안녕하세요~ อันนยองฮาเซโย .. ขอเปิดการทักทายเป็นภาษาเกาหลี เพราะ บันทึกการเดินทางนี้เราจะพาทุกคนไปเที่ยวเกาหลีกันจ้า แต่ก่อนจะไป เรามีคำถาม .. เคยคิดอยากไปเที่ยวคนเดียวบ้างไหม ? เบื่อไหมกับการที่ต้องรอคนอื่นหรืออยากไปในที่ๆเราอยากไปได้อย่างอิสระไม่ต้องรอถามใคร ทำอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ .. เราคือหนึ่งในนั้นที่อยากลองเที่ยวคนเดียวดูบ้าง .. จึงเป็นเหตุผลที่บันทึกการเดินทางนี้จะพาทุกๆคนไปเที่ยวเกาหลีกับคอนเซป ‘ผู้หญิงคนเดียว ลุยเดี่ยว เที่ยวเกาหลี’
ทริปนี้ เราเลือกไปที่กรุงโซล (Seoul) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเกาหลีใต้ (South Korea) ที่มีความหลากหลายของวัฒนธรรม เทคโนโลยี ประเพณี รวมถึงธรรมชาติที่สวยงาม ที่ผสมผสานอยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ให้เราแวะเวียนไปชม ตามที่เห็นจากซี่รี่ย์ดังๆอยู่หลายเรื่อง รวมถึง แหล่งช้อปปิ้งเอาใจขาช้อปแบบเรา บอกได้คำเดียว จบ ครบ ในแหล่งเดียว
NOTE !!
* เราจองโปรแกรมทัวร์ 4 วัน 3 คืน มาในราคา 11,111 บาทกับบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง เพราะ เป็นการเดินทางไปต่างประเทศคนเดียวครั้งแรก เลยคิดว่า ไปเปิดโลกทรรศ์กับทัวร์จะง่ายและสะดวกสบายในเรื่องของการเดินทางที่สุดค่ะ
** บันทึกการเดินทางนี้เราตั้งใจทำเพื่ออยาก support เพื่อนๆที่มีแพลนหรืออยากไปเกาหลีจริงๆ ถึงเราจะไปกับบริษัททัวร์แต่บันทึกนี้คน Backpack ไปด้วยตัวเองก็สามารถมีข้อมูลไป support การเดินทางของตัวเองได้ ขอให้ลองเปิดใจอ่านดูหน่อยนะคะ (สนับสนุนให้คนไทยอ่านหนังสือเกิน 2 บรรทัด)
Place to Visit :
- Anyang Art Park (안양예술공원)
- Soyanggang Sky Walk (소양강 스카이워크)
- เกาะนามิ (남이섬 종합휴양지)
- ป้อมปราการฮวาซอง (수원 화성)
- สวนสนุก Everland (에버랜드)
- N Seoul Tower (엔 서울타워)
- พระราชวังคยองบกกุง (경복궁)
- ย่านเมียงดง (명동)
- ย่านฮงแด (홍대)
Day 1
การเตรียมตัวและการเดินทาง
ผู้หญิงที่เริ่มต้นออกเดินทางคนเดียวในปัจจุบันเริ่มมีมากขึ้น แต่หลายคนยังติดกับคำว่า ‘กลัว’ กลัวเหงา กลัวหลง กลัวนั่นกลัวนี่เต็มไปหมดก็เลยไม่ได้ออกเดินทางคนเดียวสักที สิ่งสำคัญในการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทาง นั่นคือ ‘การหาข้อมูล’
1. วีซ่า : ผู้ถือหนังสือเดินทางไทยไม่ต้องขอวีซ่า โดยสามารถพำนักอยู่ที่ประเทศเกาหลีได้ 90 วัน
2. เวลา : เร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง
3. สกุลเงิน : สกุลเงินของประเทศเกาหลี คือ วอน (won,₩) วิธีคำนวนเงินวอนอย่างง่ายๆ คือ นำเงินวอนคูณด้วยเรทอัตราแลกเปลี่ยนได้เลย เช่น 1,000 วอน เป็นเงินไทยประมาณ 1,000 X 0.026 = 26 บาท (เรทอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 19/11/19 เท่ากับ 0.0258)
4. กระแสไฟฟ้า : ประเทศเกาหลีใช้กระแสไฟฟ้าแรงดัน 220V เหมือนประเทศไทย ปลั๊กจะเป็นแบบกลม 2 หรือ 3 ขา ควรมีปลั๊กหรือ Adapter ติดตัวไปด้วย โรงแรมส่วนใหญ่จะมีให้เช่าอยู่นะคะ ประมาณ 1,000 ₩
5. สภาพภูมิอากาศ : ประเทศเกาหลีมี 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค - พ.ค.) อุณหภูมิเฉลี่ย 14 องศา , ฤดูร้อน (มิ.ย. - ส.ค.) อุณหภูมิเฉลี่ย 27 องศา , ฤดูใบไม้ร่วง (ก.ย.- พ.ย.) อุณหภูมิเฉลี่ย 14 องศา , ฤดูหนาว (ธ.ค. - ก.พ.) อุณหภูมิเฉลี่ย 7 องศา
6. ภาษา : ภาษาที่ใช้เป็นภาษาเกาหลี ภาษาอังกฤษใช้ได้ตามสถานที่ท่องเที่ยว
7. ซิมการ์ด : sim2fly ของ Ais ซื้อครั้งแรก 399 บาท ได้ 4 GB นาน 8 วัน
8. Travel Card : เราเลือกใช้ของ Planet SCB เราสามารถใช้บัตรนี้รูดกับทุกสกุลเงินทั่วโลกโดยไม่ชาร์จ 2.5% และสามารถแลกเงินได้ง่ายผ่านแอปของ SCB ตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทางระหว่างสนามบินนานาชาติอินชอน - กรุงโซล
สามารถซื้อตั๋วตรงหน้าทางเข้าหมายเลข 4,9 ภายในอาคารผู้โดยสารที่ 1 ชั้น 1 และหน้าประตูหมายเลข 4,6,7,8,11,13 ภายนอก , ป้ายรถเมล์ 9C / Terminal รถเมล์ชั้นใต้ดินชั้น 1 ศูนย์การขนส่ง อาคารผู้โดยสารที่ 2 ส่วนจุดขึ้นรถจะอยู่ที่ ป้ายรถเมล์ ชั้น 1 ทางเข้าอาคารผู้โดยสารที่ 1 3B~6B , 10A~13A , ใต้ดินชั้น 1 ทางเข้าผู้โดยสารที่ 2
บัตร T-money
บัตรเดบิตที่สามารถใช้ได้ทั้งรถบัสสนามบิน รถบัสกรุงโซล รถไฟฟ้าใต้ดิน รถแท็กซี่ รวมถึงร้านสะดวกซื้อ โทรศัพท์สาธารณะ ตู้รับฝากสัมภาระ ฯลฯ เวลาขึ้นรถบัส อย่าลืมแตะบัตรตอนลงรถด้วยจึงจะได้รับส่วนลด สามารถหาซื้อได้ตามสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงโซลและร้านสะดวกซื้อที่มีเครื่องหมาย T-money ค่าบัตร 2,500 ₩ เติมเงินได้ตั้งแต่ 1,000 ₩ ขึ้นไป หากมีเงินเหลืออยู่ในบัตรสามารถทำเรื่องขอคืนได้ โดยสามารถติดต่อที่ ร้านสะดวกซื้อ GS25 ได้ไม่เกิน 20,000 ₩ ร้านสะดวกซื้ออื่นๆ ได้ไม่เกิน 30,000 ₩ และเคาน์เตอร์บริการ TMC ได้ไม่เกิน 50,000 ₩
บัตร MPASS
บัตรโดยสารแบบเหมาจ่ายสำหรับชาวต่างชาติ สามารถใช้ขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงโซลและปริมณฑล และรถบัสในกรุงโซลได้ ซึ่งสามารโดยสารได้มากสุด 20 ครั้งต่อวัน บัตรนี้มี Funtion ของบัตร T-money อยู่ด้วย จึงสามารถเติมเงินและนำไปใช้แบบบัตร T-money ได้เช่นกัน สามารถหาซื้อได้ที่สนามบินนานาชาติอินชอน ประตู 5 และ 10 ในพื้นที่ผู้โดยสารขาเข้า ราคาแตกกต่างกันตามจำนวนวัน ตั๋วสำหรับ 1 วัน 15,000 ₩ ตั๋วสำหรับ 2 วัน 23,000 ₩ ตั๋วสำหรับ 3 วัน 30,500 ₩ ตั๋วสำหรับ 5 วัน 47,500 ₩ ตั๋วสำหรับ 10 วัน 64,500 ₩ มีค่ามัดจำบัตร 5,000 ₩ เมื่อคืนบัตรจะได้รับค่ามัดจำคืน 4,500 ₩
บริการรับฝากสัมภาระสำหรับนักท่องเที่ยว
- สามารถใช้บริการที่เก็บสัมภาระภายในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญได้ ค่าบริการ ขนาดเล็ก 2,000 ₩ , ขนาดกลาง 3,000 ₩ , ขนาดใหญ่ 4,000 ₩ (4 ชั่วโมง)
- สารมารถใช้บริการในศูนย์ให้บริการข้อมูลท่องเที่ยวมยองดง ค่าบริการ ขนาดเล็ก 1,000 ₩ ขนาดใหญ่ 2,000 ₩ (12 ชั่วโมง)
ณ สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
19.30 น. เป็นเวลาที่บริษัททัวร์นัดมาเจอที่อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ประตู 6 เคาน์เตอร์ M เพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่องของเอกสารต่างๆ และเชคอินที่เคาน์เตอร์ก่อนปล่อยตามอัธยาศัยและมาเจอกันที่ Gate อีกที ตอนเวลา Boading
ทริปนี้ เราใช้บริการของสายการบินอีสตาร์เจ็ท เที่ยวบิน ZE512 เครื่องออกเวลา 23.05 น. ตามเวลาในประเทศไทย ใช้เวลาบินประมาณ 5.30 น. - 6.00 น. ก็มาถึงจุดหมายปลายทางที่สนามบินนานาชาติอินชอน ประเทศเกาหลีใต้
Day 2
20 พฤศจิกายน 2562
ณ สนามบินนานาชาติอินชอน
06.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น (เวลาท้องถิ่นเร็วกว่าไทย 2 ชั่วโมง) เราก็ได้เหยียบพื้นแผ่นดินเกาหลีเป็นที่เรียบร้อยแล้วค่ะ เราเตรียมตัวมาหนาวเต็มที่ อุณหภูมิแรกที่เจอ -3 เบาๆ
มาถึงจุดตรวจคนเข้าเมืองของเกาหลี เค้าว่าโหดนักโหดหนา ได้มาลองของสักที เชื่อไหมว่า ไม่เคยตื่นเต้นกับการผ่าน ตม. ที่ไหนเท่ากับที่นี้เลย .. ก่อนมาเราทำการบ้านพอสมควรเกี่ยวกับการเตรียมตัวผ่าน ตม. เกาหลี เตรียมเอกสารรับรองการทำงานมาเผื่อไว้ด้วย .. ขออนุญาติเล่าประสบการณ์การผ่าน ตม. เกาหลีของเรานะ ก่อนอื่นบอกก่อนเลย Passport เราไม่ขาว เรายังเจอคำถามรั่วๆไป 4 คำถาม
ตม. : มาเกาหลีกี่วันคะ ?
เรา. : 4 วันค่ะ
ตม. : ไปที่ไหนบ้าง ?
เรา. : เมียงดง ฮงแด อันยางพาร์ค นามิ (ตอบตามที่นึกได้)
ตม. : มาคนเดียวหรอ ?
เรา : เดินทางมาคนเดียวค่ะแต่จองมากับทัวร์
ตม. : กลุ่มนี้ทัวร์ของคุณหรอ คนไหนหัวหน้าทัวร์
เรา : (ชี้ไปที่หัวหน้าทัวร์เลยค่ะ)
สุดท้ายเค้าก็ปล่อยผ่านแต่โดยดี คือ อยากจะบอกว่า ตม.จะเข้มงวดกับคนที่มาคนเดียวกับหน้า Passport ขาวนะเท่าที่เห็น ถ้าเราพอสื่อสารได้ ไม่ตอบตะกุกตะกักหรือทำตัวมีพิรุท รับรองผ่าน!! สรุปเอกสารที่เตรียมมาไม่ได้ใช้เลยค่ะ เป็นประสบการณ์ที่ดี ผ่าน ตม.เกาหลีไม่ยากอย่างที่คิด เรามาเที่ยวจริงๆอย่าได้ไปกลัว .. ตม.เกาหลีไม่มีการปั้มบนเล่ม passport แล้วนะ เขาจะให้เป็นกระดาษแผ่นเล็กๆมาแทน หลังจากผ่าน ตม. มาเรียบร้อยแล้ว เราต้องขึ้นรถไฟมาอีกอาคารเพื่อมารับกระเป๋าเดินทางและล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนชุด แต่งหน้า เตรียมพร้อมในการเที่ยวเกาหลี
สถานที่แรกที่ไป ก็คือ Anyang Art Park (안양예술공원) ซึ่งอยู่ห่างจากโซลประมาณ 40 นาที เป็นสวนศิลปะในหุบเขา มีจุดถ่ายภาพที่แต่ละจุดมีลักษณะโดดเด่นเฉพาะตัวทั้งหมด 25 จุด
รถของเรามาจอดส่งด้านในสุดของสวน ซึ่งเป็นจุดไฮไลต์กับผลงานที่มีชื่อว่า Linear Building Up In The Trees เป็นอุโมงค์ทางเดินทอดยาว ที่มีโครงหลังคาหุ้มด้วยแผ่นคล้ายๆ PVC สีฟ้า ปลายทางของอุโมงค์จะเจอกับลานกิจกรรม ดูไกลๆเป็นเหมือนกับเกลียวคลื่น ..
นอกจากนั้น เดินย้อนกลับขึ้นมาเรื่อยๆก็จะเจอกับผลงานชิ้นเอกอื่นๆอีกมากมาย เช่น Dimensional Mirror Labyrinth เขาวงกตที่ทำจากแผ่นอลูมิเนียมเงา , Anyang Crate House-Dedicated to the Lost (Pagoda) งานชิ้นนี้สร้างจากลังส่งเบียร์หลากสีของเยอรมันที่นำมาวางซ้อนกัน , Re. Vol. Ver ผลงานชิ้นนี้ตั้งอยู่ในจุดที่เคยเป็นที่ตั้งกองทัพญี่ปุ่น เมื่อครั้งเข้ามายึดครองประเทศเกาหลีใต้ และยังเป็นที่ตั้งของกองทัพของสหรัฐหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 , Paper Snake ได้รับแรงบันดาลใจจากการพับ origami , Anyang Peak Observatory ทางเดินวนขึ้นไปจนถึงยอดสูงสุดจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหอชมวิว เป็นต้น .. แต่เรามีเวลาไม่พอที่จะชมศิลปะอื่นๆ จึงเก็บได้แค่จุดไฮไลต์เท่านั้น
ค่าเข้าชม : ฟรี
การเดินทาง : ขึ้น Seoul Subway มาลงสถานี Gwanak (P146) ทางออก 2 แล้วต่อรถบัส สาย 51, 5624, 5625, 5626, 5530 หรือ 5713 จากนั้น เดินอีกประมาณ 5 นาที หรือจะเรียกรถแท็กซี่ ราคาไม่เกิน 4,000 ₩
เสร็จจากที่แรกเรานั่งรถต่อไปยัง Soyanggang Sky Walk (소양강 스카이워크) สะพานกระจกใสที่ยาวที่สุดในเกาหลี สะพานแห่งนี้ก่อสร้างเสร็จ ปี 2016 ตั้งอยู่เหนือทะเลสาบเอียมโฮ (Uiamho Lake)
เวลาเดินบนสะพานกระจกเราต้องสวมถุงผ้าหุ้มรองเท้าไว้เพื่อไม่ให้พื้นกระจกเป็นรอยขีดข่วน
ตรงปลายสุดทางเดินจะเจออนุสาวรีย์ปลาซูการี (Mandarin fish) เป็นปลาที่มีชื่อเสียงในเมืองนี้ค่ะ
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 2,000 ₩ วัยรุ่น 1,500 ₩ เด็ก 1,000 ₩ หากเข้าชมเป็นหมู่คณะ 20 คนขึ้นไป ผู้ใหญ่ 1,600 ₩ วัยรุ่น 1,200 ₩ เด็ก 800 ₩ สำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปและผู้พิการ เข้าชมฟรี
การเดินทาง : นั่งรถไฟใต้ดินสาย Gyeongchun ลงสถานี Chuncheon ทางออก 1 แล้วข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้ามเพื่อต่อรถบัส สาย 11 ลงป้าย Soyanggang Maid แล้วเดินต่อประมาณ 200 เมตร
สำหรับอาหารมื้อแรกที่ประเทศเกาหลี เราได้ไปทานเมนูไก่บาร์บีคิวผัดซอสเกาหลี หรือที่เรียกว่า Dakkalbi อาหารเลื่องชื่อที่นำไก่บาบีคิว มันหวาน กะหล่ำปลี ต้นกระเทียม ซอส และข้าว มาผัดคลุกเคล้ารวมกันในกระทะแบนๆสีดำ ทานคู่กับเครื่องเคียงต่างๆและผักกาดเกาหลี
จากนั้น เราก็ไปยังท่าเรือเฟอร์รี่เพื่อเดินทางสู่เกาะนามิ (남이섬 종합휴양지) .. การข้ามฟากไปยังเกาะนามิ มี 2 วิธีด้วยกัน คือ
เรือข้ามฟาก มีให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 7.30 น. – 21.45 น.ออกเดินทางทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 – 7 นาที ค่าบัตรเข้าชมเกาะรวมค่าเรือข้ามฟากไป-กลับ ประมาณ 8,000 ₩
โหนสลิง สำหรับผู้ที่ชอบความตื่นเต้นและไม่กลัวความสูง ต้องไปขึ้นสลิงที่ตึก Zip Wire สำหรับวิธีนี้ จะมีค่าบริการโหนสลิงขาไปกับค่าเรือเฟอร์รี่ขากลับ เมื่อรวมกับค่าเข้าชมเกาะนามิแล้วเป็นเงินทั้งหมด 38,000 ₩ กิจกรรมโหนสลิงนี้เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 9.00 – 18.00 น
เกาะนามิ เป็นเกาะขนาดเล็ก ตั้งอยู่กลางทะเลสาปชองเพียง (Cheongpyeong Lake) ในเขตเมือง Chuncheon จังหวัด Gangwon-do อยู่ห่างจากกรุงโซลไปทางทิศตะวันออกประมาณ 63 กิโลเมตร เกาะแห่งนี้ได้รับความนิยมมากจากกระแสความโด่งดังของซี่รีย์เกาหลีเรื่อง “เพลงรักในสายลมหนาว” (Winter Sonata) ที่ใช้เกาะแห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำฉากสำคัญๆต่างๆ และมีชื่อเสียงในด้านทัศนียภาพทางธรรมชาติที่สวยงาม จนกระทั่งในปี 2010 เกาะนามิได้รับเลือกเป็น UNICEF Child Friendly Park ซึ่งเป็นสถานที่แรกของเกาหลีใต้ที่ได้รับเลือก และยังเป็น 1 ใน 14 แห่งของโลกอีกด้วย
เกาะนามิ เป็นเกาะที่เที่ยวได้ทุกฤดู แต่ในช่วงที่เราไปเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงถือเป็นช่วง High Season ของที่นี่ เป็นช่วงที่เกาะนามิสวยที่สุด เพราะ เป็นช่วงของใบไม้เปลี่ยนสี
สัญลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์นึงของเกาะนามิ ที่ใครๆที่มาเที่ยวที่นี่ต้องมาแช๊ะภาพด้วย นั่นคือ รูปปั้นโลหะขนาดเท่าตัวจริงของเบยองจุน (Bae Yong Joon) และแชงจีอู (Choi Ji Woo) คู่พระ-นางจากซี่รี่ย์เพลงรักในสายลมหนาว
การเดินทาง :
1. รถบัสให้บริการประจำเส้นทาง (Nami Island Shuttle Bus) มีให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยว ดังนี้
- จากสถานี Insa-dong รถออกเวลา 09.30 น.
- จากสถานี Namdaemun รถออกเวลา 09.30 น.
- จากสถานี Myeong-dong รถออกเวลา 09.45 น.
ค่าโดยสารแบบไป-กลับสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่ราคา 15,000 ₩ เด็ก 13,000 ₩ ส่วนตั๋วเที่ยวเดียวสำหรับผู้ใหญ่จะอยู่ที่ราคา 7,500 ₩ เด็ก 6,500 ₩
2. รถโดยสารประจำทาง จาก Dong Seoul Bus Terminal มาลงที่ Gapyeong Bus Terminal ใช้เวลาราว ๆ 1 ชั่วโมง 20 นาที ค่าโดยสาร 6,400 ₩
3. การเดินทางด้วยรถไฟแบบธรรมดา สาย Gyeongchun สาย 7 สีเขียว ไปลงที่สถานี Gapyeong ค่าโดยสารประมาณ 2,250 ₩ ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่ 1 ชั่วโมงครึ่ง - 2 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับว่าเริ่มต้นที่สถานีไหน
4. เดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูง ITX เป็นรถไฟสายพิเศษ จะเร็วและใหม่กว่ารถไฟธรรมดา แต่ก็ราคาแพกว่าด้วยเช่นกัน โดยมีสถานีต้นทางในโซลอยู่ 2 สถานี ดังนี้
- สถานี Cheongnyangni สาย 1 สีน้ำเงิน เป็นสถานีที่คนนิยมมาขึ้นกันมากที่สุดเพราะเป็นทางไปเกาะนามิและอยู่ไม่ไกลกับแหล่งท่องเที่ยวหลักๆของเมืองโซล จากสถานี Cheongnyangni ไปลงที่สถานี Gapyeong ใช้เวลาแค่ 40 นาที ราคา 4,000 ₩ (ถ้าเป็นรถไฟธรรมดา 66 นาที ราคา 2,300 ₩)
- สถานี Yongsan สาย 1 สีน้ำเงิน เป็นอีกสถานีที่สามารถนั่ง ITX ได้เช่นกัน นั่งไปลงที่สถานี Gapyeong ใช้เวลา 55 นาที ราคา 4,800 ₩ (ถ้าเป็นรถไฟธรรมดา 86 นาที ราคา 2,400 ₩
มื้อค่ำของเราเป็นสุกี้สไตล์เกาหลี ประกอบด้วย หมูสไลด์ เห็ดและผักสดนานาชนิด เสิร์ฟพร้อมน้ำซุปร้อนๆ อากาศหนาวๆกับซุปอุ่นๆ เป็นอะไรที่ลงตัวมากก
ที่พักคืนแรกของเรา คือ JM Hotel เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว ตั้งอยู่ที่เมือง Suwon ในช่วงฤดูหนาว โรงแรมจะเปิดฮีทเตอร์แทนการเปิดแอร์ หากต้องการอากาศเย็น สามารถเปิดหน้าต่างรับลมได้ .. หากใครต้องการเช่า Adaptor สามารถเช่าได้ที่ Reception อันละ 1,000 ₩
หลังจากที่เข้าที่พักเรียบร้อยก็จะเป็นช่วงฟรีสไตล์ของเรา เราจึงออกมาเดินเล่นแถวๆโรงแรม ในย่านนี้ค่อนข้างครึกครื้นเลยค่ะ มีทั้ง Bar, ร้านอาหาร, ร้านสะดวกซื้อทั้ง 7-11, GS25, Cu เยอะแยะเต็มไปหมด
กิจกรรมแรกที่เรามาพบโดยบังเอิญ คือ การคีบตุ๊กตา ขอเล่นสักหน่อยอยู่ไทยเล่นไม่เคยจะได้ ลงทุนไป 5000 ₩ ได้ Moshimoro มา 1 ตัว ^^
และมาจบที่ร้านอาหารที่มีตู้ปลาตั้งหน้าร้าน โดยเมนูที่เลือกก็คือ ซันนักจี (산낙지) หรือเจ้าปลาหมึกดิ้นๆ ที่ต้องกินตอบดิบๆ จำได้ว่าครั้งแรกที่เห็น คือ ในภาพยนตร์เรื่องกวนมึนโฮ และตั้งใจไว้เลยว่าถ้ามาเกาหลีจะมาลองกินให้ได้เลย
คำเตือน : ซันนักจี เป็นเมนูที่อันตราย ห้ามกลืนจนกว่าจะเคี้ยวให้ละเอียด มิฉะนั้น ปุ่มตรงหนวดหมึกจะดูดติดปากหรือคอทำให้ไอหรือสำลักได้จนถึงแก่ชีวิตได้
Day 3
21 พฤศจิกายน 2562
ในวันนี้พี่ไกด์นัดเราแบบ 6-7-8 นั่นคือ 6 โมงตื่น 7 โมงกินข้าว 8 โมงคือออกเดินทาง .. มีบริการ Morning Call โทรปลุกด้วยจ้า เอ้า! ลุก ลุยกันต่อวันที่ 3 กับอุณหภูมิเช้านี้อยู่ที่ -3 องศาเซลเซียส
โดยที่แรกของวันนี้ คือ ป้อมปราการฮวาซอง (수원 화성) เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ตั้งแต่สมัยยุคโซซอน กำแพงของป้อมปราการมีความยาวถึง 5.5 กิโลเมตร มีประตู 4 ประตูในแต่ละทิศ มีเชิงเทินอยุ่ 48 หลัง ด้านในมีศาลา ชื่อว่า Hwahongmun ที่รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่และงดงามมาก
ป้อมบนกำแพงเมือง เป็นพื้นที่สำหรับทหารรักษาการณ์ เฝ้าระวัง สังเกตการณ์ และที่ใช้ในการหย่อนหิน โยนลูกไฟ เทน้ำมันร้อน หรือยิงธนูใส่ศัตรูที่อยู่ด้านล่าง และที่นี่ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรมโดยองค์กรยูเนสโก ในปี ค.ศ. 1997 อีกด้วย
ตรงประตูเมืองทางทิศตะวันออก Changnyongmun Gate (창룡문) จุดนี้จะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและกิจกรรมยิงธนูให้นักท่องเที่ยวได้ฝึกความแม่นยำ ในราคา 2,000 ₩ ยิงได้ 10 ดอกด้วยค่ะ
ถ้าหากใครมีเวลาและไม่อยากเดินสามารถมาซื้อตั๋วรถรางชมเมือง (Hwaseong Royal Car) ได้ จุดขายบัตรมีเพียง 2 แห่ง คือ Yeonmudae Post และ Paldalsan Mountain สามารถขอแผนที่ได้ตรงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 1,000 ₩ , วัยรุ่น 700 ₩ , เด็ก 500 ₩
การเดินทาง : จากสถานีรถไฟใต้ดิน Suwon Station สาย Seoul Subway 1 ให้ต่อรถบัสสาย 2, 7, 7-2, 8, หรือ 13 แล้วลงที่ป้าย Jongno 4-geori (intersection)
🎶 .. ขอพื้นที่เล็กๆให้ยังเป็นเด็กอยู่ได้ไหม .. 🎶 เพลงนี้มาเพื่อให้เข้าบรรยากาศที่เราจะพาไปสวนสนุก Everland (에버랜드) กันต่อเลยน้า .. ถึงเกาหลีจะไม่มี Disneyland แต่สวนสนุก Everland ก็ไม่น้อยหน้านะ เป็นสวนสนุกระดับแถวหน้าของเกาหลีที่เต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน มีการจัดเทศกาลหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาลตลอดทั้งปี .. ทัวร์ปล่อยให้เราฟรีสไตล์อยู่ที่นี่ประมาณ 3 ชั่วโมง คนต้องรีบทำเวลากันหน่อย
ไกด์พาเรานั่งเคเบิ้ลคาร์ หรือ Sky Cruise ลงมายังสวนสนุก ช่วยเปิดโอกาสให้เราได้ชื่นชมทิวทัศน์อันสวยงามของทั้งสวนสนุกจากมุมสูงโดยไม่ต้องเดินให้เมื่อย!
ภายในสวนสนุก Everland ประกอบไปด้วยโซนต่าง ๆ 5 โซน คือ American Adventure, Zoo Topia, Global Fair, Magic Land และ European Adventure อย่าลืมตรวจสอบตารางเวลาเปิดทำการของแต่ละเครื่องเล่นด้วยนะ
ม๊ะ! มาเริ่มกันที่โซนแรก หลังจากผ่านประตูมา คุณจะได้พบกับโซน Global Fair เป็นด่านแรก โซนนี้จะมี Magic Tree ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนจุดแลนด์มาร์คสำหรับนักท่องเที่ยว และสถาปัตยกรรมต่างๆของบริเวณโดยรอบเป็นแบบวิกตอเรีย, ตะวันออก และอินเดียผสมผสานกัน
ต่อมา โซนที่สองเป็นโซนที่มีชื่อว่า American Adventure เป็นโซนที่เราชอบมากๆ เพราะ เป็นโซนที่ทำให้หัวใจเรามีเลือดสูบฉีดไปทั่วร่างกาย เพราะ ที่นี่รวบรวมเครื่องเล่นต่าง ๆ เอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรือไวกิ้ง, Herricane, Double Rock Spin และที่ขาดไม่ได้เลยคือ T-Express รถไฟเหาะสุดระทึกบนรางไม้ที่เร็วที่สุดและมีระยะเวลาในการวิ่งนานที่สุดในเอเชีย ที่จะทำให้คุณต้องหวาดเสียวสุดๆ รางมีความชันถึง 77 องศา ด้วยความเร็ว 104 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โซนที่สาม Magic Land เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเป็นครอบครัว หรือมีเด็ก ๆ เดินทางมาด้วย
โซนที่สี่ European Adventure หากใครอยากถ่ายรูปกับสวนสวนๆกับสถาปัตยกรรมสไตล์ฝรั่งเศส เชิญทางนี้! และใครเป็นสายเจ้าหญิงอย่าลืมมาแวะโพสท่างามๆที่ม้าหมุนยักษ์ได้เลย .. แต่เสียดายเวลาที่เราไปยังไม่เปิดเลยได้แค่ยืนถ่ายหน้าม้าหมุนไปก่อน
และโซนสุดท้าย Zootopia เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบเล่นเครื่องเล่น ที่โซนนี้จะเนรมิตสวนสนุกให้กลายเป็นสวนสัตว์ ที่จะทำให้เราได้ใกล้ชิดกับเหล่าสัตว์ป่า, ชมการแสดงจากสัตว์ต่างๆ และนั่งรถซาฟารีชมรอบๆ และสิ่งที่เป็นไฮไลท์ของโซนนี้ ก็คือ เจ้าไลเกอร์ สัตว์พิเศษที่มีแค่ที่เอเวอร์แลนด์ ประเทศเกาหลีใต้ที่เดียวในโลกเท่านั้น เป็นสัตว์ลูกผสมระหว่างเสือกับสิงโต และยังมีโซนหมีแพนด้าอย่าง Panda World ได้ชมความน่ารักของเจ้าแพนด้าอีกด้วย
ขากลับกระเช้าเปิดพอดี เราเลยนั่งกระเช้าที่เชื่อมระหว่าง zootopia ขึ้นมายัง global fair เห็นห้อยขาแบบนี้ไม่ต้องกลัวมีเข็มขัดนิรภัยป้องกันเราตกอยู่ด้วยจ้า
ค่าเข้าชม : แบบ 1 วัน - ผู้ใหญ่ 52,000 ₩ , เด็ก 41,000 ₩
แบบช่วงกลางคืน (17:00 จนปิด) - ผู้ใหญ่ 43,000 ₩ , เด็ก 34,000 ₩
แบบ 2 วัน - ผู้ใหญ่ 81,000 ₩ , เด็ก 64,000 ₩
การเดินทาง :
- รถไฟฟ้าใต้ดิน เดินทางไปลงที่สถานี Jeondae Everland ของสาย Yongin Ever สายสีเขียวอ่อนทางออกที่ 3 และต่อ shuttle bus ไปยัง Everland
- Shuttle bus ขึ้นรถบัสหมายเลข 5002 ที่สถานี Gangnam Station Exit 10 หรือ รถบัสหมายเลข 5700 ที่สถานี Jimsil Station Exit 6
หลังออกจากสวนสนุกเพียงไม่นานเราก็มาถึงร้านอาหารกันแล้ว มื้อเที่ยงนี้เราทานเมนูหมูย่างเกาหลี โดยนำหมูส่วนที่ติดกับกระดูกไปน่างบนเตา เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงและซุปสาหร่าย
ไปกันต่อที่ศูนย์เครื่องสำอางค์ ที่นี่มีกฏเหล็ก คือ ห้ามถ่ายรูป เราเลยไม่มีรูปสถานที่นี้มาให้ดูนะคะ .. เราได้มารู้จักกับสินค้าแบรนด์ DEWINS เป็นเวชสำอางที่การันตีโดยบริษัทซัมซุง พี่ๆเค้าจะให้เราทดลองสินค้า ไม่ว่าจะเป็นครีมหอยทาก, ครีมน้ำแตก Aqua Intensive gel cream,Bubble O2 , Solf peeling ใครชอบตัวไหนสามารถช้อปกลับไปได้เลย
จากนั้นเราไปต่อกันที่ศูนย์สาหร่าย หนึ่งในของฝากที่มีชื่อเสียงของเกาหลี ซึ่งมีให้เลือกหลายรสชาติให้เราเลือกซื้อไปเป็นของฝากได้ แล้วเรายังได้เรียนรู้และได้ลองทำคิมบับหรือข้าวห่อสาหร่าย และกิจกรรมสุดท้ายของที่นี่เรายังได้ลองสวมชุดฮันบกซึ่งเป็นชุดประจำชาติเกาหลีถ่ายรูปเล่นอีกด้วย
สำหรับอาหารมื้อเย็นของเราเป็นไก่ตุ๋นโสม เป็นอาหารบำรุงสุขภาพยอดฮิตในวังหลวง ในตัวไก่จะมีข้าวเหนียว รากโสม พุทราแดง เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงที่เรียกว่า กักตุกี คือเส้นขนมจีน หากใครไม่ชอบซุปจืดๆ สามารถเพิ่มรสชาติได้โดยปรุงด้วยพริกไทยดำและเกลือตามชอบ
สถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายของเราในวันนี้ เราได้มาเดินย่อยอาหารกันที่ N Seoul Tower (엔 서울타워) หรือ Seoul Tower (서울타워) ตั้งอยู่บนยอดเขานัมซาน จึงทำให้เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Namsan Tower (남산타워) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ .. Seoul Tower ได้รับการปรับปรุงและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น N Seoul Tower ตัวอักษร N มีความหมายมาจากคำ 3 คำ คือ New (ใหม่), Natural (ธรรมชาติ) และ Namsan (นัมซาน)
เราจะสามารถชมวิวทิวทัศน์และทัศนียภาพรอบๆกรุงโซลได้ทั้งยามกลางวันและยามค่ำคืน ความสวยงามของวิวก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ฤดูกาลและช่วงเวลา
โดยจุดไฮไลต์ที่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว ก็คือ การคล้องกุญแจ เชื่อว่าคู่รักที่มาคล้องกุญแจที่จะมีความรักที่ยืนยาวไปตลอดกาล
ค่าเข้าชม : ค่าเข้าชั้นชมวิว ผู้ใหญ่ 9000 ₩ เด็ก 7000 ₩
ค่าเข้าชมพิพิธภัณท์ ผู้ใหญ่ 12000 ₩ เด็ก 6000 ₩
แพคเกจผู้ใหญ่ (N Seoul Tower + พิพิธภัณฑ์ ALIVE MUSEUM) 15,000 ₩
แพคเกจเด็ก (N Seoul Tower + พิพิธภัณฑ์ ALIVE MUSEUM) 11,000 ₩
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 10.00 น. - 23.00 น. ยกเว้นวันเสาร์ จะปิด 24.00 น.
การเดินทาง :
1. Namsan Sunhwan Shuttle Bus No. 02 เวลาทำการ 07:00 น. – 23:30 น. *รถออกวิ่งทุกๆ 15 นาที
- Chungmuro Station (Seoul Subway Line 3 หรือ Line 4) ทางออกที่ 2 จากนั้นขึ้นรถที่ป้ายจอดด้านหน้าโรงภาพยนตร์แดฮัน (Daehan Cinema)
- Dongguk University Station (Seoul Subway Line 3) ทางออกที่ 6
ค่าโดยสาร เงินสด 1,200 ₩ หรือบัตรโดยสารสาธารณะ 1,100 ₩
2. Namsan Sunhwan Shuttle Bus No. 03 เวลาทำการ 07:30 น. – 23:30 น. *รถออกวิ่งทุกๆ 20 นาที
- Hangangjin Station (Seoul Subway Line 6) ทางออกที่ 2
- Itaewon Station (Seoul Subway Line 6) ทางออกที่ 4
- Seoul Station, Seoul Square (Seoul Subway Line 1, 4) ทางออก 9
ค่าโดยสาร เงินสด 1,200 ₩ หรือบัตรโดยสารสาธารณะ 1,100 ₩
3. Namsan Sunhwan Shuttle Bus No. 05 เวลาทำการ 07:30 น. – 23:30 น. *รถออกวิ่งทุกๆ 15 นาที
- Chungmuro Station (Seoul Subway Line 3 หรือ Line 4) ทางออกที่ 2 จากนั้นขึ้นรถที่ป้ายจอดด้านหน้าโรงภาพยนตร์แดฮัน (Daehan Cinema)
- Myeong-dong Station (Seoul Subway Line 4) ทางออกที่ 3
ค่าโดยสาร เงินสด 1,200 ₩ หรือบัตรโดยสารสาธารณะ 1,100 ₩
4. เคเบิ้ลคาร์
- Myeong-dong Station (Seoul Subway Line 4) ทางออกที่ 3
จากนั้นเดินประมาณ 7-8 นาที โดยเดินไปตามถนนด้านขวาของโรงแรมแปซิฟิก (Pacific Hotel) จนถึงสถานีขึ้นรถกระเช้า (Cable Car Station) ซึ่งอยู่ที่ด้านบนของเนินเขาใกล้กับสถานกงสุลจีน
- Myeong-dong Station (Seoul Subway Line 4) ทางออกที่ 4
จากนั้นเดินมุ่งหน้าไปยังสี่แยก Hoehyeon (ทางไปยังห้างสรรพสินค้า Shinsegae) แล้วเลี้ยวซ้ายที่สี่แยก และเดินตรงไปประมาณ 5 นาที และขึ้นลิฟท์ Namsan Ohreumi/Incline Elevator เพื่อไปสถานีขึ้นรถกระเช้า (Cable Car Station) ซึ่งอยู่ที่ด้านบนของเนินเขาใกล้กับสถานกงสุลจีน
ถึงเวลาเข้าที่พักกันแล้ว เราจะพักอยู่ที่นี่ 2 คืนด้วยกัน โรงแรมที่เรานอนมีชื่อว่า Kyungnam Tourist Hotel เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว มีห้องพักทั้งหมด 103 ห้อง ห้องพักขนาดกว้างขวาง พักผ่อนสบายดี หน้าต่างเปิดโล่ง มองเห็นวิวภายนอกได้อย่างชัดเจน
ตามสเตปเดิมเมื่อเข้าถึงที่พักเรียบร้อย เราต้องออกมาเดินสำรวจบริเวณรอบๆโรงแรม ดึกๆแบบนี้จะทำอะไรได้นอกจากหาของกินยามค่ำคืน โดยร้านแรกที่รีวิวแนะนำมา คือ ร้านปูดอง เข้าไปแล้วแต่สู้ราคาไม่ไหวเพราะกินคนเดียว ขอถอยดีกว่า เดี๋ยวกลับมาทาน nice to meet you ที่ไทยก็ได้
สุดท้าย เราซื้อแบบ Take Away มากินบนห้องซะเลย หนึ่งในเมนูที่ชอบเห็นในซี่รี่ย์เกาหลีหลายๆเรื่องเลย คือ ไก่ทอดกับเบียร์ เลยได้ร้านแถวๆโรงแรมนั่นแหละ ราคา 9000 ₩ ส่วนเบียร์มาซื้อที่ร้านสะดวกซื้อ GS25 เอา และอีกอย่างที่ซื้อมาทาน คือ แกงส้มกิมจิ หรือเรียกว่า กิมจิชีเก, Kimchi-jjigae (김치찌게) คล้ายๆซุปกิมจินั่นแหละ เสริฟ์พร้อมข้าวร้อนๆ ในราคา 15,000 ₩ มื้อนี้กินในอิ่มแปล๋กันไปเลย แต่เราถูกใจแกงส้มกิมจิมาก อร่อยจนหยุดทานไม่ได้เลยจริงๆ
Day 4
22 พฤศจิกายน 2562
วันนี้ก็ตื่นเฉกเช่นเดียวเมื่อวาน แต่อุณหภูมิเช้านี้อุ่นขึ้นมาหน่อยอยู่ที่ 1 องศาเซลเซียส .. โดยโปรแกรมวันนี้ช่วงเช้าทั้งหมดจะเป็นร้านช้อปตามโปรแกรมทัวร์ ..
เริ่มต้นจากศูนย์โสมเกาหลี .. โสมเป็นสิ่งที่ขึ้นชื่อของเกาหลี โสมอายุ 6 ปี ถือว่าเป็นโสมที่มีคุณภาพดีที่สุด เพราะ มีสารจินเซงโนซาย 32 ชนิดซึ่งมากที่สุดในโลก ช่วยในการปรับสมดุลภายในร่างกายทั้งหมด สังเกตได้ว่าคนเกาหลีส่วนใหญ่ผิวค่อนข้างดี เพราะ เค้ารณรงค์ให้ประชาชนบริโภคโสมตั้งแต่อายุ 8 เดือนเป็นต้นไป .. เราสามารถซื้อโสมเป็นของฝากญาติผู้ใหญ่ที่นี่ได้ มีผลิตภัณฑ์โสมหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น โสมสกัด, โสมผง, โสมแคปซูล, โสมอบน้ำผึ้ง, โสมตากแห้ง ฯลฯ
ไปต่อกันกับสถานที่บังคับที่ที่สอง ศูนย์สมุนไพร ฮอกเกนามู เป็นสมุนไพรที่มีคุณภาพดีที่สุดในการบำรุงตับ เป็นสมุนไพรที่หายากในปัจจุบัน ช่วยขับสารพิษตกค้างต่างๆ ออกจากตับ ช่วยลดอาการเมาค้าง ต้านอนุมูลอิสระ และช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกมาเสมือนหนึ่งเป็นการทำดีท็อกซ์ของเสียออกจากร่างกาย
สถานที่ที่สาม ศูนย์น้ำมันสนเข็มแดง ผลิตจากใบสนเข็มแดงในประเทศเกาหลีซึ่งจะใช้ต้นสนเข็มแดงจากยอดเขามาผลิตโดยใช้เทคโนโลยีพร้อมกับการวิจัยออกมาเป็นน้ำมันสนเข็มแดง สามารถช่วยในการลดระดับไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี ที่นี่เค้าจะมีให้เราตรวจสุขภาพเส้นเลือดได้ด้วย ว่าเรามีความเสี่ยงอะไรบ้าง
และสถานที่บังคับที่สุดท้ายของวันนี้ คือ ศูนย์เจียระไนพลอยแอมมาทิส ชาวเกาหลีนิยมพลอยสีม่วง พลอยนี้สวมใสแล้วจะทำให้สุขภาพดีและมีโชคลาภ ที่นี่เป็นศูนย์เจียระไน เราสามารถเลือกซื้อเครื่องประดับที่ทำจากพลอยนี้ได้ราคาขึ้นอยู่กับพลอยและความยากง่ายของงานชิ้นนั้นๆ .. สำหรับคนงบน้อยอย่างเรา ของเลือกซื้อเป็นจี้ห้อยโทรศัพท์ (สามารถเปลี่ยนมาเป็นจี้ห้อยคอได้) ตกอันละ 300 บาท สามารถเลือกลายจี้ได้
มื้อเที่ยงของวันนี้เราทานเมนูปลาย่างเตาถ่าน ปลาเนื้อแน่นๆ ออกรสเค็มนิดๆ หอมถ่านที่ใช้ในการย่าง ทานกับข้าวร้อนๆพร้อมเครื่องเคียงที่หลากหลาย อร่อยเหาะไปเลยจ้า
ตามโปรแกรมทัวร์เราจะต้องไปย่านอีแด (이대) และ ewha womans university กันก่อน แต่เวลาวันนี้เหมือนจะไม่พอ เลยตัดโปรแกรมนี้ออกไปค่ะ แต่ไปเพิ่มเวลาที่เมียงดงแทน ..
เพราะฉะนั้น สถานที่ต่อไปเราไปสถานที่ทางประวัติศาสตร์จของประเทศเกาหลีกัน นั่นคือ พระราชวังคยองบกกุง (경복궁) เป็นวังหลวงที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในกรุงโซล สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าแทโจแห่งราชวงศ์โชซอน
เมื่อเดินผ่านประตูแรกเข้ามา ก็จะมาเจอกับท้องพระโรงที่กษัตริย์ใช้ออกว่าราชการ ที่เรียกว่า Geunjeongjeon และใช้สำหรับการรับรองทูตจากต่างประเทศ .. ด้านในห้องไม่สามารถเดินเข้าไปชมได้ แต่สามารถยืนถ่ายรูปตรงประตูได้
เดิมทีนั้นภายในพระราชวังมีอาคารและตำหนักต่างๆมากมาย แต่เมื่อมีการรุกรานของญี่ปุ่น พระตำหนักส่วนใหญ่ก็ได้ถูกทำลายลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่หลัง
เราเดินต่อเข้ามาด้านในจะเป็นส่วนพระตำหนักต่างๆ เดินชมแล้วเหมือนได้ย้อนยุคกลับไปในสมัยก่อนเลยค่ะ
ตรงนี้เป็นจุดไฮไลต์อีกแห่งหนึ่ง คือ ศาลากลางน้ำ หรือ Gyeonghoeru เป็นห้องโถงที่ใช้จัดงานเลี้ยง หรืองานพระราชพิธีต่างๆ
เราโชคดีที่มาทันในช่วงพิธีเปลี่ยนเวรยามรักษาการณ์ของทหารประจำพระราชวังพอดี จะใช้เวลาประมาณ 20 นาที มี 2 รอบ คือ 10.00 น. และ 14.00 น. และการเดินตรวจเวรยาม ก็มี 2 รอบเช่นกัน คือ 11.00 น. และ 13.00 น. บริเวณลานหน้าประตู Gwanghwamun (광화문) พระราชวังปิดวันอังคารและไม่มีการจัดกิจกรรม
ค่าเข้าชม :
- ผู้ใหญ่ (อายุ 19-64 ปี) : 3,000 ₩ / คณะ (มากกว่า 10 คน): 2,400 ₩
- เด็ก (อายุ 7-18 ปี): 1,500 ₩ / คณะ (มากกว่า 10 คน): 1,200 ₩
- เด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบและผู้ใหญ่อายุมากกว่า 65 ปี เข้าชมฟรี
- หากสวมชุดฮันบก (ชุดประจำชาติ) สามารถเข้าชมพระราชวังได้ฟรี
- สามารถเข้าชมพระราชวังได้ฟรีใน “วันวัฒนธรรม (Culture day/ 문화가 있는 날)” ทุกวันพุธสุดท้ายของเดือน
วันและเวลาทำการ :
เวลาเปิดให้บริการเปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศในแต่ละเดือน ดังนี้
- มีนาคม - พฤษภาคม : 09.00 น. - 18.00 น.
- มิถุนายน - สิงหาคม : 09.00 น. - 18.00 น.
- กันยายน - ตุลาคม : 09.00 น. - 18.00 น.
- พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ : 09.00 น. - 17.00 น.
* เปิดให้เข้ารอบสุดท้าย 1 ชั่วโมงก่อนเวลาปิด
การเดินทาง :
รถไฟฟ้าใต้ดิน
- สถานี Gyeongbokgung Palace สาย 3 ทางออก 5 ออกมาจะเห็นพระราชวังทันที
- สถานี Gwanghwamun สาย 5 ทางออก 2 เดินตรงมาเรื่อยๆจะเห็นทางเข้าพระราชวัง หากลงที่สถานีนี้สามารถชมจตุรัสควังฮวามุนได้
ต่อไปเราจะได้ไปช้อปปิ้งกันที่ Shinsegae Duty Free เป็นห้างสรรพสินค้าใหญ่อยู่ไม่ไกลจากย่านเมียงดง จำหน่ายสินค้าแบรนด์ชั้นนำต่างๆ และสินค้าปลอดภาษี ในชั้นที่ 8 ถึงชั้นที่ 12 อีกด้วย ของที่นี่ราคาเป็นดอลล่านะคะ แต่เราจ่ายเงินวอนได้ค่ะ
การเข้าชม : เปิดทุกวัน
วันจันทร์-พฤหัสบดี 10:30 - 20:00
ศุกร์-อาทิตย์ และวันหยุดต่างๆ 10:30 - 20:30
ศูนย์อาหาร(Food Court) 11:00 - 21:30
การเดินทาง : จากสถานีรถไฟใต้ดิน Hoehyeon Station สาย Subway Line 4 ให้ออกที่ทางออก Exit 7 แล้วเดินต่ออีกประมาณ 100 เมตรก็ถึง
และที่ช้อปปิ้งที่สุดท้ายของวันนี้ เรามีเวลาอยู่ที่นี่ 4 ชั่วโมงเต็มๆ เรามาอยู่ที่ย่านเมียงดง (명동) เป็นแหล่งรวมแฟชั่นของวัยรุ่นเกาหลี ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้า และแบรนด์เครื่องอำอางค์อย่าง Etude, The Face Shop, Skin Food, The Saem, Nature Republic, Innisfree ราคาขายถูกกว่าในไทย แถมได้ของแถมต่างๆเยอะแยะเลย เพราะฉะนั้น ขนกลับสิค่ะ
แบรนด์ดังรองเท้าก็มีหลายยี่ห้อ ทั้ง Fila, Adidas, Nike, Vans, Converse ให้เลือก หรือจะเลือกซื้อจากร้านที่รวมหลายๆยี่ห้อ อย่าง ABC Mart, Folder, LesMore ก็จัดโปรโมชั่นแข่งกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สุดท้าย ก็เจ้าร้านนั้นออกร้านนี้เช็คราคากันไป ได้คู่ที่ถูกใจ ราคาที่รับได้ ก็เสียเวินกันไปค่ะ กับคำว่า ‘ซื้อที่นี่ถูกกว่าซื้อที่ไทย’ ฮ่าๆๆ
นอกจากนี้ ช่วงเย็นๆ จะมีของกิน Street Food ตลอดทุกซอกทุกซอยให้เราลองทาน ไม่ว่าจะเป็น Eomuk , Egg Bun, Bungeo-ppang, Tteok-bokki
มีอีกหนึ่งร้านที่อยากแนะนำเป็นไอศครีมกุหลาบจากร้าน ‘Milky Bee’ เราเลือก No.D เป็น Strawberry+Yogurt ลดราคาจาก 5,500 ₩ เหลือ 3,800 ₩ เท่านั้นเอง .. ที่อยากไปร้านนี้ไม่ใช่อะไร คือ อยากถ่ายรูปลง IG ล้วนๆเลยค่า
ชานมไข่มุกก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมไม่เว้นแม้แต่ประเทศเกาหลี เราก็เป็นหนึ่งในสาวกชานมไข่มุก เดินๆอยู่เราก็เจอเข้ากับร้าน 'Heuk Hwa Dang' เจ้าดังจากไต้หวันที่มาเปิดสาขาที่เมียงดง ไม่รอช้า ตรงดิ่งเจ้าไปสั่งเลยค่ะกำลังกระหายน้ำพอดี เราลองตัวออริจินัล Brown Sugar Bubble Tea ราคา 4,800 ₩
การเดินทาง :
รถไฟใต้ดิน
1.รถไฟใต้ดินสาย 2 สถานี Euljiro 1-ga Station ทางออก 5,6,7
2.รถไฟใต้ดินสาย 4 สถานี Myeongdong Station ทางออก 5,6,7,8
รถบัส
1.รถลีมูซีนบัสสนามบิน(Airport Limousine Bus)
- รถบัสหมายเลข 6001 และ 6015 (มุ่งหน้าไปสนามบินอินชอน-Incheon International Airport) จอดที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงแรมเซจอง(Sejong Hotel) ใกล้ทางออก 10 ของรถไฟใต้ดินสาย 4 สถานี Myeongdong Station
- รถบัส Kal Limousine Bus จอดหน้าโรงแรมลอตเต้(Lotte Hotel)
2. รถซิตี้ทัวร์บัส
- จอดป้ายด้านข้างโรงแรมพริ๊นซ์(Prince Hotel) ใกล้ ทางออก 2 รถไฟใต้ดินสาย 4 สถานี Myeongdong Station
สำหรับมื้อเย็นมื้อนี้ให้หาทานเองจากที่ปล่อยฟรีสไตล์ที่เมียงดง แต่เราเลือกที่จะมาหาทานแถวๆโรงแรม .. คืนนี้ เราเดินไกลออกมาอีกหน่อย ข้ามถนนไปร้านที่อยู่อีกมุมหนึ่งของหัวถนนไม่รู้ว่าร้านอะไร แต่เป็นร้านขายของราคาไม่แพงมาก คล้ายๆกับร้าน Daisa, Miniso เราเลยได้มาม่าเกาหลีมาทานที่โรงแรมเป็นเมนูมื้อเย็นของวันนี้ค่ะ (เริ่มจนจากการช้อปปิ้งวันนี้) .. คร่อก ~ z Z
Day 5
23 พฤศจิกายน 2562
ตื่นเช้ากันวันสุดท้ายสำหรับทริปเกาหลี เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิวันนี้จะเป็นวันที่อุ่นที่สุดในทริปตลอด 5 วัน 3 คืน เริ่มต้นอยู่ที่ 4 องศาเซลเซียส บ่ายๆก็จะอุ่นขึ้นมาตามลำดับ ..
สถานที่แรกที่เราจะไปในวันนี้ นั่นก็คือ ย่านฮงแด (홍대) หรือบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยฮงอิก (Hongik University) ที่นี่จะเริ่มเปิดสาย ๆ ตอนที่ไปประมาณ 10:30 น. ร้านค้าเพิ่งเริ่มทะยอยเปิด ถือเป็นแหล่งรวมวัยรุ่นเด็กแนวเกาหลี .. ใครรับหิ้วของแล้วยังไม่ครบสามารถมาเก็บตกที่นี่ได้นะคะ
เดินฝั่งนี้จนทั่วแล้วข้ามมาอีกฝั่งนึง ฝั่งนี้จะเน้นร้านอาหารซะส่วนใหญ่ แถมจะมีเด็กมาทำการแสดงเปิดหมวกให้ดูเป็นระยะๆ นับว่าเป็นถนนสายอาร์ตจริงๆ หลังจากเดินไปเดินมาขอแวะดื่มชานมไข่มุกร้าน Tiger Sugar ในราคา 4,900 ₩ สักหน่อยก่อนจะเดินกลับไปยังจุดนัดพบ (ขออภัยภาพโฟกัสผิดจุด แหะๆ)
การเดินทาง :
- รถไฟใต้ดินสาย 2 (สีเขียว) สถานี Hongik University Station ทางออก 8,9 และ
- รถไฟฟ้าใต้ดินสาย 6 (สีน้ำตาล) สถานี Sangsu ทางออกที่ 1,2
สำหรับมื้อสุดท้ายในประเทศเกาหลี เป็นเมนูที่ชื่อว่าไก่อบซีอิ๋ววุ้นเส้น หรือภาษาเกาหลีเรียกว่า จิมดัก (찜닭) เป็นเมนูอาหารเกาหลีพื้นเมืองดั้งเดิม เป็นที่นิยมในหมู่คนไทย โดยนำไก่มาผัดรวมกับวุ้นเส้น มันฝรั่ง แครอท พริก และซอสดำ รสชาติคล้ายๆไก่พะโล้สูตรเกาหลี ทานคู่กับข้าวและเครื่องเคียง
พออิ่มแล้ว ไม่ใกล้ไม่ไกลเดินถัดมาอีกหน่อยจะเป็นร้านซุปเปอร์มาเก๊ต หรือเรียกว่า ร้านละลายเงินวอน เป็นการช้อปเก็บตกก่อนกลับไทยด้วยค่ะ สินค้าที่น่าซื้อก็จะเป็นพวกมาม่าเกาหลี, นมกล้วย, Honey Butter Chip, Pepero เป็นต้น พยายามใช้เศษเหรียญให้เหลือน้อยที่สุดนะคะ เพราะ เราไม่สามารถนำมาแลกคืนเป็นเงินไทยได้ ..
หลังจากนั้น เราก็เดินทางสู่สนามบินนานาชาติอินชอน เช็คอินรับ boarding passและทำเรื่อง Tax Refund เราเดินทางกลับสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ด้วยสายการบินอีสตาร์เจ็ท เที่ยวบินที่ ZE511 เครื่องออกเวลา 17.05 น. ตามเวลาท้องถิ่นและถึงประเทศไทยเวลา 21.35 น. ตามเวลาในประเทศไทย
ทริปเกาหลีของเราตลอด 5 วัน 3 คืนก็สิ้นสุดลงแล้วค่ะ .. ‘ประเทศเกาหลี’ จากเดิมไม่มีแพลนเลยว่าอยากจะมา แต่ตอนนี้ความคิดเราเปลี่ยนไป เราชอบประเทศนี้และถ้ามีโอกาสจะกลับมาอีก ยังมีอีกหลายต่อหลายที่ที่เราอยากจะไป มาครั้งหน้าเราจะลอง Backpack มา เก็บตังค์ๆๆ สุดท้ายนี้ ขอกล่าวคำว่า 감사합니다 ~ คัมซาฮัมนีดา ที่อ่านมาจนจบนะค่าา
ขอบคุณ SONY A6500 + Lens 16-70mm F/4 และ Iphone 11
ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้
แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr
ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม
สามารถติดตามการเดินทางของเราได้อีกหนึ่งช่องทาง
PAGE : https://www.facebook.com/KeepGoingThailand
และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ
.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..
In My Eye
วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2563 เวลา 18.16 น.