าเข้ามาด้านในก็รอเวลาบิน แล้วไปเข้าเกท
เครื่องบินแบบที่เคยขึ้นเป็นครั้งแรก เหวี่ยงมากจ้ะแม่จ๋า
ถึงแล้วเจ้าาา
(1) De Nan Hotel
วันแรกเรามาถึงเกือบ ๆ 1 ทุ่มละ รอรับรถที่เช่าไว้กับ Valley Car rent
และเดินทางไปที่พักเพื่อรีบเช็คอินให้ทัน 2 ทุ่ม
คืนแรกเราพักกันที่ De Nan Hotel อยู่ใกล้สนามบินมากกก
มากแบบเดินไปสนามบินยังได้เลยมั้ง
แต่พนักงานที่รับเช็คอินบอกว่า อยู่ใกล้ขนาดนี้ยังไม่เคยไปเห็นสนามบินจริง ๆ เลย
ทั้งที่พักจะมีอยู่แค่ 12 ห้องเท่านั้น ไพรเวทสุด ๆ
ข้าง ๆ เคาน์เตอร์เช็คอิน มีผลไม้กับกาแฟให้กินด้วย
ตอนแรกอยู่ดี ๆ พี่แสบก็ไปหยิบกล้วยมา แล้วถามพนักงานว่ากินได้ไหม
เขาบอกว่ากินได้เพราะเตรียมเอาไว้ให้แขกที่มาพักนั่นแหละ น่ารักอ่ะ
มุมเช็คอินและจักรยานที่ยืมไปปั่นเล่นได้
(2) กาดข่วงเมืองน่าน
เช็คอินแล้วก็เก็บของเข้าห้องแล้วออกไปถนนคนเดินกัน
เพื่อหาอะไรกินเล่น เป็นอาหารเย็น แบบจิปาถะ
อยู่นี่ ความสามารถทางภาษาจะต้องสูงหน่อยอ่ะ
เพราะเขาจะพูดกันเป็นภาษาเหนือ พอจับท่าได้ว่าเราฟังไม่ออก
ก็จะพูดเป็นภาษากลาง แต่น่ารักดี ชอบฟัง 5555555
บรรยากาศตลาด มีดนตรีสดนะเอ้ออ
ทางภาคเหนือจะเรียกตลาดว่า 'กาด'
ซึ่งมันจะมีคำว่ากาดละอ่อน ที่ตอนแรกเราเข้าใจว่าคำว่าละอ่อนเป็นชื่อของตลาด
แต่จริง ๆ มันน่าจะหมายถึงตลาดที่มีขนาดเล็ก แบบตลาดย่อม ๆ งี้
ซึ่งเราไปที่ กาดข่วงเมืองน่าน ที่ตั้งอยู่หน้าวัดภูมินทร์
ก่อนจะไปนั่งรับทานอะไรเป็นเรื่องเป็นราว เราก็ไปช้อปปิ้งก่อน
ตั้งใจไว้ว่าพรุ่งนี้จะใส่ชุดเจ้านางเมืองเหนือไปเดินเล่นชิว ๆ
นี่คือพกผ้าถุงมาจากบ้านแล้วด้วย เพราะฉะนั้นก็หาซื้อแค่เสื้อพอ
เลือกก่อน
ข้าวจี่ อยากกินมากแต่ไม่ยอมซื้อ
ยำขนมจีน อร่อยมาก มีความสุข ★★★
ทางตลาดจะจัดที่นั่งแบบมีขันโตกวางไว้บนเสื่อ ให้เราไปนั่งได้ ที่ลานหน้าวัดภูมินทร์
ปิดท้ายด้วยแพนเค้ก
พอกลับมาจากตลาด เราก็มาพบความจริงอันโหดร้าย
ตอนที่กำลังเปิดกระเป๋าเพื่อเตรียมอุปกรณ์ไปอาบน้ำ
ว่าเราลืมเอากระเป๋าเครื่องสำอางมา ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
แบบไม่น่าลืมได้ ลืมได้ไงอ่ะ เพิ่งแต่งหน้าเสร็จก่อนออกจากบ้านเอ๊ง
ทำไมไม่หยิบม๊าาาาาาาาาา ฮือออ 😱
คร่ำครวญพอประมาณก่อนเข้านอนด้วยความโศกเศร้า 5555555
DAY 2 : MUEANG ☛ MOUNT
(2/12/2018)
อย่างที่บอกไปว่า เราจะไปเที่ยววัด และใส่ชุดเจ้านาง
แต่สภาพคล่องทางการเงินของเราไม่เอื้อจริง ๆ
ก็เลยต้องแต่งตัวเหมือนสมุนของเจ้านางแทน
โดยเฉพาะพี่เจ คือเหมือนพนักงานนวดแผนไทยมาก 5555555
Total look ของพวกเราในช่วงเช้านี้
(1) HOLM Resturant & Cafe
ก่อนจะออกไปเที่ยว ทางโรงแรมก็มีอาหารเช้าฟรีให้รับประทาน
เลือกได้เพียงคนละ 1 ชุดเท่านั้น และต้องไปทานที่ร้าน Holm ที่อยู่ตรงหน้าที่พัก
ตอนปกติก็เป็น restaurant and cafe อยู่แล้ว เพิ่มรับลูกค้าจากที่พักมาด้วย
ที่พักจะแจกคูปองให้เราตอนเช็คอิน ตอนเช้าเราก็เอาไปยื่นให้พนักงาน
เราเลือกไข่กระทะ ส่วนพี่เจเลือกข้าวต้ม และก็มีโอวัลตินหรือกาแฟให้เลือก 1 อย่าง
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จเราก็เก็บของขึ้นรถพร้อมออกเดินทาง
(2) วัดภูมินทร์
ตอนที่เรามาถึงก็เรียกได้ว่ายังเช้าอยู่ คนน้อยมาก แต่พอเราเดินอยู่ตรงลาน
เผลอแปปเดียว คนกลับเยอะเฉยเลย ลานที่เป็นที่นั่งเมื่อคืน ตอนนี้เก็บหมดแล้ว
จ้ามาก แดดแยงตาจนมองอะไรไม่เห็นเลยจ้าา
ชอบสิ่งนึงที่เจอในวัดที่น่านมาก ไม่แน่ใจว่าวัดที่จังหวัดอื่นมีไหมนะ
เพราะเราไม่ค่อยเจอ และมาเจอเยอะมากที่น่าน เพราะมีทุกวัดที่ไป
คือการทำบุญด้วยการสแกน QR code ประทับใจมาก
ต่อไปนี้ ถึงไม่พกเงินสดมาก็สามารถทำบุญได้ เปิดมาสแกนเลยจ้า
ไฮไลท์ของวัดภูมินทร์จะอยู่ที่จิตรกรรมโบราณบนฝาผนัง สวยงามมาก
จะมีคุณลุงคนนึง คอยเล่าประวัติอยู่ตอนที่เราไป
มีตอนที่พูดบทร้อยกรองของภาพกระซิบรักให้ฟังด้วย
คือดีมาก ขนลุก แต่ลุงน่าจะพูดมาหลายร้อยรอบแล้วในชีวิตนี้ ดีๆๆ
ตัวอย่างภาพจิตรกรรมฝาผนัง
พระพุทธองค์และภาพอื่น ๆ
คุณลุงกำลังกล่าวคำกลอนให้นั่งท่องเที่ยวฟังอยู่
หลังจากฟังจบ ก็เป็นมุมยอดฮิตของทุกคน เรียกว่าเข้าแถวถ่ายเลยแหละ
ส่วนเราเหรอ นี่คือระยะที่ต่อแถวอยู่ หลอกกก 5555555
ไม่ยาวขนาดนี้ แต่ก็ไปต่อแถวเหมือนกัน
กระซิบหน้าวัดก่อนไปต่อ ท้องฟ้าคือเบิร์นป๊ายยย
(3) วัดพระธาตุแช่แห้ง
เป็นวัดแรกที่ได้ทำบุญจริงจัง เพราะตั้งใจมาทำที่วัดนี้นี่แหละ
บริเวณวัดจะค่อนข้างกว้าง แล้วก็สวยงาม มีคนมาเยอะเหมือนกัน
ตอนแรกไม่แน่ใจว่าอันนี้เรียกว่าอะไร แต่คุ้นในหัวว่าตุงตลอด
เลยไปเสิร์ช แต่มันกลับไม่ใช่ตุงเพราะลักษณะมันไม่เหมือนกัน
เราเลยลองเสิร์ชเป็นคำยาว ๆ อธิบายลักษณะว่า "โคมกระดาษ อันเล็ก ห้อย ภาคเหนือ"
เจอเฉย 5555555555555555 มันคือโคมแหละ แต่ล้านนาหรือยี่เป็งนี่อีกเรื่อง
ถูกห้อยไว้ทั่วบริเวณวัดเลย สีสันสดใสดี
พระอุโบสถที่ห้ามสตรีเข้าเด็ดขาด เลยส่งพี่แสบเข้าไป
กำแพงเป็นสีขาว ก็เลยดูจ้า ขาวโพลนไปเลย
มองจากด้านนอกก่อนเข้าไปด้านใน
ก่อนที่เราจะเข้าไปด้านใน ก็ทำบุญ และหยิบดอกไม้ธูปเทียนมา
เพื่อนำไปใช้เดินเวียนรอบพระธาตุ 3 รอบก่อนจะนำมาอธิษฐาน
จริง ๆ เราเป็นคริสตศาสนิกชนนะ แต่การทำบุญถือเป็นเรื่องที่ดี
ถ้าทำแล้วสบายใจก็โอเค
ปิดทองกันสักหน่อย
(4) ซุ้มลีลาวดี
(พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดน่าน)
ตอนแรกลืมซุ้มลีลาวดีไปแล้ว จริง ๆ ต้องไปหลังวัดภูมินทร์
ก่อนวัดพระธาตุแช่แห้ง เพราะอยู่ใกล้ ๆ กับวัดภูมินทร์เลย
แล้วพี่แสบก็วนรถกลับมาให้ เพราะก็ไม่ได้ไกลมากเท่าไหร่
ซุ้มลีลาวดีที่ไม่มีดอกลีลาวดี
ถ่ายข้างในแล้วไม่ค่อยสวย เพราะมีคน แต่พอถ่ายข้างนอกคือ 10 10 10 ไปเลยจ้า
LUNCH
ระหว่างทางที่ไปดอยเสมอดาว คือเจอร้านไหนก็แวะเท่านั้นแหละ
เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวแบบเพิง ๆ ตั้งอยู่แบบ stand alone แต่ดูสะอาดอยู่นะ
เราสั่งน้ำเงี้ยวของชาวเหนือที่เราเข้าใจผิด คือคิดว่าเป็นน้ำเงี้ยวขนมจีน
ก็สั่งมา แล้วพบว่ามันเหมือนกับน้ำตกที่ใส่เส้นขนมจีน
แถมเยอะมาก มากแบบกินไม่หมด
เลือดดดดดด ชั้นหิวเลือดดดดดดดดดดดด
(5) ดอยเสมอดาว
การจะมานอนดอยเสมอดาวได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
ถ้าเราหวังน้ำบ่อหน้า ด้วยการมาถึงที่ดอยก่อนค่อยหาเต้นท์
ความเป็นไปได้อาจจะต่ำมาก เราจึงทำการเสิร์ชหาวิธีการจองเต็นท์
แล้วก็ไปเจอเพจใน Facebook ที่เหมือนเป็นของอุทยาน
มีคนมาคอมเม้นเยอะมากกกกกก ว่า "โทรไปจองเต้นกับเบอร์ที่อุทยานให้ไว้
แต่ไม่ติดเลยเป็นร้อย ๆ สาย" น่ากลัวมาก
ด้วยความที่อยากไปนอน เราก็จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ไปให้ได้
แต่ถ้าจะให้ใช้เราเป็นคนจองเต็นท์ เชื่อเถอะว่าไม่มีวันได้
ก็เลยต้องขอยืมโชคของลูกปัด ให้เป็นคนโทรไปจองแบบต่อเนื่อง
สิริรวมทั้งหมด 18 สาย แล้วเราก็ได้เต็นท์มา สุดยอด
- แปะเบอร์ 093 242 2914 -
พอมาถึง เราก็ขับรถขึ้นมาข้างบน เพื่อเอากระเป๋าเสื้อผ้าลง
แต่ไม่สามารถจอดรถได้แล้วเพราะว่ามีคนจอดเต็มลานเเล้ว
เราจึงต้องลงไปจอดข้างล่างแทน แต่ก็ไม่ได้ไกลจากข้างบนมากเท่าไหร่
พอเอาของลงเสร็จ ก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยาน
แจ้งชื่อที่ทำการจองเอาไว้ เจ้าหน้าที่ก็จะยืนยันเต็นท์
แล้วเราก็สามารถเข้าเต็นท์ได้เลย เต้นท์ที่เราได้คือมุมสวยงามมาก
จุดที่ตั้งเต็นท์ จะมีลักษณะเป็นชั้น ๆ เราได้ชั้นบนสุด และอยู่หน้าสุด
แต่หันหลังให้กับฝั่งหน้าผาที่พระอาทิตย์ขึ้น ทำให้ทัศนวิสัยค่อนข้างโล่ง
ไม่มีเต็นท์อื่นมาบังหน้า เพราะว่าอยู่ชั้นล่างจากเรา ดี๊ดี
วันนี้อากาศไม่หนาวมากอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ก็เลยคิดว่าคงจะอาบน้ำได้
แต่ก่อนที่จะไปอาบน้ำกัน เราจะต้องรับทานอาหารเย็นให้เสร็จเรียบร้อยก่อน
เพราะมันคือหมูกระทะ ถ้าอาบน้ำก่อนก็เหม็นแย่
เห็นว่าทางดอยเสมอดาวแต่ก่อน จะสามารถเอาหมูกระทะมากินหน้าเต็นท์ได้
แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะทางอุทยานได้จัดพื้นที่ไว้
สำหรับประกอบอาหารเท่านั้น แยกจากโซนเต็นท์ของอุทยาน
แต่ว่าหน้าเต็นท์ก็ยังรับประทานอาหารสำเร็จรูปที่นำมาเองได้อยู่
มีป้ายติดไว้ชัดเจน เราก็มาจับจองพื้นที่กัน
โซนอื่น ๆ นอกจากโซนเต็นท์อุทยาน ก็จะมีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่นำเต็นท์มาเอง
บางคนก็จองพื้นที่กางเต็นท์มาจากในเว็บ หรือถ้าไม่ได้จอง ก็มาดูหน้างานได้ถ้ายังไม่เต็ม
คนที่ลำบากที่สุด ก็น่าจะเป็นคนที่ไม่ได้จองอะไรมาเลย และไม่ได้เอาเต้นท์มาด้วย
ต้องมานั่งลุ้นเอาว่า จะมีที่ให้นอนหรือเปล่า
ในเต็นท์จะมีเครื่องนอนให้อยู่แล้ว 2 ชุด มีหมอน ฟูกรองนอน แล้วก็ถุงนอน
เต็นท์ก็ยังอยู่ในสภาพดีนะ เป็นแบบมีสปอนเซอร์อะของดี ๆ หน่อย
ถ้าจะเช่าเสื่อหรือไฟเพิ่ม ก็สามารถติดต่อกับทางอุทยานได้เลย
เสื่อผืนละ 30 บาท ไฟก็เป็นตะเกียง ตะเกียงละ 100 บาท
ส่วนเราพกไฟมาเอง ก็เช่าเฉพาะเสื่อได้ เอาไว้นั่งเล่นหน้าเต้นท์ ดูดาว
ส่วนถุงก๊อบแก๊บนั่นไม่ใช่ขยะ แต่เป็นขนมนะ 55555
ประมวลภาพดอยเสมอดาว (1)
ประมวลภาพดอยเสมอดาว (2)
เราเก็บของเข้าเต็นท์ เดินเล่นถ่ายรูป ชมวิวเล็กน้อย ก็ได้เวลาสั่งหมูกระทะ
จะมีร้านหมูกะทะ อยู่ตั้งแต่ทางขึ้น เขาจะมีบริการขึ้นมาส่งให้อยู่แล้ว
หรือจะสั่งตอนที่เขาขึ้นมาส่งให้คนอื่นก็ได้
ก่อนจะสั่งหมูกระทะได้ เราจะต้องไปจองพื้นที่สำหรับทำอาหาร
แล้วก็เช่าเตาถ่านกับทางอุทยาน ร้านหมูกระทะก็จะมี ชุดหมูชุดผักไข่วุ้นเส้นน้ำซุป
แล้วก็กระทะสำหรับปิ้งย่าง ทั้งหมดชุดละ 250 บาท
นอกนั้นก็มี น้ำแข็งเป็นกระติก น้ำดื่มน้ำอัดลม เราก็สามารถสั่งขึ้นมาได้
เราก็เอาเสื่อที่เช่ามาปู แล้วก็วางเตา จากนั้นก็เริ่มเลย
หิวโว้ยยยย!!
กินหมูกระทะเสร็จแล้วเราก็ไปเตรียมตัวอาบน้ำ ซึ่งตอนนี้จะเริ่มมืดแล้วแหละ
แล้วก็หนาวมากขึ้นกว่าตอนแรกที่มาถึง แต่เราทุกคนก็ไปอาบน้ำหมดเลยนะ
อาบน้ำเสร็จก็มานอนดูดาว ชิวมาก
นักท่องเที่ยวทุกคนก็จะขึ้นมารวมตัวกันบนดอย อย่างมิได้นัดหมาย
ส่วนพี่เจก็พยายามหาทางช้างเผือกถ่าย
ถึงขั้นโหลดแอปที่คอยบอกว่าทางช้างเผือกอยู่ตรงไหน
แต่สุดท้ายก็ได้มาแค่รูปที่มีปื้นขาว ๆ โดยไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร
แต่คือถ่ายมาได้ขนาดนี้ก็สุดยอดมากแล้ว เห็นดาวเป็นเม็ด ๆ เต็มไปหมดเลย
พอเลิกดูดาวก็เข้าเต็นท์แยกย้ายกันนอน เจอกันพรุ่งนี้เจ้า
DAY 3 : MOUNT ☛ MANG
(3/12/2018)
(1) ทะเลหมอก ณ ดอยเสมอดาว
วันนี้ต้องรีบตื่นตั้งแต่ตี 5 ล้างหน้าแปรงฟันเพื่อไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้น
ช้าไม่ได้นะเดี๋ยวไม่มีที่ดู คือจริง ๆ เราแอบช้านิดนึง
แต่ลูกปัดกับพี่แสบมารออยู่แล้ว ก็เลยมีที่ให้ดู
ผู้คนก็หลั่งไหลกันมาอย่างเนืองแน่น
มาดูบรรยากาศของตอนเช้าที่สดใสบนดอยเสมอดาวกันสักหน่อย
ฮือ สวยมาก แง
คนเยอะมาก แต่ยังไม่มากเท่าไหร่
ถ่ายรูปกับหมอก & ถ่ายรูปกับต้นไม้ ด้านหลังคือเต้นท์ที่นักท่องเที่ยวเอามาเอง
ตอนแรกตั้งใจว่าลงจากดอยเสมอดาวจะไปเที่ยว เสาดินนาน้อย แต่ลืม
ขำอ่ะ ทำไมลืมอ่ะ 55555555555 ก็เลยเลยไปเลย นึกได้ตอนเลยไปไกลแล้ว
(2) หอศิลป์ริมน่าน
หลังจากลงมาจากดอย ก็ต้องมาใช้ชีวิตเสพศิลป์แบบคนติส ๆ หยอก
เราเดินทางมายังหอศิลป์ริมน่าน ซึ่งเงียบมาก ไม่มีใครเลย มีคนอยู่ติ๊ดเดียว
ที่นี่จะมีภาพวาด งานจิตรกรรม งานศิลปะต่าง ๆ จัดแสดงอยู่
ก่อนจะเข้ามาก็จะมีเสียค่าเข้า ราคาเพียง 20 บาทต่อคน
ส่วนแรกที่เราเดินลงไป คือส่วนจัดแสดงภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ที่เหมือนกับที่เราไปดูที่วัดภูมินทร์เมื่อวานเลย แต่มีมากกว่านั้น
เพราะว่าเป็นการรวบรวมมาจากหลากหลายสถานที่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือวัด
แต่ถ่ายรูปไม่ได้ มีป้ายติดเอาไว้ตรงทางเข้าว่าห้ามถ่ายเพราะไม่ใช่ห้องน้ำจ้า ผิด
มีการจัดแสดงศิลปะไว้ทั่วบริเวณ
ออกมาจากห้องด้านล่าง เราก็เดินเข้าไปในส่วนตัวตึก
ข้างในก็จะมีภาพวาดจัดแสดงอยู่ หลากหลายเทคนิค ก็เดินชมไป
ขอโทษ มีแต่รูปเรา ส่วนรูปศิลปะ ก็มาดูเองดิ 55555555555
ห้องน้ำของที่นี่ก็สวยดี ดูมีความใส่ใจทางด้านศิลปะ
เป็นห้องน้ำแบบไม้ แล้วด้านในก็มีการวาดผนังตกแต่งน่ารัก
(3) วัดภูเก็ต (ตูบนากาแฟ)
ตอนนี้แดดแรงมาก แบบหัวจะระเบิดแล้ว เราก็มาถึงที่วัดภูเก็ตกัน
จริง ๆ เป้าหมายของเราคือตูบนากาแฟ ที่อยู่ด้านหลังวัด ต้องลงไปข้างล่าง
เป็นทุ่งนาที่ตอนนี้แห้งแล้งมาก แงงงเสียใจ คือมันต้องมาหญ้าที่เขียวขจี
ก็จะดูสดใสและถ่ายรูปสวยมากกว่าตอนนี้ นี่ก็จะดูหน้าหนาว แต่จริง ๆ ร้อนมาก
ถ่ายวัดมาแบบ exactly รูปเดียว 555555555555
เพราะโฟกัสที่ร้านกาแฟด้านล่าง
มองจากวัดภูเก็ตก็จะประมาณนี้
อย่างที่บอกว่ามันควรจะมีสีเขียว สีเขียวววววววว
เมนูดับร้อนเบา ๆ
มุมถ่ายรูปเยอะมาก ถ่ายแบบมาคนเดียวโว้ยยย เย้เย้เย้
LUNCH
เราแวะกินข้าวเที่ยงกันที่ร้าน ครัวรสแซ่บ
สั่งส้มตำ คอหมูย่างที่มันเยอะมากกกก หมูยอ ลาบคั่ว
ก่อนเดินทางไปต่อยังบ่อเกลือเพื่อพักผ่อนในค่ำคืนนี้
Gimme some foooooooooood
(4) ถนนลอยฟ้า
ตรงนี้เป็นตรงที่เราไม่ได้ลงไปถ่ายรูป เพราะตอนขามามีคนอยู่เยอะมั้ง
หรือไม่ก็ง่วง ไม่แน่ใจ แต่ไม่ได้ลงไป แล้วก็ตั้งใจว่าไว้ขาผ่านกลับค่อยลง
สุดท้ายขากลับเมารถ จนไม่มีแรงลงไปถ่าย 5555555555 บ้าบอ
ตอนแรกจะเอาสภาพตัวเองที่เมารถอยู่มาลง แต่สงสาร ข้ามไปแล้วกัน
เอารูปมาจากขากลับ
(5) จุดชมวิว 1715
ถัดจากถนนลอยฟ้าก็มีจุดชมวิว จุดนี้ก็จะมีนักท่องเที่ยวมาแวะพักเยอะหน่อย
เป็นลานกว้าง ๆ แต่มีศาลาให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจอยู่
และก็มีร้านค้าขายขนม อาหาร น้ำ ให้เรามารีเฟรชกัน
อาาาาาาาาาาาห์
1715
ศาลา
ถ้าจำไม่ผิด จุดนี้จะมีที่ให้กางเต้นท์ด้วย แต่เป็นบริเวณไม่กว้างมาก
มีห้องน้ำให้บริการ น่าจะหนาวฟิน ๆ ดีเหมือนกัน แต่อาจจะมืดหน่อย
(6) สวนริมมาง
เลยจากจุดชมวิวเข้ามาอีกไกลพอสมควร เข้ามาที่บริเวณบ่อเกลือ
มาถึงที่พักที่เราจองไว้อีกที่ คือสวนริมมาง คืออยากมามาก ตั้งแต่เห็นรีวิว
ก็เลยจองเข้ามาตั้งแต่เนิ่น ๆ และก็ได้ที่พักกระโจมริมมางสมใจ
วิวคือฟินมาก เสียงน้ำไหลจากโขดหินหน้าที่พักคือลื่นหู
นอนฟังทั้งวันทั้งคืนยังได้ เรามาถึงก็เช็คอิน เข้ากระโจมไปดูข้าวของกัน
คือพี่เจถ่ายมาแบบไม่ตั้งใจเลยโว้ย!
ตัวกระโจมจะมีแค่ที่นอน มีไฟตะเกียงดวงนึง ติดตั้งแบบให้เปิดสวิตช์
มีพัดลมตัวเล็ก ๆ 1 ตัวให้เราเสียบปลั๊กเปิด และมีรูให้เสียบปลั๊กแค่ช่องเดียว
ถ้าใครจะมา พกปลั๊กสามตามาด้วยจะดีมาก เพราะถ้าเกิดต้องเปิดพัดลม
ก็จะไม่ได้ชาร์จอะไรเลย แต่ตอนเราไปไม่ต้องเปิดพัดลมก็หนาวมากแล้ว
กระโจมติดกันที่จองไว้
จะนั่งหรือวางของก็ได้
ด้านหน้าจะมีระเบียง และที่พักก็ทำทางให้เราเดินทางไปด้านล่างได้
ไปเล่นน้ำ หรือถ่ายรูปอะไรก็ว่าไป ตอนแรกคิดว่าเล่นน้ำไม่ได้ เพราะมันลื่นมาก
แต่เห็นบ้านอื่น ๆ เขาลงไปเล่นกันก็เออ กล้าดี หนาวจะตาย 555555
แต่ดูท่าทางน่าสนุก ส่วนเราไม่อยากเปียก เลยแค่เดินลงไปครึ่งแข้งพอ
ห้องน้ำและห้องอาบน้ำ จะมีแค่ผู้ชาย 2 ห้องและผู้หญิง 2 ห้อง
เป็นแบบรวม เพราะกระโจมมีแค่ที่นอนนะตัวเธอ
ในห้องน้ำห้องหนึ่งก็คือมีทั้งชักโครกและเครื่องทำน้ำอุ่นนั่นเอง
เครื่องทำน้ำอุ่นเป็นแบบโบราณมากแก แบบแก๊สอ่ะ ที่เปิดแล้วจะน่ากลัวหน่อย
แถมตอนอาบก็หนาวมาก ความร้อนจากแก๊สไม่ช่วยอะไรเลย
เปิดร้อนมากก็มีไอน้ำเยอะเกินอีก กลัวคนข้างนอกคิดว่าไฟไหม้ 55555
ด้านหน้ามีจักรยานให้ยืมไปขี่เล่นได้ เลิกแล้วก็เอากลับมาเก็บด้วยนะ
เราเอากระเป๋าและของทั้งหมดไว้ใต้ที่นอน เพราะมันมีที่แค่นั้นจริง ๆ
ไม่สามารถเอามาวางในระดับเดียวกับที่เรานอนได้
และไม่ต้องถามถึงระดับความปลอดภัยนะ เพราะมันประเมินไม่ได้อ่ะ
ห้องไม่ได้ล็อค แต่ก็ไม่รู้นักท่องเที่ยวจะขโมยของไปทำไม
depends on โชคและดวงเท่านั้น 5555555555555
DINNER
ร้านปองซา (แบบแอบเล่า)
ตอนแรกเราตั้งใจจะไปกินที่ร้านหัวสะพาน แต่ว่าเขาไม่ได้อยู่ริมน้ำแล้ว
คืออยากกินร้านที่อยู่ริมน้ำให้ได้บรรยากาศ ก็เลยลองมาที่ร้านปองซา ที่เป็นของโรงแรม
อยู่แถว ๆ เดียวกับร้านหัวสะพานร้านเก่าก่อนย้าย
แต่ก็ไม่ได้รับความประทับใจเท่าที่ควร ไม่ได้อยากจะ discredit ร้านนะ
และมันอาจจะเป็นแค่วันที่เราไปก็ได้ ดูเหมือนจะมีพนักงานเสิร์ฟไม่พอ
มีโต๊ะที่ยังไม่ได้อาหารเยอะมาก แต่เราก็เข้ามานั่ง และสั่งอาหาร
รออยู่นานมาก ได้มาแค่น้ำเปล่า กับจาน และช้อนส้อม
คือพูดกันตรง ๆ เลยก็คือหิวมาก หลังจากจานและช้อนส้อมก็รออีกเป็นชั่วโมง
เลยเรียกพนักงานบอกว่า รบกวนไปถามในครัวให้หน่อยว่าทำอาหารของโต๊ะเราหรือยัง
ถ้ายังจะขอยกเลิก (เพราะหิวมากทนไม่ไหวแล้ว อันนี้คิดในใจ)
วิวที่เห็นก็คือน่านั่งมาก ฟังน้ำไหลงี้
พนักงานรับเรื่องแล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไปเลย ตอนนั้นรู้สึกโมโหหิว
ก็เลยบอกให้ทุกคนออกจากร้าน เราทิ้งค่าน้ำเอาไว้ แล้วจากไป
ไม่แน่ใจว่าออกมาสักพักแล้ว พนักงานจะรู้ตัวหรือยัง
คือโต๊ะอื่นอ่ะ ก็ยังไม่ได้อาหารกันเยอะนะ เราเลยถอดใจ
แต่ร้านอ่ะสวยมากจริง ๆ นะ บรรยากาศก็ดีมาก อากาศก็ดีมาก
แต่หิวง่ะ ซอรี่นะ
(7) ร้านหัวสะพาน
ตอนนี้เราไม่เอาบรรยากาศริมน้ำอะไรแล้ว พอมาถึงก็รีบสั่งเพื่อให้อาหารมาเร็วที่สุด
และก็ไม่ผิดหวัง รอไม่นานอาหารก็มา แถมรสชาติก็อร่อยด้วย
เสียดายที่ย้ายจากตรงริมน้ำมา เพราะอยากกินไปดูวิวไปมากกว่า
หิวแบบถ่ายรูปอาหารมายังมือสั่นอ่ะคิดดู
รสชาติอาหารและราคาถูกใจมาก คงเพราะหิวและผิดหวังมา ให้ 5 ดาว
อิ่มหนำสำราญกันเต็มที่ ก็ได้เวลากลับที่พัก
เล่นเกมกันเล็กน้อยก่อนเข้านอน
คืนนี้มีเรื่องเตือนใจ 1 อย่าง เตือนใจใครอ่ะ (คุยกับใครก่อน)
เรารู้สึกว่า สถานที่ท่องเที่ยวบางที่ มันไม่สะดวกสบายพอสำหรับเด็ก
เด็กแบบเด็กเล็กทารกอย่างเงี้ย น้องยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรเลย
ก็มาโดนคนจากเต้นท์ข้าง ๆ ด่าเรื่องร้องไห้งอแงเสียงดังแล้ว
คือมันมีน้องทารกคนหนึ่ง นางนอนไม่ได้ ต้องไปนอนในรถ
แล้วพอไปในรถ แม่นางก็ปล่อยให้บีบแตร แล้วแกลองคิดดู 3 - 4 ทุ่มอ่ะ
ตรงนั้นคือเงียบมาก คนเมืองจริง ๆ คือนอนไปแล้ว ทั้งเมืองมืดและเงียบ
แค่อยากให้น้องไปนอนโรงแรมสบาย ๆ ไม่มานอนร้องไห้แบบนี้
T^T
DAY 4 : MANG ☛ MUEANG
(4/12/2018)
(1) I woke up for this @สวนริมมาง
เอาจริง แอบหนาวจนนอนกระวนกระวายอยู่พักนึง 555555555
มีหลับ ๆ ตื่น ๆ บ้างตอนกลางคืน แต่ตอนเช้าตื่นมาแล้วฟิน
ลองนึกภาพแบบตื่นมาตาปูด ๆ ขี้ตากรัง แล้วลุกมาเปิดม่านปลายเท้า
เจอกับวิวธารน้ำใสไหลเย็น อากาศเย็น ๆ กระทบหน้า
โว้ว ไม่อยากกลับก็วันนี้แหละ
แง้ม
บริเวณที่ไม่ใช่กระโจมของที่พัก ก็จะมีพื้นที่ตั้งเต้นท์ มาเช่าได้
ที่พักมีอาหารเช้าบริการให้ผู้เข้าพักทุกระดับ
ตื่นมาเราก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำสระผม แล้วก็ไปรับทานอาหารเช้ากัน
อาหารเช้าแบบเบสิค ขนมปัง โอวัลติน กาแฟ ข้าวต้ม
(2) บ่อเกลือโบราณ & บ่อเกลือสินเธาว์
ที่พักเราจะอยู่ใกล้ ๆ บ่อเกลือโบราณเลย แต่ว่าต้องขับรถออกไปเพื่อวนเข้าอีกทาง
เพราะถนนเส้นนั้นเป็น one way จากอีกฝั่ง ก็มีจะคนมาคอยช่วยโบกรถอยู่
อำเภอบ่อเกลือ เป็นชื่อที่ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย เพราะมีบ่อเกลืออยู่จริง
ตั้งแต่สมัยโบราณกาล เรียกว่าเป็นแหล่งผลิตเกลือที่สำคัญมาก ๆ เลยทีเดียว
คุณตาสาธิตการตักน้ำจากในบ่อเกลือขึ้นมา
การจะได้เกลือจากบ่อเกลือเหล่านี้มา ก็จะมีกรรมวิธีที่ค่อนข้างใช้เวลา
จึงทำให้สถานที่นี้เป็นสถานที่สำคัญในสมัยก่อน
ภายในบริเวณก็จะมีบอร์ดประวัติความเป็นมาให้เราไปอ่านได้
ใครสงสัยว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร วิธีการต้มทำไปเพื่ออะไร ยังไง
ก็สามารถหาคำตอบได้เช่นกัน
หม้อต้มเกลือตามวิธีโบราณ
ก่อนออกมาเราก็อุดหนุนผลิตภัณฑ์แปรรูปที่มีเกลือเป็นวัตถุดิบหลักมาด้วย
ใจจริงอยากซื้อเกลือถุงใหญ่ ๆ มาเลย แต่กลัวน้ำหนักกระเป๋าไม่พอ T^T
(3) ร้านกลิ่นไอเกลือ
ลปน่าจะไม่ได้กินอาหารเช้ามาจากที่พักมากเท่าไหร่
เราเลยมาแวะรับทานอาหารสายกันที่ร้านกลิ่นไอเกลือ
ที่เป็นเหมือน one stop service มาก เพราะมีบริการตั้งแต่
อาหาร เครื่องดื่ม เค้ก ตลอดจนที่พักของนักท่องเที่ยว โอ้โห
แต่ห้องน้ำต้องไปเข้าข้างนอกเฉย สงสัยกันไว้ให้คนที่มานอน
(4) กาแฟบ้านไทลื้อ
วันนี้จริง ๆ เหมือนเป็นวันกินอ่ะ ชั้นจะกิน จนกว่าโลกนี้จะดับสลาย
ดีหน่อยที่ร้านนี้เป็นแค่เครื่องดื่ม 55555555555
ไฮไลท์ของที่นี่คือการถ่ายรูป ถ่ายรูป และถ่ายรูป
เครื่องดื่มใช้ได้ เอแคร์ก็อร่อยดี แต่โลเคชั่นคือ 10 10 10
โซนที่จะตากผ้าสีสันต่าง ๆ เอาไว้ วันที่เราไปเป็นสีเหลือง
หลังจากสั่งเครื่องดื่ม ก็จะมีที่นั่งเป็นศาลาตามต้นไม้
เราก็ไปเลือกนั่งกันได้ว่าตรงไหนดี แต่ถ้าช่วงคนเยอะ ๆ หน่อยก็เต็ม
สะพานไม้ เอาไว้เดินไปอีกโซน
ต๊ะเอ๋
มีน้องห่านด้วย
(5) ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ
กินต่อไม่รอแล้วน้าาาา เรามาที่นี่เพื่อรับทานเห็ด เห็ดของช้านน
การจะกินอาหารที่นี่ได้ จะต้องไปจอดรถ เข้ามาข้างในร้าน หยิบบัตรคิว
และรอจนกว่าพนักงานจะเรียกเบอร์ที่เราหยิบมา ถึงจะไปนั่งและสั่งอาหารได้
ตอนแรกเราไม่รู้ ลปเลยไปถาม เขาก็พูดเรื่องคิวแหละ
แต่เราคิดว่าทางร้านจะเรียกเราไปให้คิวเอง ที่ไหนได้ต้องหยิบมา
พอถึงคิวเรา เราก็ไปนั่ง และสั่งอาหารมา 4 อย่าง
เหมือนชีวิตไม่เคยกินอะไรมาก่อนหน้านี้อ่ะ
เป็นร้านแบบสวน ๆ หน่อย ดูธรรมชาติ มีขายของที่ระลึก และโรงเพราะเห็ด
ตรงนี้คือส่วนหลักที่ใช้ในการรับลูกค้า เราต้องเข้าไปหยิบบัตรคิวในนี้
ที่นั่งโซนใต้บ้าน ข้างบนก็มี
หรือโซนด้านนอกก็นั่งได้
อาหารที่เราสั่ง พิซซ่าเห็ด ยำเห็ดสามอย่าง และเห็ดทอด
จริง ๆ มีขนมปังพริกเผาด้วยแต่ไม่ได้ถ่ายมา
(6) Casa Foresta
ที่พักสำหรับคืนสุดท้ายก่อนกลับบ้าน เราก็กลับมานอนในเมือง
หาที่พักบริเวณใกล้ ๆ สนามบินอีก แต่อันนี้คือส่วนตัวมาก
ไม่มีที่พักอื่นหรือบ้านอื่น ๆ อยู่ใกล้ ๆ เลย เงียบเหมือนไม่ได้อยู่ในเมือง
มีบ้านแบบแฝด และบ้านเดี่ยวแยก แต่ห้องแยกกันนะ
ภายในก็จะกว้าง ๆ หน่อย
ราคาที่พักค่อนข้างสูง แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่ได้คือคุ้มค่ามาก
บรรยากาศรอบ ๆ คือดี เงียบสงบอย่างที่บอก
ภายในบ้านกว้างขวาง สิ่งอำนวยความสะดวกครบมาก
มีมินิบาร์ฟรี รวมกับค่าที่พักไปแล้ว การตกแต่งดูโมเดิร์น น่านอนสุด
เสียดายที่ได้พักแค่แปปเดียวแล้วตอนเช้าต้องรีบตื่นไปสนามบิน
สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
(7) วัดพระธาตุเขาน้อย
ที่พักที่เราเลือกจะอยู่ใกล้กับวัดพระธาตุเขาน้อยเลย
แบบมองจากหน้าที่พักก็จะเห็นวัดอยู่ด้านหลังเยื้องขึ้นไปข้างบน
เราแวะมาที่วัดก่อนที่จะไปหาอะไรกินกันสำหรับมื้อเย็น
ตั้งอยู่บนยอดดอยเขาน้อย
ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว เพราะ 6 โมงกว่าแล้ว แต่ยังสามารถเข้าไปในวัดได้อยู่
ไฮไลท์ของวัดพระธาตุเขาน้อยก็คือ องค์พระพุทธรูปที่หันหน้าไปทางเมือง
สวยงามมาก ขนาดเป็นตอนกลางคืน แถวยังสามารถชมวิวเมืองจากจุดนี้ได้อีก
ชมวิวก็จะประมาณนี้
ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว เพราะ 6 โมงกว่าแล้ว แต่ยังสามารถเข้าไปในวัดได้อยู่
ไฮไลท์ของวัดพระธาตุเขาน้อยก็คือ องค์พระพุทธรูปที่หันหน้าไปทางเมือง
สวยงามมาก ขนาดเป็นตอนกลางคืน แถวยังสามารถชมวิวเมืองจากจุดนี้ได้อีก
(8) ร้านเฮือนฮอม
ร้านนี้พี่แสบเป็นคนแนะนำว่าต้องมา จริง ๆ จะไปตั้งแต่วันแรก แต่ก็ลืมอีกแหละ
ก็เลยมาวันนี้แทน มื้อเสียตังมื้อสุดท้ายของทริปนี้
บรรยากาศร้านก็จะเมือง ๆ หน่อย มีทั้งนั่งเก้าอี้ธรรมดากับนั่งพื้น
แต่โซนนั่งพื้นก็จะเป็นห้องแยกไปและเป็นขันโตก
ดูจากขนาดแล้วไม่น่าเพียงพอต่อความต้องการในการสั่งอาหารของเรา
ก็เลยนั่งโต๊ะธรรมดา ร้านนี้เราสั่งเยอะหน่อย แต่น่าจะถ่ายรูปมาไม่หมด
เพราะกินไปเรื่อย ๆ ก็ขี้เกียจ 555555555555
จริง ๆ น่าจะตั้งใจถ่าย เพราะร้านนี้อร่อยดี
(9) ถนนคนเมือง
ใกล้ ๆ ร้านเฮือนฮอมก็มีตลาดที่เป็นถนนคนเดินอยู่
เราก็เลยลองข้ามไปเดินดูว่ามีอะไรให้ช้อปปิ้งบ้าง
ส่วนมากก็เป็นกลุ่มผ้าทอ เสื้อผ้า ผ้าไหม ผ้าสไบ อะไรทำนองนี้
และไม่มีคนเลยอีกแล้ว T^T พ่อค้าแม่ค้านั่งกันแบบเฉย ๆ
เงียบ ๆ หรือเป็นวันไม่มีคน
หรือหลัก ๆ ไม่ได้ขายเวลานี้ แต่ตรงหน้าตลาดมีโชว์ตัวอ่อน
โหดมาก คือนั่งท่องเที่ยวหรือคนมาดูก็จะวางเงินไว้ที่พื้น
แล้วให้นางรำโน้มตัวมาทางด้านหลัง เอาปากคาบเงิน
เห็นแล้วเสียวเอวเลย เอากระดูกไปไว้ที่ไหนนนน
อ๊ากกกกก
หลังจากเดินเล่นเสร็จก็กลับที่พักไปนอน
DAY 5 : NNT ✈ DMK
(5/12/2018)
(1) Breakfast at Casa Foresta
อาหารเช้าที่นี่เยอะมาก ละลานตา และเนื่องจากวันนี้เป็นวันธรรมดา
เลยไม่ค่อยมีคนเข้าพักเท่าไหร่มั้ง ก็จะมีแค่กลุ่มก่อนหน้า กับพวกเรา
ที่ออกมารับทานอาหารเช้า มีทั้ง American breakfast ข้าวต้ม
ขนมปัง ซีเรียล หรืออาหารไทย อย่าง 2 อย่าง ตักข้าวกันไป
กาแฟ โอวันติล น้ำเปล่า น้ำส้ม ขนม นม เนย ให้เลือกสรร
กินเสร็จก็ต้องรีบออกไปเพราะว่าบินเช้า เดี๋ยวเครื่องบินไม่รอ
ถึงจะเป็นสนามบินเล็ก ๆ เราก็จะมองข้ามเรื่องระเบียบไม่ได้เลย
(2) คืนรถที่สนามบิน
แอบกลัวมากว่าพี่แสบจะมาขึ้นเครื่องทันมั้ย เพราะว่าคนรับรถคืนมาช้ามาก
เหมือนเพิ่งตื่นงี้ 555555 แถมมารับแล้วก็ไม่เช็คอะไรรถเลยด้วย ตลก
แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี และโชคดีที่สนามบินเล็ก
เลยไม่ต้องวิ่งหน้าตั้งหาเกท มีช่องทางเข้าทางเดียว
กลับบ้านแล้วจ้า บ้ายบายยย
Parn-J Vacation
วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 14.33 น.