แรกเริ่มเราชวนเพื่อนไปด้วยกัน แต่แล้วก็โดนเท แต่ด้วยความที่ใจมันอยากไปก็เลยตัดสินใจไปคนเดียว ทั้งที่ภาษาอังกฤษ พูดได้แค่ Yes No OK กับศัพท์อีกไม่กี่คำ ก็เลยได้ประสบการณ์การไปต่างประเทศคนเดียวแบบงงๆ มาแชร์กันครับ
Day 1
ในที่สุดก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ หลังจากที่ผมเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักในเมืองเบตง ก็ได้เรียกรถประจำทางที่เป็นเอกลักษณ์โดยมีสีเหลืองทั้งคัน ให้ไปส่งที่ด่านเพื่อข้ามไปยังมาเลเซีย แล้วเดินทางต่อไปยัง เกาะปีนัง ใช่ครับเกาะปีนัง เกาะที่ไปได้ง่ายมากแค่นั่งเครื่องบินไปแปบเดียวก็ถึง แต่ครั้งนี้ผมตั้งใจเดินทางทางบกครั้ง เราเริ่มเดินทางกันเลย หลังจากที่ข้ามชายแดนมาแล้วให้เราเดินเรื่อยๆออกมาจนถึงประตูด่านครับ ถ้าขี้เกียจเดินก็มีมอเตอร์ไซค์จอดรอให้บริการอยู่แต่เท่าไหรผมไม่แน่ใจ
ออกมาจะเจอกับแท็กซี่ของมาเลเซียจอดรออยู่ ให้เราต่อแท็คซี่ที่นี้ไปลงที่ท่ารถบาลิ่ง ราคาค่าเดินทางอยู่ที่ 30 RM หลังจากถึงที่สถานีบาลิ่งแล้ว เราจะต้องต่อรถที่นี้ ไปยังท่ารถ บัตเตอร์เวิร์ท เพื่อที่เราจะข้ามเรือกันต่อไปยังเกาะปีนัง
สำหรับท่ารถบาลิ่งนี้ต้องบอกเลยว่าเงียบมากๆ คือนั่งไปก็กลัวไปเพราะถ้ารถที่เรารอไม่มีคือเราไม่สามารถไปไหนได้เลย สำหรับการไปต่างประเทศคนเดียวของคนอื่นอาจจะเป็นเรื่องง่ายดายครับ แต่สำหรับคนที่พูดภาษาอังกฤษได้แค่ Yes , No , OK , Thank you และศัพท์อื่นอีกไม่กี่คำคงจะเข้าใจอารมณ์ดีว่ามันเหมือนอยู่ในหลุมหลบภัยท่ามกลางสมรภูมิรบยังไงยังงั้น ที่มองไปซ้ายก็เอิ่ม มองไปขวาก็อ่าซ์ จะถามรถที่ต้องการยังไงดีวะนี้ นั่งรออยู่พักใหญ่ก็เดินเข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว พูดผิดๆถูกๆถามรถจนรู้ว่า กว่ารถจะมาถึงอีก ชั่วโมงกว่าทีเดียว
รถที่นี้มาตรงเวลาครับ พอบ่าย 2 กว่าๆ ตามเวลารถก็มาถึงทันที เราเอกก็เดินไปด้วยความไม่มั่นใจเลยถามคนที่ยืนต่อคิว เขาก็ใจดีนะครับพูดตอบเราด้วย แต่ฟังไม่ทันหันไปอีกทีเขาขึ้นรถไปแล้ว ที่ต้องถามเพราะรถที่นี้เป็นระบบหยอดเงินครับ จ่ายเกินไม่มีทอน ก็เลยเอาไงเอากัน
ขึ้นไปกำเงินเศษทั้งหมดที่มี หยอดไปมองหน้าคนขับไป คือง่ายๆถ้ามันพยักหน้าแสดงว่าครบก็เท่านั้น สรุปหยอดไปทั้งหมด 8RM แล้วเดินโง่ๆเข้าไปนั่งที่เบาะแบบสบายใจ รถประจำทางที่นี้ถือว่าดีครับ นั่งสบาย สบายจนเผลอหลับไปซะงั้น
เวลาบนรถประจำทางกว่า 2 ชั่วโมง ก็พาเรามาถึงจุดหมายปลายทางที่ ท่ารถบัตเตอร์เวิร์ท พอลงรถได้โอ้ว มันเป็นท่ารถที่ใหญ่มากมีทุกอย่างเลยละ แล้วเป็นทางเชื่อมไปยังท่าเรือ รวมถึงจุดอื่นๆที่จะไปได้ ว่าแต่คือท่าเรื่องไปทางไหนละนั้น ด้วยความอ่อนภาษาอย่างแรง ก็อาศัยดูสัญลักษณ์เป็นหลักครับ เห็นอันที่มันมีรถเรือก็เดินๆไป จนขึ้นไปชั้น 2 แล้วเดินต่อตามคนอื่นมาจนมาเจอกับท่าเรือ ที่จะพาเราไปยังเกาะปีนัง ราคาค่าข้ามแค่ 1.3RM ราคาสบายๆเลยละ
หลังจากลงเรือเรียบร้อยความตื่นเต้นก็เริ่มๆหายไป พร้อมกับบรรยากาศรอบด้านบนเรือลำใหญ่ลำนี้ เราเดินวนถ่ายรูปไปมารอบเรือจนมาถึง Penang Ferry ท่าเรือเป้าหมายของเราแล้ว
แต่พอออกจากท่าเรือเท่านั้นแหละ เอิ่ม... ไปยังไงต่อดี ความตั้งใจของเราคือหาที่พักแบบโฮสเทลใกล้ๆ George town เพื่อจะได้ใช้เวลาในการเดินเล่นได้อย่างสบาย ว่าแล้วก็จัดการหยิบมือถือเปิด Google ทันทีครับ เดินตาม Google ยังไงมันต้องพาเราไปได้ ใช่ครับมันพาเราไป
เดินวนไปวนมาจนไปเจอกับ ศิลปินรุ่นใหม่กำลังบรรเลงสีบนกำแพงเก่าๆในเมืองนั้นแหละ เลยได้เดินเข้าไปคุยอยู่ 2-3 คำ คือพูดเยอะกว่านั้นไม่ได้เดี๋ยวเขาตอบมาเราจะงง
หลังจากเดินวนเลือกแล้วเลือกอีกกับโฮสเทลสุดท้ายก็ลงเอยที่ Rope Walk Guest House เพราะด้วยราคาที่สบายเราคือ 2 คืนอยู่ที่ 53RM ก็ตกคืนละ 210 บาท ต่อเตียงเท่านั้นเอง สำหรับห้องเราเป็นห้องเตียงรวม 18 เตียงด้วยกัน บอกเลยว่าตื่นเต้นสุดๆเพราะ ฝรั่ง 80% เลยละ หลังจากได้ที่พักและพักผ่อนเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาออกเดินหาของกินสิครับ
พื้นที่ๆเราพักนี้ใกล้กับ Kimberley Street Food Night Market ถือเป็นพื้นที่หาของกินได้อย่างสบายใจ เราเดินเลือกอยู่ซักพักใหญ่ เพราะมันหลากหลายมากมีทั้งจีน อินเดีย และอื่นๆอีก กว่าจะตัดสินใจได้ก็เดินวนไป 3 รอบ
หลังจากใช้เวลากินจนหมดก็เลยออกเดินเล่นซะหน่อย ตั้งใจจะเดินไปดูบรรยากาศกลางคืนของปีนังว่ามันสนุกแค่ไหน เดินไปหลงไปจนไปเจอซอยที่เต็มไปด้วยบาร์มากมาย แต่ช่วงที่เราเดินคนยังน้อยอยู่ ใจก็อยากนั่งนะแต่กลัวเงินที่พกไปจะหมดประกอบกับเหนื่อยกับการเดินทางด้วย เลยกะว่าพรุ่งนี้ละกันเดินสำรวจหมดแล้วค่อยว่ากัน
Day2
หลังจากนอนเต็มอิ่มตื่นมาแต่เช้าแรกที่ ปีนัง ที่แรกที่ทำคือ ถือกล้องออกจากโรงแรมแล้ว...ออกไปหาข้าวกิน
ออกมาเดินไปได้ซักพัก เจอกับร้านขนมร้านนึงซึ่งดูแล้วน่ากินมาเลยหยุดยืนตอคิวซื้อด้วย แต่ต้องขอโทษที่จำชื่อไม่ได้ หลังจากนั้นก็เดินกลับมาเพื่อหาข้าวเช้ากันต่อ สำหรับมือนี้นั้น เราเลือกร้านที่ไม่ไกลจากที่พักเลย เพราะเวลาของเรามีไม่มาก สิ่งที่ต้องการคืออยากเดินไปที่วัดไทยในเมืองปีนัง
ร้านที่เราเลือก Leong Kee Tim Sum อยู่ตรงหัวมุมของที่พักเราเลยละ ราคาพอรับได้สำหรับคนงบน้อยแบบเรา แล้วรสชาติก็เหมาะสมกับค่าเสียหาย เราสั่งติ่มซำมาประมาณนึง นั่งกินไปดูบรรยากาศเช้าไป
หลังจากกินเสร็จก็ออกเดินทาง โดยเปิดจาก Google เช่นเคย เห็นระยะทางมันแค่ 3 กิโลนิดๆ เวลาถ้าเดินก็แค่ 30-40นาที เลยตั้งใจเดินเอาเลยละกัน เดินไปได้ซักพักใหญ่ เห้ย ทำไมมันยังไม่ถึงซักที ยิ่งอากาศที่เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆทำให้ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกไกลจริง พยายามเดินไปถ่ายรูปไป ต้องบอกว่าบ้างอันคือจำไม่ได้จริงๆว่ามันคืออะไร
แต่ที่นี้ Burmah Road Gospel Hall ที่นี้ไม่ได้เข้าไปนะครับ แต่ด้วยความที่เดินผ่านแล้วมันสวยดี เลยถ่ายรูปเอาไว้ หลังจากที่ถ่ายรูปนี้เสร็จ บอกเลย เหนื่อยและร้อนมาก อุณหภูมิตอนที่เราเดินขึ้นไปถึง 36 องศา ลมก็ไม่มี แต่ตั้งใจแล้วก็เลยเดินต่อไป
กว่าจะถึงวัดไทยก็ปาเข้าไป เป็นชั่วโมง สภาพคือเหงื่อเต็มตัว สำหรับวัดไทยที่ปีนังนี้ชื่อว่า วัดไชยมังคลาราม ถือเป็นศาสนสถานของชาวสยามที่เก่าแก่ที่สุดในเกาะปีนังครับ วัดไชยมังคลารามเป็นวัดไทยที่มีชื่อเสียงบนเกาะปีนัง ภายในอุโบสถมีพระนอนยาวที่สุดในประเทศมาเลเซีย โดยมีความยาว 108 ฟุต สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2500 โดยมีชื่อว่าพระพุทธชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานนามให้ในคราวเสด็จประพาสเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศิลปะของวัดไชยมังคลารามนั้นเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะไทย พม่า และจีนเข้าด้วยกัน ครับ
หลังจากออกจากวัดไทยตรงกันข้ามเป็น วัดพม่าธรรมิการาม ซึ่งเป็นวัดพม่าที่มีชื่อเสียงของรัฐปีนัง เลยได้แวะเข้าไปเดินสักการะและถ่ายรูปไว้เยอะทีเดียวครับ สำหรับ วัดธรรมิการาม มีความโดดเด่นด้วยการใช้สีแดงสลับทองดึงดูดสายตา มีรูปปั้นช้างหินขาวสองเชือกยืนพิทักษ์อยู่หน้าทางเข้าที่ประดับประดาอย่างสวยงาม เมื่อมองเข้ามา จะสะดุดกับเสาหลักสีทอง หลังคาโค้งสีทองที่เรียงกันเป็นแถวอย่างยิ่งใหญ่ และยอดเจดีย์ทรงกรวยสีทองวาววับ วัดนี้ถือเป็นวัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในปีนังแห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2346 ก็ราวๆสองร้อยกว่าปีแล้วละ เมื่อเดินเข้ามาด้านในจะพบกับภาพวาดมากมาย จิตรกรรมฝาผนัง และรูปปั้นต่างๆ เดินถ่ายรูปจนรอบวัดแล้วก็กินเวลาไปถึงช่วงบ่ายของวันแล้ว แต่จะให้เดินกลับอีกทีคงไม่ไหว เลยตัดสินใจ เรียก Grab จากตรงนั้นเลยละกัน เหตุผลที่ใช้ Grab มีเหตุผลเดียวครับ กลัวเรียกรถแทกซี่แล้วเค้างงว่ามันจะไปไหนของมัน เลยกดจุดหมายเอาใน Grab สะดวกสุด อากาศร้อนๆแบบนี้เราตัดสินใจกลับที่พักก่อนเลย
หลังจากพักรอเวลาจนเข้าช่วงบ่าย 3 โมง แดดก็ยังร้อนอยู่นะแต่เอาละไหนๆมาแล้วก็ต้องลุยกันไป เลยตัดสินใจเดินตะลุยถ่ายรูป Street Arts ที่เมืองปีนังกัน คือแบบว่าถ้ามาปีนังไม่ถ่ายมันคือมาไม่ถึง ก็เลยออกลุยทันที ไหนๆก็ไหนๆเรามาเข้าสาระกันซักหน่อย
จุดเริ่มต้นของภาพศิลปะนี้เกิดขึ้นจาก เออร์เนสต์ ซาคาเรวิก (Ernest Zacharevic) เป็นชาวลิธัวเนียโดยกำเนิด เรียนจบเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยมิดเดิลเซ็กที่ลอนดอน ก่อนจะย้ายมาพำนักชั่วคราวที่ปีนัง เค้าไปปีนังครั้งแรก ปี 2012 เค้าเสนอไอเดียภาพวาดตามกำแพงให้กับคณะกรรมการงานประจำปี Georgetown Festival และได้รับการคัดเลือก ให้วาดภาพ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นเอกลักษณ์ และไฮไลท์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มุ่งตรงมาที่จอร์จทาวน์โดยรูปแต่ละรูปจะสัมพันธ์กับวิถีชีวิตกับคนท้องถิ่นของที่นี้
หลังจากนั้นงานศิลปะก็ค่อยๆเริ่มขึ้นมากเรื่อยๆ โดยมี งานศิลปะ เหล็กดัดรูปการ์ตูน เป็นอีกชิ้นงานศิลปะของจอร์จทาวน์ ชิ้นงานทั้ง 52 ชิ้นนี้ บอกเล่าเรื่องราวขำๆ และประวัติศาสตร์ของเมือง ซึ่งถูกจับวางอยู่ตามมุมต่างๆของจอร์จทาวน์ หรือว่าจะเป็น ภาพวาดของสารพัดแมว ตัวเล็กตัวใหญ่ตามมุมต่างๆของจอร์จทาวน์ เป็นโปรเจคขององค์กรเพื่อสัตว์ มีศิลปินชาวไทย คุณณัฐธร เมืองเกรียง ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน วาดภาพแมว เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกในการหาบ้านให้สัตว์เร่ร่อนอยู่ ยังมีอีกมากมาย เพื่อนๆสามารถเข้าไปโหลดแผนที่งานศิลปะได้ที่ลิ้งค์นี้เลยนะ
http://www.tourismpenang.net.my/pdf/street-art-brochure.pdf
ระหว่างเดินสำรวจไปเรื่อยๆสิ่งที่เราชอบที่สุดของการได้ออกเดินเล่นแบบนี้ก็คือการเดินดูวิถีชีวิตของคนพื้นที่ ที่อาศัยอยู่ไปพร้อมกับบ้านเมืองที่กำลังหมุนวนผ่านไปเรื่อยๆ มันเป็นภาพที่เก็บไว้ในความทรงจำได้อย่างดี
เอาละเรามาต่อเรื่องของเรากัน นอกจากงานศิลปะ Street Arts ก็ยังมีส่วนของ Museum แสดงศิลปะมากมายที่ถูกสร้างขึ้น แต่ด้วยความที่เราไปไม่ได้พกเงินไปเยอะมากมายอะไร เลยไม่ได้เข้าไปเท่าไหร่นัก ก็เลยเดินเล่นไปเรื่อยจนมาเจอกับ Art Lane Penang ที่แสดงศิลปะแบบฟรีๆ ที่นี้จะเปิดให้เข้าเวลา 9 am - 7 pm นะ เข้าไปเดินดูมีงานศิลปะสวยๆมากมาย
เราเดินไปเรื่อยๆผ่านตามซอยต่างๆของปีนังเดินถ่ายวิถีชีวิตต่างๆไป ก็มานั่งดูว่าคนที่นี้เข้าอยู่ด้วยกันได้ลงตัวดีนะ เพราะเราเดินผ่านบ้างจุดดูมีความทันสมัย มาเป็นจีนยุคเก่า
แล้วสุดท้าย เราก็ดินมาจนเจอกับชุมชนอินเดีย ซึ่งเราก็คิดว่าเรากำลังอยู่อินเดียซะงั้น เดินจนออกมา ได้ถ่ายรูปไว้บ้าง แต่เราชอบรูปนี้เลยขอเลือกรูปนี้เอามาลงละกัน
หลังจากเดินเล่นจนเย็นเราเดินมาจนถึง ส่วนของ Georgetown Esplanade หรือสวนสาธารณะของปีนัง ที่อยู่ในพื้นที่เดี๋ยวกับ ที่ว่าการเมืองปีนัง หรือถ้าเรียกง่ายๆก็คือสถานที่ราชการนั้นแหละ ช่วงเวลาที่ไปถึงนั้นพระอาทิตย์กำลังผ่านหลังตัวตึก ที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบวิกตอเรียน พื้นผิวหน้าสีขาวของที่ว่าการเมือง โค้งสูงแคบๆ และเสาสีขาวแบบโคโลเนียลย้ำเตือนถึงยุคที่อิทธิพลของสหราชอาณาจักร
มีลานสีเขียวชะอุ่มที่อยู่ตรงหน้าที่ว่าการเมืองมีชื่อว่า Kota Lama บริเวณนี้ถูกปรับให้เตียนโดยชาวสหราชอาณาจักรเพื่อเล่นคริกเก็ตและเกมบนลานอื่น ๆ รวมถึงการเดินสวนสนามของทหารอีกด้วย ทุกวันนี้ บริเวณนี้เป็นสถานที่สำหรับจัดคอนเสิร์ตและการเฉลิมฉลองต่าง ๆ ตลอดทั้งปี นั่งบนหญ้าหรือในเวทีคอนเสิร์ตเหล็กหล่อ แล้วมองดูที่ว่าการเมืองที่ตั้งอยู่ด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งเป็นน้ำที่ดันกำแพง ซึ่งอีกฝั่งของกำแพงเป็นทะเล ส่วนเวลาที่ไม่มีงานใดๆก็เป็นพื้นที่สำหรับคนในเมืองปีนังได้มาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจกัน ซึ่งมันร่มรื่นลืมความร้อนไปเลย
เราเดินเลาะริมทะเลมาเรื่อยๆจนถึงอีกฝั่งที่เป็นสนามเด็กเล่น มีเด็กมากมายวิ่งเล่นกับขอบครัวกันอย่างสนุก แต่เวลาของเรามีน้อย เลยนั่งพักให้พอหายเหนื่อยแล้วก็ออกเดินกันต่อไป
เราเดินเลาะถนนที่ขนาดกับทะเลไปเรื่อยๆ จนถึงหัวมุมก็พบกับ หอนาฬิกา Jubilee ในจอร์จทาวน์เมืองปีนังหอนาฬิกา Jubilee แบบชาวมัวร์ที่จุดเชื่อมต่อของถนนไลท์สตรีทและบีชสตรีท สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระบรมราชโองการเพชรสมเด็จพระนางเจ้าสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งปี 1897 ซึ่งมีความสูงหกสิบฟุต จุดที่เราไปอยากถ่ายรูปให้ติดหอนาฬากามากๆแต่มันยากเหลือเกิน จนเอาเท่าที่ถ่ายได้ละกัน 555 ดันมาอยู่ด้านใต้หอนาฬิกาซะนี้ จะข้ามถนนไปก็เหมือนว่าจะอันตรายเกินไป รถวิ่งเยอะตลอดเวลาด้วย
เดินต่อไปจนพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าได้เห็นมุมๆนึงผ่านแสงส้มๆแดงๆอมชมพูสะท้อนกับตึกสีขาวของตึก Wisma Kastam ทำให้อดหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้ไม่ได้
หลังจากนั้นตั้งใจจะเดินไปหาร้านข้าวที่เมื่อคืนเดินผ่านเห็นน่ากินมาก ระหว่างทางเดินไปก็ได้เจอกับภาพ Street Arts ฝีมือของ เออร์เนสต์ ซาคาเรวิก อยู่ระหว่างทางเดิน เลยได้หยุดถ่ายรูป
รวมทั้งรูปถ่ายระหว่างทางมากมายที่แอบหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายตลอดทาง จนไปถึงร้านที่ตามหา
ร้านบะหมี่ฮกเกี่ยนร้านเล็กๆฝีมือของ ตา ยาย คู่นี้ถือว่าอร่อยและถูกมากครับ ราคาที่เราสั่งคือชามใหญ่สุดไปเลย ราคาเพียง 5.5RM ก็ประมาณ 42 บาทเท่านั้น
เรียกได้ว่าอิ่มมาก เกือยลืมบอกไป ร้านบะหมี่ฮกเกี่ยนของตายายคู่นี้อยู่แถวๆ Chulia Street Night Hawker Stalls ลองเดินดูนะครับ ถนนเส้นนี้ก็เป็นเส้นเดียวกับที่มีบาร์ต่างๆนั้นแหละ พอกินเสร็จความตั้งใจของคืนเมื่อวานมันก็เปลี่ยนไปทันทีครับ
คืออิ่มและเหนื่อยมากกับการเดินมา 25 กิโลเต็มๆเกือบรอบ George town กันเลยละ เลยตัดสินใจซื้อเบียร์ 1 กระป๋องแล้วเดินกลับไปที่ โฮสเทลเพื่ออาบน้ำนอนดีกว่า
DAY 3
วันสุดท้ายของการเดินทางครับ วันนี้ยังพอมีเวลาก่อนเช็คเอาท์จากโฮสเทล เลยตัดสินใจรีบออกเดินตั้งแต่เช้ากันเลย เป้าหมายของวันนี้คือการเดินไปถ่ายรูปที่หมู่บ้านชาวประมง Clan Jetties Of Penang จากที่อ่านมาในรีวิวหลายๆอันเขาบอกว่าที่นี้จะเปิดตอน 9 โมง อ้าวแบบนี้ก็พอมีเวลาสิ เลยเดินถ่ายรูปเล่นตามทาง ไปเรื่อยๆระยะทางประมาณ 1 กิโลกว่าๆ ที่เดินผ่านตลาดสดตอนเช้าที่มีบรรยากาศที่หลากหลายมากมาย สัมผัสวิถีชีวิตของคนที่นี้ได้ชัดเจน สลับกับนักท่องเที่ยวตะวันตกแนวแบคแพคมากมายที่ออกมานั่งหาของกินกันที่ตลาดเช้านี้ บรรยากกาศกำลังดีเลย
แต่กลิ่นคาวเลือดจางๆโชยมา หันไปใช่เลยรถคันใหญ่เอาไก่มาส่งและเชือดกันข้างๆตลาดสัดกันเลย แล้วดันเป็นทางเดินที่เราเดินผ่านซะอีก ทำให้กลิ่นมันลอยมาโดนจมูกเราเข้าให้ เอิ่ม นี้แหละวิถีชีวิต
หลังจากเดินผ่านไป เราก็ได้เจอกับทีมงาน Art ของกองถ่ายภาพยนตร์สิงคโปร กำลังนั่งทำงานอยู่ ซึ่งจริงๆเราเจอพวกพี่ๆเขาตั้งแต่เมื่อวาน ได้คุยกันเล็กน้อยทำให้รู้ว่ามีทีมคนไทยอยู่ในทีมนี้ด้วย แต่ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหน
ในช่วงเช้าๆแบบนี้ร้านส่วนใหญ่ยังไม่เปิดกัน ไม่เหมือนกับเมื่อวานที่เราเพิ่งเดินผ่าน คนเยอะมากทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว
เราเดินไปจนถึง Clan Jetties Of Penang เห็นประตูยังไม่เปิดเลยเดินต่อไปอีกนิดเจอทางเข้าไปทางเรือเล็กๆ Tan Jetty เลยเดินเข้าไป พอเดินผ่านบ้านชาวประมงปลายทางที่เห็นมัน ว้าวมาก และคนก็ไม่มีด้วย เลยได้ยืนถ่ายรูปสบายไม่มีใครกวนอยู่พักใหญ่
จนถึง 9 โมงกว่า ได้เดินกลับมาที่ Clan Jetties Of Penang สำหรับที่นี้นั้น เป็นเหมือนตลาดผสมกับบ้านเรือนของชาวประมงพื้นที่ครับ (เตือนก่อนนะครับ อย่าถ่ายมั่วนะบ้างบ้านเขาไม่ชอบจะโดนด่าเอาได้) เราเดินไปจนสุด ก็จะมีเหมือนเป็นศาลซักอย่างที่คนแถวนี้นับถือ และก็มีพื้นที่ถ่ายรูป แต่เราว่า Tan Jetty สวยกว่า และคนไม่มีด้วย ฮาๆ หลังจากทำตามความต้องการเรียบร้อยก็เดินกลับไปเก็บของอาบน้ำและเตรียมออกไปขึ้นเครื่อง
สำหรับการเดินทางไปสนามบิน สามารถเรียกแท็กซี่หรือ Grab ได้ครับ แต่เราเลือกไปรถประจำทางของที่นี้ เก็บของเสร็จก็เดินออกไปยัง Komtar ครับหาไม่ยาก เดินไปแล้วออกไปด้านหลังของตึกจะเป็นท่ารถที่ทุกสายจะมาจอดรับกันที่นี้ ลองถามคนแถวนี้ได้เลย
เราขึ้นรถ Bus ประจำทางสุดสายที่ สนามบินเลย ราคาแค่ 2.8RM เองประหยัดเงินสุดๆ เราไปรอที่สนามบินอยู่นานเหมือนกันครับ เพราะกลัวว่าจะมาไม่ถูกและของก็หนักด้วย เลยเอาของมานั่งรอดีกว่า
สำหรับค่าใช้จ่ายที่ ปีนังของเรา อยู่ที่ 200RMหรือประมาณ 1500 บาท เท่านั้นกับการใช้ชีวิตงงๆบนเกาะปีนัง 3 วัน
การเรียนรู้มันไม่มีข้อจำกัด...แค่กล้าออกไป แล้วจะพบสิ่งที่แตกต่าง
เอาละครั้งต่อไปจะไปไหนดีฝากติดตามด้วยนะครับ
ฝากด้วยนะครับ Facebook : https://www.facebook.com/WAYwaitingfor/
JupiterEyesBlog
วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 23.49 น.