บ้านนาถ่อนต้อนรับเราด้วยสายลมอ่อนๆ หมู่บ้านที่เงียบสงบ และเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวทำให้เรารู้สึกได้ถึงความผ่อนคลาย สายลมและฝนโปรยปรายชำระความเอาเหนื่อยล้าจากการเดินทางไปจนหมดสิ้น ภาพท้องนาสีเขียวกว้างไกลสุดสายตา ต่างจากภาพอีสานที่แผ่นดินแห้งแล้งแบบที่เคยจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง

6 วัน 5 คืนในบ้านนาถ่อนนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายให้เราได้สัมผัสและเปิดประสบการณ์ใหม่ มีผู้คนมากมายที่เราได้พบเจอ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ ถ้าเปรียบชุมชนนี้เป็นหนังสือ ก็เป็นหนังสือที่อ่านเพลินจนวางไม่ลง เมื่อวานก่อนกลับ เรานั่งคุยกับพ่อๆแม่ๆที่หน้าบ้าน ถึงทริปที่ผ่านมา พ่อๆแม่ๆถามว่าชุมชนของเขานั้น ไม่มีภูเขา ไม่มีน้ำตก ไม่มีทะเล แล้วลูกประทับใจบ้านนาถ่อนตรงไหน เราตอบพ่อๆแม่ๆอย่างไม่ลังเล


"คนที่นี่รักกัน"


คำติดพูดติดปากของชาวบ้านนาถ่อนเมื่อเราลงพื้นที่สัมภาษณ์ชาวบ้านด้วยคำถามที่ว่า "คิดว่าอะไรคือจุดเด่นของชุมชนนี้" เชื่อไหมว่า ชาวบ้านทุกคนต่างตอบด้วยคำตอบเดียวกันว่า "เราสามัคคีกัน" หลังจาก 6 วัน 5 คืนผ่านไป เราสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่เพียงคำพูดที่ทำให้ดูดี แต่ชาวบ้านาถ่อนเขารักและสามัคคีกันจริงๆ จากกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆที่คนในชุมชนช่วยกันสร้างสรรค์ขึ้นมา ทุกสถานที่ๆเราไปเยี่ยม ทุกกิจกรรมที่เราทำ มีคนในชุมชนมาร่วมด้วยช่วยกันเยอะมาก รู้สึกเลยว่าคนในชุมชนสนับสนุนกันและกันดีมาก ดังคำพูดของผู้ใหญ่บ้านที่เรามักได้ยินเสมอ คือ "เราจะไปด้วยกัน จะไม่ทิ้งใครไว้ด้านหลัง" เมื่อมีอะไรขาดมือ ทุกคนก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ บางคนไม่ได้มาร่วมกิจกรรมตอนเช้าก็มาทานข้าวด้วยตอนเย็น อยู่ที่นี่ไม่มีเหงาเลยสักวัน





"มีวิถีชีวิตที่งดงาม"


บ้านนาถ่อนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนเคารพนับถือคือปู่ตาแสงซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชุมชนที่ยึดเหนี่ยวจิตวิญญานของชุมชนไว้ คนบ้านนาถ่อนมีความรู้สึกผูกพันกับชุมชนและภูมิใจกับความเป็นชาติพันธุ์ของตัวเอง ทุกคนในชุมชนรู้ว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน และถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับชาติพันธุ์ของตัวเองได้เป็นอย่างดี ชุมชนบ้านนาถ่อนเป็นบ้านของชาติพันธุ์ไทยกวน พวกเขาอพยพตามแนวราบมาจากสิบสองจุไทในเวียดนาม เข้าสู่ประเทศลาว แล้วใช้แม่น้ำเซในการอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองมรุกขนคร หรือนครพนมในปัจจุบัน

ด้วยชัยภูมิที่ดี มีทุ่งที่กว้างใหญ่สำหรับกสิกรรมและน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ พอว่างจากทำนา ผู้หญิงทอผ้า ผู้ชายตีเหล็ก มีการร้อยเรียงเรื่องราวตำนานเข้ากับสถานที่จริง พวกเขาเคารพและภูมิใจในชาติพันธุ์ของตัวเอง

มีการสืบทอดภูมิปัญญาในการตีเหล็ก การทอผ้า และการจักสานซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบต่อมาตั้งแต่สมัยโบราณ และนอกจากแบบโบราณที่มีการอนุรักษ์แล้ว ยังมีช่างตีเหล็กรุ่นใหม่ที่เพิ่มมูลค่าของสินค้าโดยการขายมีดดาบแบบสวยงามโดยใช้ภูมิปัญญาของชุมชนผ่านช่องทางออนไลน์ แถมว่างๆยังช่วยชุมชนทำคอนเทนต์ด้วยภาพจากโดรนที่พวกเขาต่อขึ้นเองด้วย

ชาวบ้านนาถ่อน "กินดี" มีการทำการเกษตรอินทรีย์เพื่อบริโภคเองอย่างปลอดภัย ถ้ามีเหลือก็เอาไปแลกกับบ้านอื่น น้อยมากที่คนบ้านนาถ่อนจะยกเอาเรื่องเงินๆทองๆมาเป็นอันดับต้นๆ วิถีชีวิตการตักบาตรข้าวเหนียวในตอนเช้า การอยู่กันแบบพี่แบบน้อง เราได้พูดคุยกับคนในท้องถิ่น เราเห็นความสุขในแววตา และรอยยิ้มที่มาจากหัวใจ


"มีทรัพยากรทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์"


บ้านนาถ่อนคือตัวแทนของคำว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" อย่างแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่พ่อๆแม่ๆพาเราไปทำกิจกรรมเกี่ยวกับการเกษตรมากมาย ทั้งเที่ยวชมสวนเกษตรอินทรีย์ ดำนาข้าวไรซ์เบอรี่อินทรีย์ ล่องแพเปียกในห้วยบังฮวกซึ่งมีเวิ้งน้ำที่สวยงาม อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ปลาชนิดต่างๆ เชื่อไหมว่า เราไปวางเบ็ดแบบพื้นบ้านริมห้วยบังฮวก ไม่เกิน 30 นาที เราก็ได้ปลาช่อนตัวอ้วนๆมาเผากินแล้ว กิจกรรมต่างๆถูกผูกโยงร้อยเรียงให้เข้ากับธรรมชาติที่งดงามและสมบูรณ์


จริงอยู่ที่ชุมชนแห่งนี้ ไม่มีภูเขา ไม่มีน้ำตก ไม่มีทะเล

แต่กลับเติมเต็มหัวใจเราได้อย่างมากมายเหลือเกิน เรารู้สึกอิ่มท้อง อิ่มอก อิ่มใจ และรู้สึกได้กำไรชีวิตมากๆที่ได้มีโอกาสมีใช้ชีวิตร่วมกับชุมชนแห่งนี้

จากวันแรกที่เราเข้ามาในฐานะผู้แข่งขัน

แต่ 6 วัน 5 คืน ที่เราได้สัมผัสและทำงานร่วมกับชุมชน ทำให้เรารู้สึกเป็นหนึ่งในเดียวกับชุมชน สิ่งนี้ทำให้เราเปลี่ยนเป้าหมายในการทำคอนเทนต์ไม่ใช่เพื่อการประกวดเพียงอย่างเดียว แต่ยังตั้งใจสร้างคอนเทนต์เพื่อให้ชุมชนเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริงๆด้วย อยากช่วยชุมชนนี้ให้ประสบความสำเร็จในการทำการท่องเที่ยวได้จริงๆ เพื่อตอบแทนพ่อๆแม่ๆที่มาสอนเราดำนา เพื่อคุณตาเรียมคนที่ตีมีดโบราณ เพื่อพี่คนขับรถอีแต๊กที่พาเราไปทุกที่ เพื่อคุณยายที่มาสอนเราทำหมากเบง(เครื่องบูชาที่ทำจากใบตอง)ให้เราเอาไปถวายพระธาตุมรุกขนคร เพื่อพ่อๆแม่ที่มาดูแล และเพื่อชาวบ้านนาถ่อนทุกคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจและทำงานอย่างหนักเพื่อผลักดันการท่องเที่ยวโดยชุมชน

ในพิธีเอิ้นขวัญหนึ่งในคำอวยพรที่ครูพูดยังคงก้องอยู่ในหัว

"ขอให้แคล้วคลาดจากอุปสรรคและนำพาชัยชนะมาให้หมู่บ้านเรานะลูกนะ"


เราไม่มีอะไรจะตอบแทนนอกจากใจที่แลกกับใจ ใจที่ตั้งใจจะถ่ายทอดเรื่องราวอย่างสุดฝีมือ

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา

รถของเราแล่นออกจากบ้านนาถ่อนไปอย่างช้าๆ เราบอกลาพ่อแม่เจ้าของโฮมสเตย์ มีหมอแคนหมอพิณเจ้าเดิมมาบรรเลงเพลงส่งพวกเราเดินทางกลับ เสียงพิณเสียงแคนค่อยๆเบาลงตามระยะทางไกลออกไปเรื่อยๆ แต่ภาพความสุขที่เกิดขึ้นที่บ้านนาถ่อน ยังคงติดแน่นในความทรงจำ คิดไม่ผิดเลยที่เลือกมาที่นี่ บ้านนาถ่อน นครพนม


#ThailandVillageAcademy #TheVillageStory #ชุมชนบ้านนาถ่อน #นครพนม



Pasiree Parichani

 วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 เวลา 20.47 น.

ความคิดเห็น