~ ไม่ชอบอ่านเยอะ ~ 


สวัสดีครับ เนื่องจากได้สอบถามเพื่อนๆ ที่ได้เคยอ่านรีวิวที่ผมของผมเองหลายๆ คนบอกว่า "เขียนไรเยอะแยะ" ฮ่าๆ ซึ่งผมก็เข้าใจนะ รีวิวนี้ผมเลยแบ่งหลักๆ เป็นสองส่วนคือ

- เน้นว่าอ่านแล้วตามไปเที่ยวได้เลย ค่าใช้จ่าย เดินทางยังไง ฯลฯ

- เรื่องราวสนุกๆ และภาพสวยๆ ประจำทริป

bq3zx89ybvlt

~ ไปไหนมั่งอ่ะ ไปยังไง ~


เราไปแบบติดต่อหาไกด์เอง จริงๆ ราคาทัวร์ไม่ห่างกัน คือ 4 คน ประมาณ 15,000 บาท(โบรโม่ - อิเจ้น ไม่รวมบาหลี) แล้วก็แอ๊ดไลน์ไปคุยสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนมากก็ประมาณว่า เราจ่ายค่ากินมื้อกลางวัน - เย็น ส่วนที่พัก เขาหาให้หมด เรื่องคร่าวๆ ที่คุยมีดังนี้ (คือมันก็เรื่องทั่วไปหล่ะครับ แต่ถ้าใครยังไม่เคยไปผมไม่อยากให้เป็นเหมือนผม ไม่รู้จะเริ่มยังไงก่อน)


- ให้เขาแนะนำรายการตามวันไป-วันกลับที่เราไปได้

- เขาจะเสนอรายการพร้อมราคามา เราก็มาเช็คดูว่าม่ีตรงไหนที่เราอยากปรับมั้ย

- สอบถามวิธีการจ่ายเงินให้เรียบร้อย ส่วนมากเขาจะให้เราโอนมัดจำไปก่อน ทำอย่างยากเลยครับ ผมเลยขอเขาไม่ทำ ฮ่าๆ 

- ถามเขาว่าเราต้องเตรียมอะไรไปเองบ้าง เพราะบางที่ต้องมีอุปกรณ์พิเศษ เช่นรองเท้าแตะไปเดินน้ำตก หน้ากากป้องกันกัมมะถัน 

- ถ้าแพลน OK ทั้งสองฝ่ายก็หาตั๋วเลยครับ เที่ยวเถอะ ~


Trick : หาไกด์จาก Google ได้เลยครับ มีเยอะมาก ผมใช้ของคุณ Novan ซึ่งตอบเร็ว คุยง่าย จัดการให้ทุกเรื่อง  @Line ไปสอบถามได้ที่ ID Line  : bromozigzag (ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใด แนะนำจากใจจริง...นะจ๊ะ)


แพลนที่คุยไว้คร่าวๆ กับไกด์ก็ตามนี้


nga6sbz6b2bx



~ เห็นในทัวร์ขายกัน 3 - 4 หมื่น ถ้าไป 8 พันก็กินอยู่อย่างขอทานสินะ !!  ~


ดูจากในวีดีโอเอาเน้อ จะได้เห็นภาพ 

6lbky5gip4lo

เงินที่ที่เราต้องเตรียมมี 2 ส่วนหลักๆ 

 

1. ค่าเครื่อง : 3XXX, 5,XXX และ 10,XXX บาท ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลาเลยครับ ส่วนตัวผมเองได้ 5,XXX ก็ถือว่าคุ้มละ (บินไปลง Surabaya เน้อ ถ้าไปลงจาการ์ต้าก็เปลี่ยนที่เที่ยวเลย ฮ่าๆ)

2. ค่าทริป และค่ากิน รวมกัน 8,XXX ต่อคน (ผมเอาราคาเต็มมาหาร 2 นะ เพราะไปสองคน ถ้าไปมากกว่า 2 คนก็จะถูกลงอีก)

ค่าเงินสกุลอื่นทั้งหมดจะถูกแปลงเป็นเงินบาททั้งหมดเพื่อให้เตรียมเก็บเงินได้ถูกนะครับ แล้วก็แลกเงินข้างนอกจะได้ราคาดีกว่าไปแลกที่สนามบินนะครับ

- ราคาทริป 7500 บาท (อันนี้แบบหารสองนะ ไปหลายๆ คนจะยิ่งถูกลงไปอีก) 

- ร้านอาหาร Ayam Bakar Bawangan (มื้อเย็นวันแรก) = 150 บาท -

 ร้านอาหาร Handayani (มื้อเที่ยง + เย็นวันที่สอง) = 240 บาท 

- ร้านอาหาร Pondok Tempo Doeloe (มื้อเที่ยงวันสุดท้าย) = 220 บาท 

- ค่าอาหารช่วง Transfer flight (ทั้งไป - กลับ) ที่กัวลาลัมเปอร์ = 500 บาท

รวม : 8610 บาท !!

ถ้าไม่เดือดร้อนเรืองเงินก็เก็บเผื่อไปสัก หมื่นนึงไว้ Shopping ก่อนกลับ แลกเงินก่อนวันไปให้เรียบร้อยนะครับ ไปแลกสนามบินกระเป๋าฉีกแน่นอน

~ ต้องเตรียมอะไรบ้าง ~


คือมันต้องขึ้นอยู่กับคนจัดทัวร์แต่ละคนไปอีก แต่ของผมก็ตามนี้


- กล้องถ่ายรูปเบาๆ + ขาตั้งเบาๆ (เตือนละนาา) 

- หูฟัง - Power bank + สายชาร์จต่างๆ 

- รองเท้าแตะ + กางเกงขาสั้นไว้เดินน้ำตก 

- SIM to fly (หรือฝากไกด์ซื้อแต่จำกัดปริมาณ Internet) 

- เสื้อกันฝน (ไปซื้อข้างหน้าได้)

- ยานวด

- ไฟฉายติดหัว(ไปซื้อข้างหน้าได้)

- ยาดม - ยาทาแผล(เผื่อล้ม)

- ยาแก้เมารถ

- ชอตโกแลต, snack

- ทิชชูเปียก&ทิชชูแห้ง -

บัตรเครดิต (ใช้ซื้อข้าวที่สนามบิน และยามฉุกเฉิน)

- ภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ

- ชุดปีนเขาพร้อมเปื้อน

- เอกสารเดินทางต่างๆ (Passport อายุอย่างน้อย 6 เดือน นับวันที่กลับถึงไทย, ไปอินโดไม่ต้องใช้วีซ่า)


คิดว่าเท่านี้น่าจะพอหาหนทางไปเที่ยวได้แล้วแหล่ะครับ สำหรับคนงบน้อย และไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน ถ้าอยากทราบรายละเอียดส่วนไหนเพิ่มก็ Comment ถามได้นะครับ 


 ~ จะเล่าเรื่องละนะ ~


" เห็นภาพก็บ่อย ได้ยินชื่อก็นานมากละ รู้แหล่ะว่าสวย แต่ไม่มีปัญญาไปหรอก ถ้าอยากไปเที่ยวต่างประเทศคงซื้อทัวร์ไปให้จบๆ ไปเองจะไปคุยกะเขายังไง ภาษาอังกฤษเรียนตั้งแต่อนุบาลยัน ป.ตรี พูดได้สักคำไหมหล่ะ ??? " เสียงจากเด็กหนุ่มวันอุดมศึกษาที่มองเรื่องการเที่ยวต่างประเทศเป็นเรื่องของ "คนรวย" จากวันนั้นจนถึงวันนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบ 10 ปี หลายปัญหาค่อยๆ หายไป แต่เรื่องหลักๆ คือเรื่อง "เงิน" นี่หล่ะฮะ ท่านผู้ชม จนเสมอต้นเสมอปลาย ฮ่าๆ แต่ยังดีที่มันยังพอหาทางไปเที่ยวแบบราคาถูกๆ ได้บ้าง (ไปเอง หาทัวร์เอง กำหนดแพลนเอง)


DAY 1 


ทริปที่เตรียมไว้มีทั้งหมด 3 วัน 3 คืน (เที่ยวจริง 3 วัน 2 คืน ใครกลับไหวไปก่อนได้เลย ผมนอนพักอีก 1 คืน)

ปกติ ณ​ ปัจจุบันยังไม่มีสายการบินที่บินตรงจาก กทม. ไปสนามบินสุราบายา (เราก็จองไปสุราบายาแหล่ะ แต่ต้อง Tranfer flight) ผมออกเดินทางแต่เช้าตรู่ ไปพักที่กัวลาลัมเปอร์ตอนเที่ยงๆ พอดี เดินหาอะไรกินตั้งนาน ก็มาเจออะไรเตะตาหน่อย คือข้าวผัด 

u4hyvaaxbd7c


กับผัดไทย (คิดชื่อให้)

0zrded3ba67c

รสชาติก็พอๆ กับร้านอาหารในห้างหล่ะครับ ราคาแพงแต่ไม่อร่อย ฮ่าๆ

ออกเดินทางจากกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 14.00 ไปถึงสุราบายาสักประมาณ 16.00 สิ่งแรกที่ต้องทำคือมองหา Guide ที่ทัวร์เขาจัดให้เราก่อน ของผมเองคือคุณ Rofik เดินออกมาแป๊บเดียวก็เห็นเขายืนถือป้ายเขียนชื่อเราไว้ เลยตรงดิ่งเข้าไปหา เขาบอกว่าใช้เวลาเดินทางจากสนามบินไปที่พักแถวโบรโม่ประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง 


ช่วงที่ออกมากจากสนามบินที่รู้สึกคือ รถติด รถเยอะ คล้ายๆ กทม. สักพักก็ขึ้นทางด่วน ถึงตอนนั้นบอกเลยว่าเพลียมาก เผลอหลับไปแป๊บเดียว ตื่นมาฟ้ามืดแล้ว Rofik ถามเราว่าชอบไก่มั้ย จะพาไปกินร้านไก่ย่าง คือ ณ วินาทีนั้นอะไรก็ได้ครับ อย่างหิวว ~ แต่เราก็แอบกลัวๆ รสชาติอาหารบ้านเขานะ เห็นว่ามันจืดๆ มั้ง แต่พออาหารมาเสิร์ฟได้ลองกัดไก่ย่างคำแรก บอกเลยยยยย อร่อยยยยยยย เข้มข้นเลยครับ 


อุณหภูมิลดดิ่งลงมาที่ 17 - 18 องศา เวลาประมาณ 20.00 ก่อนแยกย้ายเข้าห้องพักไกด์บอกเราว่า "พรุ่งนี้เจอกัน 02.30 นะ ห้ามสายนะ" คือไม่ต้องตกใจนะครับ ภาพสวยๆ ตาม Social หรือใน Internet เขาต้องไปถ่ายตอนเช้าๆ ซึ่งเวลาอินโดเนเซียนั้นเท่ากับบ้านเรา แต่ทางกายภาพแล้ว พระอาทิตย์จะขึ้นไวกว่า 1-2 ชั่วโมง แล้วเราต้องเดินทางผ่านทางวิบากไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง เราเลยต้องตื่นเช้าหน่อย แต่ๆๆๆ เดือนที่ผมไปเนี่ย มันกำลังจะเข้าหน้าฝนของที่นั่น พยาการอากาศไม่ได้เลยครับ แล้วแต่ดวง แล้วตอนนั้นฟ้าก็ปิดด้วย 

40pmnkuw6s17


บรรยากาศหน้าห้องพัก

b8vb8tq72jd1
kp7sq17jvc6y


ในห้องก็ใหญ่อยู่นะนอนได้ 4 คน แต่พื้นเย็นมาก ใส่ถุงเท้าไว้ ทนเหม็นดีกว่าทนหนาว ฮ่าๆ 

hmj7jca5z5qv

ณ เวลานั้นก็ดึกแล้วสำหรับการตื่นตี 2 ต้องนอนไปด้วย พร้อมกับลุ้นไปด้วยวว่าฟ้าจะเปิดไหม 

(_ _)zZ...


DAY 2


ดีใจมากที่ตื่นทัน แต่จะบอกว่าหนาวมากกกก ใครจะอาบน้ำก็อาบ แต่ผมไม่ !! ฮ่าๆ ล้างหน้าแปรงฟัน รีบออกมาหาไกด์ให้ทัน พอออกไปถึงหน้าโรงแรมถือว่าคึกคักเลยหล่ะครับ รถจิ๊บวิ่งไปมาทีละ 2 - 3 คัน เราสามารถเดาได้เลยว่าคนต้องเยอะมาก 


พอเจอไกด์เขาก็พาไปขึ้นรถ เดินทางผ่านทางมืดๆ เลี้ยวลดคดเคี้ยว ใครเมารถง่ายพกยามาเลยนะครับ พอขึ้นเขาไปสักชั่วโมงนึกก็ถึงจุดชมวิวที่ชื่อ  "King kong hill" (ส่วนที่มาว่าทำไมต้องมีชื่อนี้ต้องลองย้อนกลับไปดูในวีดีโอต้นรีวิว อิอิ !!) บรรยากาศตรงนั้นก็ประมาณว่า (นึกภาพตามนะ) เป็นทางเดินตรงๆ สองข้างทางคนเดินเต็มไปหมด มีร้านขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกระป๋อง (จำราคาไม่ได้ละ ณ ตอนนั้นกินหมดหล่ะครับ หิว ฮ่าๆ) 


ณ ตอนนั้นผมรู้สึกดีนะ บรรยากาศเย็นๆ มองเห็นแสงไฟจากหมู่บ้านอยู่ไกลๆ ผมเลย หาขาตั้งมากางถ่ายดูซะหน่อย ถ่ายเสร็จก็สังเกตุเห็นอะไรบางอย่าง เอ๊ะ !! มีหมอก มีภูเขา นี่มันหมู่บ้านทะเลหมอกหนิ !! ผมนี่ตื่นเต้นเลยครับ เพราะเคยเห็นแต่ใน Internet แต่คราวนี้ได้มีเจอของจริง อลังการกว่าในรูปเยอะเลยครับ 

mczd5zvtq792


ผมลองคุยกับไกด์ว่าเดี๋ยวจะไปหาที่จองวิว ไกด์พาผมไปแล้วบอกว่าขอกลับไปหลบหนาวก่อน ไม่ไหว ฮ่าๆ ตอนนั้นพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยครับ พอถึงจุดชมวิวผมเห็นเงาลางๆ อยู่ด้านขวา มองชัดๆ อีกที เห้ยยยย !!  นี่มันโบรโม่นี่ ยังไม่มีแสงแต่ขอจัดสักภาพหน่อยละกัน 

0r191086fntp


(ทฏษฎีแป๊บนะ) ณ ช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจะมีช่วงที่แสงของท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีจากการหักเหของแสงอาทิตย์ภาพชั้นบรรยากาศ ใครเอากล้องไป ถ่ายช่วงนี้จะได้ภาพแจ่มๆ กลับมาเชยชมกันเลยทีเดียว 

4adsngac1p62

แสงเริ่มมาละครับ ช่วงนี้สวยมาก แต่น่าเสียดายที่ภาพจากกล้องทำยังก็ไม่เท่าตาคนเห็น 

al9xkl9qa3pu
aq4fgrt717pk
vafy10gsc210
vk4oa8114qzu
slao6t7kdred
ccfkck75dqu8

พี่ไกด์ Rofik เราแลจะหายหนาวเลยลงมาหา ผมถามว่า "นั่นหมู่บ้านอะไร ?" เขาบอกว่า "หมู่บ้าน Cemoro Lawang เป็นหมู่บ้านสุดท้ายก่อนขึ้นมาถึงที่นี่" 

สำหรับคนอื่นมันก็เหมือนที่เที่ยวทั่วไปแหล่ะนะ แต่สำหรับผมที่ไม่คิดว่าวันนึงจะได้มาเห็นกับตา หมู่บ้านนี้รวมถึงโบรโม่มันกลับพิเศษและมีคุณค่าทางจิตใจอย่างมาก จนถึงขั้นว่าเที่ยวแค่นี้พอแล้ว กลับเลยก็ได้นะฮ่าๆ 

a1t73l91r2i3
jx37ttslv9uy





หลังจากถ่าววิวเสร็จ เราต้องรีบทำเวลาเลยตัดสินใจรีบออกจากจุดชมวิวเพื่อไปสัมผัส "ลมหายใจของเทพเจ้า" และความยิ่งใหญ่ของหมู่ภูเขาไฟแบบใกล้ชิดติดขอบเวที

mqfuah0dinu9

เส้นทางคือลงจากเขาและมุ่งตรงไปที่ภูเขาไฟ ฝ่าดงทะเลหมอกที่เราเห็นในภาพเลยครับ แต่พอมีแสงอาทิตย์หมอกก็เริ่มจางลง แวะจอดรถมาถ่ายรูป ได้ฟีลแบบอยู่เมืองนอก (ก็มาเมืองนอกเน๊าะ)

eijgz8tf43r4
odemnsfwu8t8
wz3wbabnzijn
s3o1yhf26p29

น้องม้าขาว เราจะได้เป็นอัศวินม้าขาวแล้ว ฮ่าๆๆ อันนี้เป็นการนั่งบนหลังม้าครั้งแรกของผมเลย กลัวๆ เหมือนกันนัะ แต่พอนั่งได้สักพักก็ไม่มีอะไรน่ากังวล คนจูงเขาเดินจูงเร็วมาก แค่ 10 นาทีก็ถึงทางขึ้นปากปล่องละ ถ้าเดินเองครึ่งชั่วโมงจะถึงมั้ยไม่รู้

26bzjmodyrju
7ek99bwxpsmz
pv1zbhs2j9yd

ด้านหน้าทางขึ้นจะมีดอกไม้แห้งสำหรับบูชายัน (โยนลงปล่องภูเขาไฟ) แต่ผมเองมองว่ามันกลายเป็นขยะ โยนลงไปก็ไม่มีคนลงไปเก็บ(เดาเอานะ) เลยขอผ่านดีกว่า

e6390bhhnh9q
xlhbl06y87zd

ทางขึ้นมีป้ายชื่อภูเขาแต่ละลูกของบริเวณนั้นด้วย

ikfyl7zl784m

ที่เป็นกองๆ ไกลๆ นั่นรถ Jeep ที่พานักท่องเที่ยวมาชมภูเขาไฟ ไกด์บอกเราว่าวิ่งอยู่ประมาณ 1,500 คนต่อวัน

juw61vfibubs
3pnywv1lhpem

มองเห็นทางขึ้นก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอหนะ แต่คนเยอะหล่ะครับ เดินได้ช้า เราจะเหนื่อยง่ายหน่อยเพราะอยู่บนที่สูง

2vgbrk47l34d

กว่าจะขึ้นมาถึง เล่นเอาหอบเหมือนกัน มองลงไปข้างล่างแล้ววิวสวยมาก หมอกเริ่มหายไปเกือบหมดละ ตอนที่หมอกหายนี่ไม่ใช่อยู่ๆ จะจางๆ ไปเหมือนเมืองไทยนะครับ แต่มันคล้ายๆ ไอขาวๆ ของน้ำแข็ง มันลอยขึ้นเป็นเส้นๆ เลย (ถ้าเปิดดูในวีดีโอจะเห็น)

x3wi71t20b7r
k29d8ihhs7d6
6q7yhars7el5
3aexy2vwk6iz

จากวิวเมื่อครู่นี่หันหลังมาก็เจอภูเขาไฟเลยครับ ทางเดินแคบมาก เดินสวนกันยาก ต้องระวังหน่อยไม่งั้นตกละงานเข้า เดี๋ยวเราจะกลายเป็นเครื่องบูชายัน ฮ่าๆ

และนี่คือภาพจากปากปล่องภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่

2xawybqcwkd0
f0jfnri2hmpx

เดินมาสักพักก็เจอรูปปั้นเล็กๆ ถ้าให้ผมเดานะ นี่คือพระพิฆเนศ แต่แลๆ แล้วเขาไม่ได้จัดวางไว้อย่างยิ่งใหญ่ น่าจะมีน้อยคนนักที่นับถือศาสนาพราหมณ์

s4yb1a2i2hi3

บนปากปล่องก็จะมีทางเดินให้เราชมวิวได้ทุกมุม

9ymb4gwt2igr
uxp8o9lpz21u

แต่เราต้องระวังให้มากๆ เพราะยิ่งเดินทางยิ่งแคบ เดินสวนกันไม่ได้แล้ว ที่สำคัญ ความง่วง ความเพลียจากการเดินทางบ้าง ตื่นเช้าบ้าง เวลามองไปที่สันขอบทางเดินมันจะเป็นเส้นๆ จนทำให้เราเวียนหัว สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ไปต่อครับ เพื่อความปลอดภัยและรักษาเวลาด้วย

z9od4dx003p1

แต่ผมก็ยังเอาภาพบรรยากาศมาฝากนะ อันนี้แบบไกลๆ ละ

bza9yxmhxmzi

อันนี้แบบไกลกว่า

x3kur35ajhn6

และนี่แบบไกลที่สุด น่ากลัวมาก มีคนไปแค่คนเดียวเอง

x07fmibqybi5

เอาหล่ะครับ พอหอมปากหอมคอ รีบกลับดีกว่า

ภาพบรรยากาศช่วงขากลับมาที่รถ Jeep

dzxr91yv3qxf
wah9v51uqnd7
t9r1nt1evt0e
36ncz09towjx

ที่ผมบอกไปเรื่องต้องทำเวลาบ่อยๆ เพราะเราจะไปลุยกันที่อิเจ้น ซึ่งต้องนั่งรถจากโบรโม่ไปนานถึง 5 ชั่วโมง ผมเลยรีบกลับโรงแรมไปอาบน้ำ ทานข้าวเช้า ตอนนี้เราเปลี่ยนเป็นชุดรองเท้าแตะกางเกงขาสั้นได้เลยนะ เพราะระหว่างทางเขาจะพาไปเที่ยวน้ำตก ผมไม่แนะนำให้นำกล้องเล็ก หรือรุ่นที่ไม่มี Seal กันน้ำเข้าไปนะ แนะนำเอามือถือกันน้ำ ที่มีมุม Ultra wild เข้าไปเก็บภาพก็โอเคละครับ

น้ำตกที่เราจะไปชื่อว่า "Madakaripura"

ไกด์ Rofik พาเราไปปล่อยไว้ให้ไกด์ท่องที่อีกทีนึง ชื่อว่า "นาติ๊บ" แต่ปัหาคือพี่นาติ๊บเนี่ยแกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ รวมถึงคนอื่นๆ

พอไปถึงเขาก็พาแว๊นไปสัก 5 นาที ทางโครตน่ากลัวเลยครับ ฮ่าๆ  

แว๊นมาถึงแล้วไกด์ก็ลงไปจ่ายตังค์ให้ แล้วก็ต้องเดินเท้าต่อประมาณ 1 กิโลเมตร แต่แดดช่วงเที่ยงๆ นี่ร้อนระอุมากครับ มีร่มก็เอามากางนะครับ

6tfstjt5vgnf

ก่อนเข้าน้ำตกเขาก็มีเสื้อกันฝนถูกๆ ขายนะ ถ้าลืมพกไปก็ไปซื้อตรงนั้นก็ได้

พอเข้ามาถึงผมนี่อึ้งก่อนเลย คือเข้าใจนะว่ามันสวย จากรูปบ้าง จากวีดีโอบ้าง แต่ไม่คิดว่าของจริงมันจะอลังการทุกองศาจริง

6nf0nddyoz4b
77p70rautpot
vj1zmq2zobmy
pai4tuge60oy

ไกด์นาติ๊บบอกว่าถ่ายพาโนราม่าออกจะสวยมาก แล้วก็ให้เราลองถ่ายแบบ Slow motion พอถ่ายออกมา เห้ยยยย  !! สวยจริง ใครได้ไปลองดูนะ

แล้วมือถือก็ยกให้เขาไปเลยครับ เดี๋ยวเขาจัดภาพสวยๆ ให้เราชุดใหญ่เลยหล่ะ

efas1yb7nbvr

น้ำหนาวมากนะ แม้อากาศจะร้อน หนาวจนปวดเท้าเลยหล่ะ

ขากลับจากง่วงๆ เพลียๆ ร้อนๆ ตอนนี้ตื่นละครับ เปียก ฮ่าๆ

กลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปที่พักใกล้ๆ อิเจ้น ไกด์พาแวะทานข้างเที่ยงประมาณ 16.00 ซึ่งก็รวบเป็นข้าวเย็นได้เลย ฮ่าๆ

เที่ยงคืนตรงนะ ห้ามเลท ไม่งั้นเราอาจไปพิชิตอิเจ้นไม่ทันบลูเฟรม (ลาวาสีฟ้าที่หาดูได้แค่ 2 ที่บนโลกใบนี้) เอาง่ายๆ คือเดินทางจากโรงแรม 1 ชั่วโมง เดินเทรคกิ้งขึ้นเขาให้ทันก่อนฟ้าสว่าง

ข้อควรระวัง !! : ต้องออกให้ทันเที่ยงคืน นะครับ ไม่งั้นมันจะช้าเป็นทอดๆ หลายกลุ่มที่อ่านมาก็อดมาเยอะ

คุยกันเสร็จสรรพก็คำนวนเวลาตื่น ช่วงก่อนนอนผมเพิ่งจะได้มานอนอ่านเล่นๆ ว่าทางยากแค่ไหน ถ้าเอาตัวผมเองคืองานเข้าหล่ะครับ แต่ถ้าใครชอบเที่ยวเดินป่าอย่างพวกพิชิตภูกระดึงก็น่าจะสบายๆ

DAY 3

การวางแผนที่ดีเป็นหัวใจของความสำเร็จ.., เรานอนได้ครบตามชั่มโมงที่วางไว้และตื่นทัน(ได้ไงไม่รู้) อาจจะเมาๆ ขี้ตาหน่อยแต่ก็เจอ Rofik ตอนเที่ยงคืนพอดี แล้วก็ถึงเวลาออกไปพิชิตอิเจ้น !!

ของที่เอาไป

- เป้ใส่เสบียง

- ชอคโกแลตหวานๆ (กินระหว่างทางต่อเวลาดีมาก)

- ขนมปังที่มีใส้หวาน

- น้ำเปล่าขวด 7 บาท หนึ่งขวด (ผมพกมาจากไทยเลยนะ เพื่องานนี้ ฮ่าๆ)

- กล้องเบาๆ (ผมแบก DSLR ไป เกือบตาย)

- ขาตั้ง ถ้าจะเอารูปไปใช้ต่ออยากได้คุณภาพดีๆ ก็ต้องขาตั้งเบาๆ สักอัน

- ไฟคิดหัว

- ทิชชู่แห้ง (ไม่ควรเป้นทิชชุ่เปียกนะ เพราะน้ำหนักเยอะ ลดอันไหนได้ ลดดีกว่า)

- มือถือจะเป็นกล้องที่ดีที่สุดในสถานการณ์แบบนี้

- ยาดม เราอาจร่วงเมื่อไหร่ก็ได้ มันไม่ใช่เดินเพลินๆ นะเอออออ

คือช่วงนี้ไม่มีรูปนะครับ ขอเล่าเป็นตัวหนังสือแทน เพราะไม่สะดวกถ่ายเลย

ไกด์พาเรามาส่งไม้ต่อให้  "อันโต่ะ" ซึ่งเขาจะพาเราไปดูบลูเฟรมให้ทันก่อเช้า ตอนนี้เวลาประมาณ  1.00 ซึ่งเขาบอกเราว่าใช้เวลาเดินแบบไม่หยุดประมาณ 2 ชั่วโมง ด้วยระยะทาง 4 กิโลเมตร ซึ่งตรงนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้หลายๆ คนประมาทจนพลาด ในความเป็นจริงแล้ว เส้นทางเรียบ แต่ชัน สภาพอากาศไม่เป็นมิตร พอขึ้นไปสูงๆ ลมแรง ฝุ่นพุ่งกระจุยกระจาย มอมแมมแน่นอนครับ อันนี้ต้องทำใจ

พอขึ้นไปถึงบนยอดเขาผมก็คิดเอ่ะใจว่า มันเป็นเหมืองหนิ แล้วคนถ่ายรูปมามันเป็นหลุมๆ มันใช่หรอที่ต้องปีนขึ้นเขามาดู

สิ่งที่กลัวก็เป็นจริงครับ เราเดินทางเรียบขึ้นมาบนยิดเขามันไม่จบแค่นั้น เราต้อง "ปีนเขา" ลงไปครับ อุปกรณ์ไม่มี โดดอย่างเดียว ฮ่าๆ ล้มได้แผลมาแล้วด้วย พื้นบริเวณนั้นเป็นหินแข็งๆ แล้วก้มีฝุ่นเยอะ ลื่นง่ายมาก ตอนที่ล้มผมเครียดนะ กลัวเจ็บละเดินต่อไม่ได้ เหมือนว่าข้อเท้าจะพลิก แต่ลองลงน้ำหนักมันก็เริ่มดีขึ้นเลยกัดฟันปืนลงต่อ

แผลถลอกหายง่ายตามเวลาปกติ แต่ข้อเท้าผมเจ็บอีก 2 เดือน เดินขึ้นลงบันไดลำบากเลย ใครตามรอยไปดูแลกันดีๆ นะครับ

2pvx2aiwk7ac

หลังจากลำบากตรากตรำเดินขึ้นยอดเขาแล้วก็ปืนกลับลงไปข้างล่างเราก็ได้เห็นบลูเฟรมเสียที ช่วงนี้หายใจลำบากมากเพราะเราใส่หน้ากากกันแก๊สพิษอยู่ แต่วันที่ผมไปโชคไม่ค่อยดีตรงที่มีการปะทุเยอะไปหน่อย ฝุ่นควันคลุ้งเต็มไปหมด

ysnebif5yydc

ผมได้แต่ยืนถ่ายด้านบน เอามือกำข้อเท้าที่ยังเจ็บอยู่และนั่งคิดถึงเรื่อง "แล้วนี่ จะกลับยังไงไหว" ฮ่าๆ คือตื่นเต้นมั้ย ก็โอเคนะ แต่รู้สึกว่าเราเหนื่อยล้ามากๆ แทบไม่อยากเดินไปไหนเลย ข้างล่างก็ควันเยอะเกินไป เอาเป็นว่านั่งรอให้หายเหนื่อยๆ พร้อมๆ กับทำใจกลับ

ระหว่างนี้ก็นั่งเก็บรูปเพิ่มเติมหน่อย

t1tjmx8il2t3
3zilyp89l15o

เอาหล่ะ ลุก !! กลับดีกว่า

คนเยอะเหมือนกันนะ ผมไปนั่งหมดแรงตรงปลายสุดนู้นนน

ipnr9n6mfium

ตอนเดินกลับผมไม่ได้ดูนาฬิกาเลยนะ สักตี 5 มั้ง เห็นคนที่มาเก็บกัมมะถันที่เดินสวนกันตลอดเส้นทางเลยแอบถ่ายซะหน่อย แต่ก็เอ่ะใจขึ้นมาเรื่องนึง คือก่อนหน้านี้ผมก็ได้เข้าไปหาอ่านบทความเกี่ยวกับบลูเฟรมนี่แหล่ะ ซึ่งจริงๆ แล้วการเผาไหม้ของกัมมะถันเป็นอันตรายถึงชีวิต ส่วนชีวิคตคนงานในเมืองที่ต้องแบกหามแร่กัมมะถันทุกๆ วันก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงทวีคูณขึ้นไปอีก

rzo5wkkjmoaw

เอาหล่ะ ฟ้าเรื่องสางแต่ทว่าความงดงามที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่ม ลองดูนี่สิ ฟ้าสีส้ม ทะเลสาบสีฟ้า ดินสีเทาและกำมะถันสีเหลือง โครตพาสเทลเลย ฮ่าๆ

i03sk18z91kn

ถึงแม้จะเช้าแล้วแต่ผู้คนก็ยังทยอยลงไปเก็บภาพข้างล่าง

izz9a29pfe0h

วินาทีนั้นความเหนื่อยที่เคยมีแทบหายเป็นปลิดทิ้ง ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติมันช่างสวยงามเหลือเกิน

เห็นรอยขาวๆ ตรงกางเกงมั้ยครับ ? นั่นหล่ะรอยล้ม ฮ่าๆ

hlhclir01vux

เอาหล่ะ เรากำลังจะปีนกลับขึ้นมาถึงยอดเขาละ ใกล้ครบ 5% ของทางกลับละ ^o^

amn1essuo5b7

ขึ้นมาถึงด้านบนบอกเลย คราวนี้หายเหนื่อยจริงๆ ครับ ตอนเดินมามันมืด มองไม่เห็น แต่โหวววว นี่มันสวรรค์บนดินชัดๆ

ร่องรอยจากการล้มก็ยังชัดเหมือนเดิม

q2hefz4bria8

ดูทะเลหมอกนั่นสิ เป็นปุยๆ เมฆ

wgdy6fw2cdmj

ยิ่งแสงเยอะยิ่งสวย

amnxn53vy8vj

เอาหล่ะครับ ได้เวลาต้องเดินทางกลับกันละ ระหว่างทางนี่เป็นช่วงชมวิวเลย เลยได้พอมีเวลาถ่ายวิวมาฝากหน่อย

hwpe4tgup5sa
tac5bfyqtlto
wrp0vugqo41i

ระหว่างทางนี่เป็นช่วงชมวิวเลย แต่เดินระวังหน่อยนะครับมันไม่เหมือนตอนเดินขึ้น มันเป็นฝุ่นบนพื้นแข็งๆ หมายความว่ามันลื่นง่ายมาก ผมล้มไปสองสามรอบ กว่าจะถึงข้างล่าง และนี่ก็คือผลงานของผม ฮ่าๆ

3votlampbf3i

~สรุปทริป~

สนุกดีนะ วิวสวย ไปเห่อะ จบ ฮ่าๆ

ก่อนจากกันไป ฝากผลงานอื่นๆ ตามลิงค์ด้านล่างนี้ด้วยนะครับ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ..,

รีวิวที่เที่ยวอื่นๆ
https://th.readme.me/id/AYPhot...

Youtube

https://www.youtube.com/user/engineerbuu

Facebook

https://www.facebook.com/AYFOTOGRAPHY/

Instagram

https://www.instagram.com/arnuphap_y/?hl=th

จบแล้วครับ บ๊ายยยยย

ความคิดเห็น