“ไม่คิดว่าเขาช้างเผือกเดินง่ายขนาดนี้” ผมบอกรุ่นน้องคนหนึ่งระหว่างไต่ระดับขึ้นเขาช้างเผือก เส้นทางศึกษาธรรมชาติยอดฮิตของจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อช่วงปลายปี 61 ในวันที่สภาพอากาศขมุกขมัว ฟ้าครึ้มเพราะฝนพรำตลอดคืนวาน ก่อนได้รับคำตอบกลับมาว่า “ถือว่าเราโชคดีพี่ที่วันนี้อากาศไม่ดี ปกตินะโดนแดดเผาตายไปแล้ว”
เขาช้างเผือกกับแดดร้อนๆ ที่ผมไม่เคยเจอ... เพราะแบบนั้นสินะ ธันวาคม ปลายปี 2562 ผมจึงต้องกลับมาอีกครั้ง
ย้อนรอยสักนิด อย่างที่บอกคือปี 61 ผมเคยจับผลัดจับผลูโชคดีได้ตามเพื่อนๆ ขึ้นเขาช้างเผือกมาหนึ่งรอบ แต่ในความโชคดีมีโชคร้ายเพราะช่วงที่เราเดินทางสภาพอากาศเปลี่ยนฝนตก เราขึ้นเขาช้างเผือกได้ และเห็นสายหมอกกับแนวทิวเขาสุดสวยอลังการ แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ขึ้นยอด
ด้วยความสงสัยว่าบนยอดเขากับสภาพอากาศที่แดดแจ่มจ้าฟ้าใส เขาช้างเผือกจะเป็นอย่างไร ปีนี้เลยต้องกลับไปใหม่ และเป็นโชคดีเหมือนเดิมที่มีเพื่อนจองทริปให้ได้อีกนั่นแหละ มีเพื่อนเก่งมันก็ดีแบบนี้ (ฮา...)
เขาช้างเผือก เส้นทางศึกษาธรรมชาติกับสันคมมีดอันโด่งดัง อยู่ที่หมู่บ้านชายแดนไทย-พม่า บ้านอีต่อง ตำบลปิล็อก อำเภอทองผาภูมิ กาญจนบุรี เขตอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ห่างจากตัวอำเภอราว 70 กิโลเมตร และห่างจากตัวเมืองกาญจน์ไม่เท่าไหร่ แค่ 210 กิโลเมตร เท่านั้นเอ๊งงงงง
พูดง่ายๆ คือจากกรุงเทพไปตัวเมืองกาญจน์ใกล้กว่าจากเมืองกาญจน์ไปอีต่องเกือบเท่าตัว ใครเคยเที่ยวกาญจน์คงรู้กิตติศัพท์เรื่องระยะทางเป็นอย่างดี เพราะที่นี่จังหวัดใหญ่สุดอันดับ 3 ของประเทศเชียวนะ
เพราะความไกลนี่เอง การเดินทางสะดวกสุดจึงเป็นด้วยรถส่วนตัว ความจริงมีรถสองแถวสาธารณะถึงเหมือนกัน แต่รอบวิ่งน้อย จังหวะเวลาไม่ได้ ต้องเผื่อเดินทางไปหนึ่งวัน กลับอีกหนึ่งวัน หรือใช้วิธีการโบกรถ แต่ถ้าใครไม่มีรถแล้วจะไปจริงๆ หาข้อมูลจากกูเกิ้ลมีเพียบครับ
ปีนี้เขาช้างเผือกเปิดให้จองทริปกลุ่มละ 5 คน พวกเราไปกัน 4 คน ไม่มีใครลางาน เพราะฉะนั้นต้องออกเดินทางตอนกลางคืน ออกจาก กทม. สี่ทุ่ม ขับรถไปเรื่อย พักเบรกเป็นช่วง กว่าจะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิก็ตีสี่โน่นแหละ นอนในรถเอาแรงกันหน่อย ถึงตอนนี้คงไม่ต้องกางเต็นท์แล้ว
บอกหน่อยว่าเส้นทางไปอีต่อง ปิล็อก เป็นทางคดเคี้ยว ถนนพังหลุมบ่อเยอะมาก ขับกลางคืนยิ่งต้องระวัง หากใครไม่ชำนาญแนะนำนอนพักที่ทองผาภูมิตอนกลางคืน แล้วเช้าตรู่ค่อยขับขึ้นมาก็ได้นะ
เอาล่ะ... เช้าแล้วมาสำรวจที่ทางสักนิด อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิมีที่กางเต็นท์อย่างดีเรียกว่าเนิดกูดดอย กับเนินช้างเผือก ความจริงเป็นพื้นที่เดียวกันนั่นแหละแค่มองเห็นวิวคนละทิศเท่านั้น เราสามารถมากางเต็นท์พักแรม รวมถึงมีบ้านพักให้บริการในอุทยานฯ ไม่ต้องขึ้นเขาช้างเผือกก็มาพักได้ตามปกติ
ฝั่งนี้คือเนินกูดดอย
ส่วนตรงนี้คือเนินช้างเผือก มีระเบียงชมวิวมองเห็นเขาช้างเผือกที่เดี๋ยวเราจะขึ้นไปกัน
ต่อมาคือการลงทะเบียนซึ่งต้องมากันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เปิดลงทะเบียนถึง 8.00 น. หรือหากใครเดินทางด้วยรถสาธารณะสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าหนึ่งวัน เจ้าหน้าที่จะแจงรายละเอียดต่างๆ ให้เราฟัง รวมทั้งเคลียร์ค่าใช้จ่ายซึ่งไม่ได้มีอะไรมาก หลักๆ คือค่าเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลความปลอดภัยให้พวกเราข้างบนนั่นเอง
เรื่องคนลงทะเบียนอนุญาตให้เฉพาะคนที่เราแจ้งชื่อตอนจองเท่านั้นนะครับ มีการตรวจสอบตัวตน ไม่มีการสวมสิทธิ์แทนคนไม่มา ใครไม่มาคือสละสิทธิ์สถานเดียว เคารพกฎตรงนี้กันด้วยล่ะ
จากนั้นให้เราขับรถไปบ้านอีต่อง ห่างจากที่ทำการฯ ประมาณ 8 กิโลเมตร จุดเริ่มเดินอยู่ในหมู่บ้านครับ แต่หากใครต้องการลูกหาบก็ต้องแวะไปถ่ายของที่โรงเรียนของหมู่บ้านก่อน เรื่องพวกนี้เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบตอนลงทะเบียนอยู่แล้ว ส่วนพวกเราแบกกันเองทั้งหมดเพราะฉะนั้นไปจุดนัดพบได้เลย
จากจุดนี้เส้นทาง 8 กิโลเมตร ถึงยอดเขาช้างเผือก แบ่งเป็น 1 กิโลเมตร ถึงด่านตรวจอุทยานฯ อีก 6 กิโลเมตร ถึงลานกางเต็นท์ และจากลานกางเต็นท์อีก 1 กิโลเมตร ถึงยอดเขา ระยะทางประมาณแบบคร่าวๆ นะครับไม่ได้วัดเป๊ะอะไร
พร้อมแล้วขึ้นเป้กันเลย พวกเราออกตัวเป็นกลุ่มรองบ๊วยเพราะมัวแต่เอ้อระเหยลอยชายตามประสา เดินโผล่ทะลุหลังหมู่บ้านเข้าป่าชุมชนตามป้าย ขึ้นๆ ลงๆ สักพักก็ถึงด่านตรวจอุทยานฯ เช็คชื่อครั้งสุดท้ายให้เรียบร้อย ใครไม่ได้ลงทะเบียนแล้วจะแอบหวังขึ้นขอบอกว่าหมดสิทธิ์ ผ่านจุดนี้ไปไม่ได้แน่นอน
จากนั้นก้มหน้าก้มตาเดินไปเรื่อย ช่วงแรกอยู่ในแนวป่าไม่เท่าไหร่หรอก พอสักพักโผล่ขึ้นมาอาบแดดนั่นแหละเริ่มเป็นเรื่อง นึกย้อนถึงคำรุ่นน้องบอกครั้งก่อนเลยว่า “โชคดีที่วันนี้อากาศไม่ดี ปกตินะโดนแดดเผาตายไปแล้ว”
เราต้องเดินผ่านไปทีละจุด ส้าน คะเนียง หุบกะเหรี่ยง หุบชะนี บลา บลา บลา ชนิดเรียกว่าแทบไม่มีร่มไม้ให้หลบร้อนกันเลย
ถึงหุบกะเหรี่ยง เห็นวิวธรรมชาติสวยๆ พร้อมกับแดดแรงจ้าเผาผลาญอย่างที่สุด
จากหุบกะเหรี่ยงถึงหุบชะนี มีช่วงตัดลงเขาให้ร่มเล็กๆ แต่จากนี้ไปคือความโหดของจริง เราต้องข้ามอีกสามเนิน เขาชะมด เขาช้างน้อย เขาลูกช้าง ท่ามกลางสภาพอากาศตอนเที่ยงวันที่แผดเผาสุดๆ มองขึ้นไปแล้วถึงกับถอนหายใจ
เห็นในภาพใกล้ๆ แต่แท้จริงคือเอาเทเลซูมมาจากโน่นนนนน (ฮา...)
ก้าวต่อก้าวฝ่าเปลวแดดกันไป
ขึ้นถึงเขาลูกช้าง มองเห็นลานกางเต็นท์และยอดเขาช้างเผือกอยู่ไม่ไกลแล้ว กลุ่มที่ออกเดินก่อนเราหลายกลุ่มจัดแจงจองที่ตั้งแคมป์กันเรียบร้อย
สำหรับผมเมื่อเปรียบเทียบกับคราวที่แล้วที่เคยบอกว่าเขาช้างเผือกนั้นเดินง่ายถือว่าเป็นคนละเรื่อง คนละโลกกันเลย แต่ที่ยากนั้นไม่ใช่เส้นทางหรอกนะ เป็นแสงแดดกับอุณหภูมิที่ร้อนนรกโลกกันต์สมคำร่ำลือ หยิบเทอร์โมมิเตอร์มาดูแตะหลัก 36-37 องศา
หากใครอยากลองซ้อมตกนรกให้มาเขาช้างเผือกได้เลย (ฮา...)
ในที่สุดก่อนเหงื่อจะหมดตัวน้ำจะหมดกายก็มาถึงลานกางเต็นท์สักที ผมเดินแบบเรื่อยๆ เรียงๆ หามุมถ่ายรูปตลอดทาง ใช้เวลาราวสี่ชั่วโมง คนเร็วที่สุดในกลุ่มเดินไม่ถึงสามชั่วโมง สรุปคือใช้เวลาประมาณนี้แหละ 3-4 ชั่วโมง
ลานกางเต็นท์มีสภาพอย่างที่เห็นคือต้นไม้น้อยมาก ที่หลบร่มแทบไม่มี มีห้องน้ำแบบส้วมหลุมให้ใช้กรณีจำเป็นสองสามห้อง
พวกเราจะมีเวลานอนอาบแดดพักเหนื่อยให้เพลินกายเพลินใจจนถึงบ่ายสามโมง เจ้าหน้าที่ก็จะนำเดินขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อพิชิตสันคมมีดในตำนาน ซึ่งกว่าจะถึงยอดต้องผ่านอีกหลายเนินทีเดียว แต่เพราะเป็นตัวเปล่าเลยง่ายกว่าช่วงที่ผ่านมาเยอะ
มองย้อนกลับไปทางลานกางเต็นท์ ถึงจะดูร้อนผ่าวๆ ทว่าก็เป็นวิวแนวภูเขาที่สวยดีจริงเชียว
และนี่แหละจุดสันคมมีด แนวสันเขาแคบๆ ซึ่งเราต้องไต่ขึ้นไป มีเจ้าหน้าที่และลูกหาบช่วยดูแลความปลอดภัย
เอาตามตรงถามว่าสันคมมีดเสียวหรือเปล่า สำหรับผมคือไม่ได้รู้สึกอะไรเลย (ฮา...) แต่นั่นคงเป็นอีกเรื่องสำหรับคนกลัวความสูง หรือยังไม่ค่อยได้เที่ยวธรรมชาติเที่ยวภูเขาอะไรพวกนี้มากนัก ถึงอย่างนั้นก็ต้องใช้ความระมัดระวังในการผ่านมันไป
พ้นสันคมมีดมาแล้วก็ยังเหลืออีกสองเนินให้ต้องเดินกันต่อไปกว่าจะถึงยอด
ในที่สุดก็ถึงยอดเขา เขาช้างเผือก 1,249 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล มองวิวกว้างไกล 360 องศา ฝั่งหนึ่งมองเห็นเขื่อนเขาแหลมชัดเจน
เจ้าหน้าที่จะให้เราอยู่บนยอดถึงประมาณห้าโมงเย็น บอกทริคนิดหน่อยว่าระหว่างเดินกลับถ้าอยากถ่ายภาพแนวภูเขากับแสงเย็นสวยๆ ให้รอกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย แล้วเดินลงแบบไม่ต้องรีบจะพอเหมาะพอเจาะเก็บภาพพระอาทิตย์ตกได้พอดี
แต่ผมไม่ได้ต้องการภาพสวยเป๊ะขนาดนั้น ขอลงเป็นคนแรกๆ เพื่อหามุมถ่ายกับสันคมมีดช่วงที่คนไม่เยอะมากดีกว่า
ต้องยอมรับครับว่าแสงเย็นกับแนวภูเขาของเขาช้างเผือกสวยจริงจังมาก
ลงมาถึงจุดกางเต็นท์ก่อนฟ้ามืด ก็พักผ่อนทำกับข้าวกินข้าวตามประสา กลางคืนดาวพราวฟ้ามาก แต่ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ถ่ายมาครับ บางทีก็อยากจะนั่งพักชิลๆ บ้างไรบ้าง ปีนี้ถ่ายดาวมาเยอะแล้ว (ฮา..)
หลังจากหลับเต็มตาตลอดคืน ยามเช้าผมเดินขึ้นไปเขาลูกช้างรอดูพระอาทิตย์ขึ้น ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะรอดูข้างล่างตรงลานกางเต็นท์เพราะขี้เกียจขึ้นมาบนนี้ แต่แนะนำเลยว่ามาถึงนี่ทั้งทีเสียเหงื่ออีกนิดขึ้นมาเถอะนะ
เพราะมีคนเต็มทุกวันตลอดช่วงเปิดเขา ที่นี่จึงกำหนดเวลาค่อนข้างเคร่งครัด เห็นนักท่องเที่ยวคนแรกเดินกลับตั้งแต่เจ็ดโมงเศษเพื่อหลีกเลี่ยงแดดร้อนช่วงสายๆ ส่วนพวกเรากว่าจะสตาร์ตก็เป็นกลุ่มสุดท้าย ออกเดินพร้อมลูกหาบและเจ้าหน้าที่คนสุดท้ายตอนแปดโมงเกือบครึ่ง
ลานกางเต็นท์อันว่างเปล่า ซึ่งเดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงหรอกจะกลับมาเต็มไปด้วยเต็นท์หลากสีสันอีกครั้ง
ขากลับใช้เวลาสักสองชั่วโมงครึ่ง แดดช่วงสายยังคงร้อนแรงแต่ยังดีกว่าขามากค่อนข้างมาก
ถึงหมู่บ้านพวกเราเดินเล่นกันนิดหน่อย แวะน้ำตกจ๊อกกระดิ่เล่นน้ำอีกนิด อาบน้ำที่ลานกางเต็นท์เนินกูดดอย กินข้าวที่อุทยานฯ กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการเริ่มขับรถออกมาก็บ่ายสามโมงกว่าๆ กลับถึง กทม. ราวสามทุ่ม
เขาช้างเผือกครั้งที่สองสำหรับผม สองครั้งสองบรรยากาศ ลงภาพเทียบให้เห็นกันเลยชัดๆ หากถามว่าสุดหรือยัง พอใจหรือเปล่า คงตอบได้ว่าเต็มอิ่มแล้วล่ะ ถือว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้เจอทั้งหมอกเจอทั้งแสงแดด ได้เห็นความสวยของธรรมชาติหลายรูปแบบ
เพราะความยากในการจอง ระเบียบอันเข้มงวดมาก ผมเคยคิดว่าคงขอที่นี่ครั้งเดียวให้เห็นกับตาตัวเองว่าเป็นอย่างไรแล้วพอเลย แต่เหมือนโชคเล่นตลกเพราะมาครั้งแรกไม่ได้ขึ้นยอดเลยต้องมาอีกรอบ พอมาครั้งที่สองก็กลับเริ่มรู้สึกว่าที่นี่มันสวยดีจริงๆ จนบางทีนะบางที หากมีโอกาสมารอบสามอาจไม่ปฏิเสธ
ขออย่างเดียว หาใครสักคนมาส่งชื่อจองทริปขึ้นเขาให้ได้แล้วกัน เพราะถ้าต้องจองเองคนเอื่อยเฉื่อยอย่างผมคงหมดสิทธิ์แน่นอน (ฮา...)
ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
www.facebook.com/alifeatraveller
นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller
วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563 เวลา 21.05 น.