DAY3 ลงเขา ไปเจอนา [หมู่บ้านมณีพฤกษ์-ปัว]

เสียงนาฬิกาปลุกดังตอนตี 5.30 น.ของวันที่สาม ใช่ค่ะทางเราตื่นตี 5 มา 3 วันติดแล้ว แต่วันนี้มันไม่เหมือนกับวันก่อนๆ เพราะวันนี้มันมีความเหนื่อยล้าเข้ามาผสมด้วย หลังจากปิดนาฬิกาปลุกไป ได้แต่นอนนิ่งๆ คิดในใจว่า ลุกไปดูดีมั้ยวะ มันหนาวนะ นอนต่อมั้ย แต่ด้วยความ เอาวะ ไหนๆมาแล้ว ลุกขึ้นไปดูหน่อย ก็เดินออกไปนอกเต้นท์ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ หนาวมากกก หนาวจนสั่น หนาวจนต้องมาใส่เสื้อเพิ่ม หนาวมาก เดินเล่นอยู่หน้าเต้นท์ได้ประมาน 15 นาที ก็ต้องรีบวิ่งกลับเข้าเต้นท์ มาซุกตัวอยู่ในผ้าห่มต่อ และเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ รู้ตัวอีกที คือเพื่อนปลุกออกมาดูวิวตอนเช้าแล้ว คุณพระ พอออกไปปุป อือหือออ ขอบคุณที่กำเนิดชีวิตนี้ขึ้นมา ขอบคุณที่ที่บ้านให้อิสระ เพื่อมาพบกับสิ่งเหล่านี้

อิ่มอกอิ่มใจกันไปแล้วเราก็เคลียร์ตัวเองอีกรอบ เพื่อไปทานมื้อเช้า ในตัวหมู่บ้านมณีพฤกษ์ เราได้ถ่ายนายแบบตัวน้อยของที่นี่ไว้ด้วย

มื้อเช้าวันนี้เป็นมื้อง่ายๆ แต่ก็เต็มไปด้วยความประทับใจ โจ๊กอร่อยมากๆๆ ทานกันจนเกลี้ยง เสริฟพร้อมกับชาและกาแฟ ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ ตอนแรกป่านว่าจะไม่ เพราะปกติป่านไม่ดื่มกาแฟ แต่ก็นะ มาถึงที่ ต้องลองสักหน่อย เลยจัดไปหนึ่งแก้ว ป่านไม่รู้ว่าต้องอธิบายรสชาติไปในทิศทางไหน เพราะไม่มีความรู้เรื่องกาแฟเลยย แต่ที่รู้สึกได้คือ กาแฟมันหอมมากๆ

กาแฟเสร็จป่านก็ดื่มชาต่อ ซึ่งป่านชอบดื่มชาอยู่แล้ว ชาที่ดื่มวันนี้เป็นชาดอกกาแฟ มันดีมากทุกคน ดีจนต้องขนกลับมาไว้ที่บ้าน

shot by @lumprun.f


นอกจากโจ๊ก กาแฟ ชา แล้ว พี่เค้ายังเอาส้มออแกนิกมาให้ทานปิดท้าย เพื่อความปัง แกกก คืออยากบอกว่ามันหวาน มันดีมาก ซึ่งทุกอย่างที่เราทานในเช้าวันนี้คือผลผลิตของหมู่บ้านมณีพฤกษ์ เก๋มั้ยละ เนี่ยย ประทับใจมากก

ตามแพลนเดิมเราจะต่อกันไปที่ ถ้ำผาผึ้ง ซึ่งอยู่ระแวกนั้น แต่ด้วยความขับเลยป้ายมาไกลพอสมควร เราเลยตัดสินใจไม่วกกลับ และไปต่อเพื่อออกจากหมู่บ้านแทน เนื่องด้วยน้ำมันเราใกล้หมด ความเหนื่อยล้าที่สะสม และสุขภาพที่เริ่มย่ำแย่ แต่ไม่เป็นไร มันจะได้เป็นข้ออ้าง เพื่อมาซ้ำที่นี่อีกครั้ง เราขับออกมาเรื่อยๆ เราก็มาถึงอำเภอปัว ซึ่งเป็นอำเภอที่มีชื่อเสียงเรื่องนาข้าว แต่ทุกคน เราไปช่วงที่เค้าเก็บเกี่ยวกันแล้ว สิ่งที่เราเจอก็คือความว่างเปล่า555555

ที่แรกที่เราแวะไปก็คือ วังน้ำปัว มันเป็นสถานที่ชิวๆ ริมแม่น้ำ เอาดีๆมันเหมาะกับการมาช่วงเที่ยงมาก เพราะน้ำตกไทย ต้องคู่กับส้มตำไก่ย่าง ซึ่งที่นั่นมีพร้อมบริการ แต่น่าเสียดาย เรามาถึงตอน 10 โมง ซึ่งเป็นเวลาที่ท้องเราไม่ได้โหยหาอาหารเลยสักนิด

เราเดินเล่นไปเรื่อยๆในบริเวณนั้น และพบว่าเค้ามีแคมป์สไตล์น่ารักๆ ริมน้ำด้วยเว้ยย คือเก๋มากก เหมือนฉันพลาดอะไรไป

ออกจากวังน้ำปัว เราก็ต่อกันที่ วัดร้องแง เข้าไปสักการะเพื่อความสิริมงคลกันหน่อย


หลังจากเข้าไป ก็เจอคุณป้าท่านหนึ่ง เค้าก็แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในละแวกนั่นให้ หลังจากรวบรวมข้อมูลจากคุณป้าแล้วเราก็ไปตามพิกัดที่คุณป้าแนะนำนั่นก็คือ วัดภูเก็ต ซึ่งเป็นวัดชื่อดังมาก เพราะรีวิววัดนี้แน่นมาก ก็เข้าไปไหว้สักการะ เดินเล่นไปเรื่อย อากาศก็เริ่มร้อน เราเลยหยุดแวะทานไอติมกัน

ทานเสร็จก็ไปช็อปปิ้งด้านล่างกันต่อ ซึ่งละแวกนั้นมีร้านขายผ้าทอสไตล์ไทลื้อเยอะมากก และด้วยความที่คุณปรี(แม่) ชื่นชอบผ้าทอมือมาก ใช่ค่ะ เราต้องรับบทลูกสาวที่น่ารัก เราทำการเลือกชิ้นที่โดนใจ และคิดว่าคุณปรีจะชอบไป เพื่อความปัง หลังจากเสียทรงกันไปเรียบร้อยแล้ว ท้องมันก็เริ่มทำงาน โหยหาของอร่อย เราทำการเสิชในพันทิบและไปเจอร้านนึงซึ่งน่าสนใจมาก ว่าแล้วปักมุดไปกัน นั่นคือร้าน เป็ดป่าตอง ลุงชัย อาหารรสชาติปังๆ ให้ผักพื้นบ้านมาเยอะมาก ถูกใจสายเขียวอย่างเราๆ

อิ่มท้องแล้ว เราก็ตีรถเข้าไปยังเมืองน่าน และเวลาเราเหลือนิดหน่อย เราเลยตัดสินใจไปสักการะ พระธาตุประจำปีเถาะ นั่นคือ วัดพระธาตุแช่แห้ง ที่นี่เป็นวัดที่ใหญ่มากๆ นักท่องเที่ยวก็เยอะไปด้วยเช่นกัน มีการตกแต่งด้วยโคมไฟ(ไม่รู้จริงๆว่าเรียกว่าอะไร) ตลอดทาง คิดว่าตอนกลางคืนน่าจะปังอยู่

เราเดินเล่นหามุมถ่ายรูปสักพักใหญ่ๆ และเพิ่งรู้ตัวกันว่าคืนนี้ยังไม่มีที่ซุกหัวนอน แต่ด้วยช่วงที่เราไป ยังไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ เราจึงไม่ได้มีความกระตือรือร้นกันมากเท่าที่ควร หลังจากเลื่อนหาตามเว็บต่างๆ สุ่มโทร ก็ค้นพบความจริงว่า มีหลายที่ที่เต็มแล้ว หลังจากถูกปฏิเสธมา 3 สาย เราจึงเริ่มรู้ตัวว่า ไม่ควรชะล่าใจค่ะ และเราก็เลื่อนไปเรื่อยๆจนเจอที่พักที่นึง ที่สะดุดตามากๆ ชื่อว่า โฮมสเตย์ น่านเอฟเวอร์กรีน คันทรีฟาร์ม มีความโฮมสเตย์ตั่งต่าง เราตัดสินใจโทรหาที่พักและจอง โดยไม่ผ่านการคิดใดๆทั้งสิ้น และเมื่อไปถึง ทุกคนนน ฉันว่าฉันโชคดีมากๆ ที่พักน่ารักก เจ้าของน่ารักก ทุกอย่างน่ารักไปหมด


ที่พักที่นี่ใกล้กับ วัดพระธาตุเขาน้อย เจ้าของที่พักแนะนำให้เราขึ้นไปดูวิวพระอาทิตย์ตก แต่เนื่องด้วยความเอียนวัดของทางเรา และความบาปหนา เราจึงเลือกที่จะไปเดินเล่นในตัวเมืองน่านแทน เราเดินไปเรื่อยๆหามุมต่างๆ วนไปวนมา สนุกไปอีกแบบ เห็นอะไรในมุมมองใหม่ๆ

สักพักเราก็เดินกลับไปที่ ไนท์บาซ่าเมืองน่าน เพราะตรงนั้นมีอาหารแบบ street foods และมีที่นั่งเก๋ๆอยู่ มีดนตรีสด และดึกๆยังมีการแสดงเล็กๆน้อยๆ เราเลยนั่งทานอาหาร นั่งคุย นั่งอินกับบรรยากาศ รู้ตัวอีกทีก็ปาไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว

เรากลับมายังที่พักเคลียร์ตัวเอง เริ่มแพคของเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ ในเช้าวันพรุ่งนี้

ตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้สุดท้ายแล้วที่จะอยู่น่าน เราออกไปทานมื้อเช้าที่ทางที่พักเค้าเตรียมไว้ให้ มีสลัดผัก(บางชนิดพี่เจ้าของที่พักปลูกเอง) ไข่ดาว ขนมปัง ชากาแฟ และสิ่งที่ชอบมากๆคือ โยเกิร์ตแบบโฮมเมด มันดีมากทุกคน มีความหอมน้ำผึ้ง และท้อปปิ้งด้วยผลไม้สด จำได้ว่าเช้าวันนั้นคืออิ่มมากๆ ทานเสร็จก็ได้เวลาเดินทางกันต่อด้วยสายการบินเดิม แม้ใจจะยังไม่อยากกลับก็ตาม

น่าน เป็นอีกจังหวัดนึงที่ตอนนี้เป็น Top 3 ในใจป่านไปแล้ว อยากให้ทุกคนลองมาสัมผัสกับจังหวัดนี้จริงๆ เป็นอะไรที่ unseen มากๆ ประทับใจ รู้สึกไม่ผิดหวังเลยที่เลือกมาที่นี่ เป็นจังหวัดที่ที่ได้สัมผัสธรรมชาติจริงๆ ความเขียวของธรรมชาติ ส่วนตัวแล้ว ถ้ามีคนมาถามป่านว่า ไปไหนดี น่านก็คงจะเป็นอีก 1 คำตอบ ที่ป่านจะตอบกลับไป และคงจะเป็นอีกจังหวัดที่เมื่อมีโอกาส จะกลับมาซ้ำอีกแน่นอน

สรุปค่าใช้จ่าย

  • ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ 879 บาท
  • ค่าเช่ารถยนต์ 2400 บาท (หาร2 ตกคนละ 1200 บาท)
  • ค่าน้ำมันรถ 1000 บาท (หาร 2 ตกคนละ 500 บาท)
  • ค่าที่พัก อุ่นไอมาง 1100 บาท (อาหาร 2 มื้อ)
  • เต้นท์ 650 บาท (อาหารเช้า 1 มื้อ)(หาร 2 ตกคนละ 325 บาท)
  • โฮมสเตย์ น่านเอฟเวอร์กรีน คันทรีฟาร์ม 700 บาท (อาหารเช้า 1 มื้อ) (หาร 2 ตกคนละ 350 บาท)
  • ค่าอาหาร 600 บาท (เฉลี่ยวันละ 200 บาท)

รวม 4954 บาท ต่อคน

รายละเอียดที่พัก+รถเช่า


อ่านต่อได้ที่นี่...

DAY 1 กรุงเทพฯ - บ่อเกลือ https://th.readme.me/p/29060

DAY 2 บ่อเกลือ - หมู่บ้านมณีพฤกษ์ https://th.readme.me/p/29073

DAY 3 หมู่บ้านมณีพฤกษ์ - ปัว https://th.readme.me/p/29076

ความคิดเห็น