ลุยโลกกว้างที่ดานัง (ตอนที่ 8)

highlights:

  • วายป่วง 1
  • วายป่วง 2
  • วายป่วง 3

---------------------------------------------------------------------------------

จากตอนที่แล้วที่เรานั่งรอโคโค่กันนานมาก [ลุยโลกกว้างที่ดานัง (ตอนที่ 7)] จนในที่สุดก็ได้ขึ้นรถสักที ระหว่างนั้นเพื่อนก็ขอดูเอกสารสถานที่จะไป "Asia Park" ซึ่งด้วยความจิตตกของเราก็ปริ๊นเป็นใบกระดาษมา อันนี้เราซื้อมาเป็นแบบรวมบุฟเฟ่ต์อาหารเย็นด้วย ราคา 209฿ 

ความดีงามของที่นี่คือเปิดตอนบ่ายสามปิดสามทุ่ม เล่นเครื่องเล่นได้ทุกอย่างแถมยังรวมบุฟเฟ่ต์ด้วย ถูกมากๆ มาดานังต้องมาให้ได้นะ คำนวณเวลาดีๆ แต่เราคำนวณเวลาพลาดเลยมาสะค่ำเลย เสียดายมากกก ถ้าได้ไปอีกจะต้องไปซ่อมแน่นอน TT^TT

กลับมาที่ประเด็นของเรา หลังจากเพื่อนเราเอาเอกสารไปดูระหว่างนั่งรถ นางก็ถามขึ้นมาว่า ทำไมที่อยู่ของสวนสนุกกับที่รับตั๋วเข้าไม่ตรงกัน จังหวะนั้นคือเข้าเน็ตดูแผนที่ไม่ได้แล้วอะ (เน็ตใช้ไม่ได้อีกแล้ว เป็นอะไรอี๊ก TT^TT) ซึ่งตรงนี้เราพลาดจริงๆ ที่ไม่ดูให้ละเอียดมาจากบ้าน เราก็แบบคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง อาจจะอยู่ใกล้ๆ กันเหมือนที่ Bana hills ก็ได้ คิดบวกตลอดดดดดดด โลกสวยตลอดดดดด อย่าหาทำนะ 555555555 

ลูกศรข้างซ้ายคือจุดที่โคโค่จอดให้เราลง ส่วนวงกลมข้างขวาคือจุดแลกตั๋วเข้าสวนสนุก ด้วยความโลกสวยเราก็เดินผ่านซุ้มประตูเข้ามาเลยจ้ะ ไม่ได้สนใจวงกลมฝั่งขวาอะไรทั้งสิ้น 5555

ระหว่างทางที่เดินเข้ามาเห็นมีรถขายน้ำอ้อยผสมมะนาวจอดอยู่ แล้วตลอดเวลาที่อยู่ดานังคือเห็นหลายร้านมากๆ บวกกับที่ Marble mountain เราไปผจญภัยมาอย่างหนักหน่วง ไม่ได้กินน้ำเลยสักหยด พอมาเจออันนี้ก็เลยได้โอกาสชิมเลยจ้ะ ราคาไม่แพง 10.000 VND เอง แก้วใหญ่มาก

เราก็เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ตามชิงช้าสวรรค์ไป

เดินไปก็กระดี๊กระด๊าถ่ายรูปเล่นกันไป ตอนนั้นก็ประมาณ 18.45 ปิดสามทุ่ม เวลาเหลือเฟือ ยัง ยัง ยังจะไม่เลิกโลกสวยอี๊กกกก 5555555

ฮึ๊บบบบ เกือบถึงแล้วอีกนิดเดียวววว คือระยะเวลาจากปากทางที่โคโค่จอดให้เราจนถึงนี่ประมาณเกือบ 1 km โคตรไกล

พอเข้ามาถึงเราก็เริ่มใจไม่ดีและ เพราะมันไม่มีจุดแลกตั๋ว เราก็เลยลองไปต่อแถวตรงที่เขาขายตั๋วอยู่ซึ่งแถวยาวมาก แล้วประเด็นก็คือคนก่อนหน้าเราก็แลกตั๋วไม่ได้ แต่เราก็ยังคงหลอกตัวเองอยู่ ไม่หรอกมั้งมันต้องแลกได้สิ 

พอถึงคิวเรามันก็แลกไม่ได้จริงๆ จ้าาาา TT^TT เราก็เลยถามพนักงานว่าให้แลกที่ไหน พนักงานก็ไม่รู้จ้าาาา เราก็เลยถามใหม่ว่าโรงแรม Fortune อยู่ตรงไหนเพราะมันขึ้นในเอกสาร เขาก็บอกให้เราเดินออกไปเลี้ยวขวา แค่นี้เลย แล้วต้องเลี้ยวขวาไกลไหมอะ เราก็เลยถามต่อว่าเดินประมาณกี่นาที เขาบอกประมาณ 5 นาที เราแทบทรุดอยู่ที่เคาเตอร์นั่นแหละ คือห้านาทีมันไกลมากเลยนะ TT^TT

เราก็ยังไม่ยอมรับความจริงก็เลยไปถามพนักงานอีกคน นางก็บอกว่าให้เดินกลับไปทางเดิมที่เรามานั่นแหละ เดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 500 เมตร คือแค่เดินเข้ามาก็ตัดกำลังไปเยอะแล้วนะ หิวข้าวด้วย ไม่อยากเดินออกไปอีกแล้ว ฮรือออออ TT^TT

เน็ตตอนนั้นก็ต่อไม่ได้ Wi-Fi ก็ไม่มี ดูเวลาก็เกือบทุ่มแล้ว ถ้าเดินออกไปอีกแล้วกว่าจะกลับเข้ามาอีก กว่าจะกินข้าวอีก ไม่ทันอะไรแล้ว เลยชวนเพื่อนกลับรอบที่ 1 5555555 เพื่อนก็ไม่ตอบรับอะไรใดใดทั้งสิ้น

สุดท้ายก็ฝืนใจเดินกับออกมาอีกเกือบกิโล ฮรือออออ เดินถามทางด้วย นั่งพักด้วย ฝืนกันมาเรื่อยๆ รูปอะไรฉันก็ไม่ถ่ายแล้ว โมเม้นท์นั้นเป็นอะไรที่อนาถมาก พอกับมานึกย้อนอีกที เราทำอะไรกันลงไปฟะ 

และในที่สุดเราก็มาถึงโรงแรม Fortune แล้ว หาโคตรยากเพราะมันต้องข้ามถนนไปอีกฝั่งนึง ถนน 4 เลนด้วย มืดด้วย ถนนที่เวียดนามด้วย น่ากลัวสุดๆ ใครจะมาเวียดนามหาคนข้ามถนนเก่งๆ มาด้วยคนนึง ไม่งั้นไม่ได้ไปไหนกันพอดี แล้วก็อย่าไปคาดหวังหาสะพานลอย ไม่มีนะจ๊ะ

แล้วพอมาถึงที่หน้าโรงแรม Fortune เน้นคำว่า "หน้าโรงแรม" มีโต๊ะขาพับเล็กๆ อยู่อันนึงกับลุงอีกคนนึง กำลังแลกตั๋วให้กับเกาหลีอยู่ โอ้ เรามาถูกทางแล้วเว้ยยยยย เราก็แลกตั๋วกันกับลุงไม่มีปัญหาอะไร แต่ไอครั้นจะให้เดินกลับฉันก็เดินไม่ไหวแล้ว เราก็เลยลองเปิดหา Wi-Fi ดู ปรากฎว่ามันขึ้น Wi-fi ของโรงแรมมา เรามีทางรอดแล้ว *0*

เราก็เลยถามลุงว่า ลุงมี Password ไหม ลุงก็ไม่เข้าใจ หยิบมือถือมาพิมพ์ใส่ Google Translate ประมาณว่านางไม่เข้าใจว่าเราพูดถึงอะไร เราก็เลยเหลือบไปมองตรงเคาเตอร์ในโรงแรมเราก็มองไม่เห็นใครสักคนเลย ดังนั้นความหวังเดียวของเราอยู่ที่ลุงนี่แหละ ก็เลยจะพยายามคุยกับลุงให้รู้เรื่อง

คือในโทรศัทพ์ที่ลุงยื่นมามันเป็นภาษาเวียดนามกับภาษาอังกฤษ ถ้าเราก็พูดใส่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงให้เข้าใจ คือภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้เก่งอะนะ ก็เลยถามลุงว่ามีภาษาไทยไหม ไทยแลนด์ ไทยแลนด์ ลุงก็ไม่เข้าใจอี๊กกกกก คือคนเวียดนามเขาไม่ออกเสียงว่าไทยแลนด์ เขาจะออกว่า ไท่หลาง ไท่หลาง 

เราก็แบบหัวร้อนนนน เหนื่อยด้วย หิวด้วย คุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้สุดๆ ถามเพื่อนรอบที่ 2 กลับกันไหม ตีกับลุงนี่ก็เสียเวลามากแล้วนะ ถ้าจะให้เดินเข้าไปอีกไม่ไหวแล้วนะ TT^TT เพื่อนก็ยังคงนิ่งอยู่ 

นั่งสิ้นหวังอยู่กับขอบประตูโรงแรมตรงนั้น พยายามต่อเน็ต หา Wi-fi อื่น เปิดปิด Pocket Wi-Fi คือทำทุกวิถีทางและ ไม่ได้อะไรสักอย่าง แล้วลุงก็พยายามสื่อสารกับเรานู้นนี่ คือมันก็ไม่รู้เรื่องอะ ก็ถามเพื่อนรอบที่ 3 กลับกันไหม เข้าไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วนะ TT^TT เพื่อนก็ยังคงนิ่งอยู่

สักพักเพื่อนเห็นว่าตรงเคาเตอร์มีคนอยู่เลยบอกให้เข้าไปถาม แล้วทำไมตอนนั้นเรามองไม่เห็นฟะ จะได้ไม่มาหัวร้อนกับลุงเนี่ยยย สุดท้ายเราก็ได้ Password มาเรียก Grab ตอนประมาณทุ่มครึ่ง ราคา 22.000 VND

พอแลกตั๋วเข้ามาได้ปุ๊บเห็นว่ามันมีตู้กดน้ำอยู่ ใส่แบงค์ลงไปใส่ไม่ได้อี๊กกกกกก หัวร้อนนนนน 555555 ด้วยความรีบเพราะสวนสนุกใกล้ปิดแล้ว ตอนนั้นก็หิวข้าวกันมาก เลยหาที่กินข้าวกันก่อน ที่กินข้าวก็ไกลเหลือเกินเธอเอ๊ย ต้องเดินย้อนไปอีกเกือบครึ่งทาง แล้วทางก็ลึกลับซับซ้อนมาก เราก็รีบๆ เดินกันไป

มาถึงห้องอาหารกันประมาณ 19.45 คืออาหารมีให้เลือกเยอะมากกกกกกกกก แต่เราเหนื่อยบวกเวลาน้อยทำให้กินได้นิดเดียวเอง เสียดายสุดๆ TT^TT แล้วก็ต้องรีบกินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วด้วย แต่ก็ยังนานอยู่ดี 20.15 แล้ววววว อย่างน้อยต้องไปขึ้นชิงช้าสวรรค์ให้ทัน 

ใกล้ถึงชิงช้าสวรรค์แล้วววววว อีกนิดเดียววววว

แล้วเราไม่มีแผนที่ในสวนสนุกหรือมีก็ไม่รู้นะ เราก็เดินมองชิงช้าสวรรค์ไป ปรากฏหาทางเข้าไม่เจอจ้าาา ยิ่งรีบยิ่งสติแตก 5555

เรามาถึงทางขึ้นตอน 20.22 ในใจตอนนั้นคือกลัวจะไม่ได้ขึ้นมากเลย เพราะสวนสนุกใกล้ปิดแล้ว แต่ยืนต่อแถวแป๊ปเดียวก็ได้ขึ้น พนักงานถามเราว่ามากี่คน เราก็บอกว่ามา 2 คน เขาก็ให้เราขึ้นไปเลยแค่ 2 คน ดีงามมากกกกก

พอพนักงานปิดประตูเสร็จ มันยังไม่ทันเลื่อนขึ้นไปไหนเลย เราสองคนก็นั่งกรี๊ดๆ ร้องไห้กันในนั้นแหละ เสียงดังมากกก คนที่ยืนต่อแถวรอข้างนอกคงตกใจอะ 5555 มันคือความเหนื่อย ความหิว ความหัวร้อน มันอัดอั้นมาทั้งวันแล้ว 

พอเราได้มาทันขึ้นชิงช้าสวรรค์มันเหมือนเยียวยาความเหนื่อยยากวันนี้ไปเลย แล้ววิวที่ได้คือสวยมากกกกกกก คือถ้าเพื่อนเราตอบตกลงว่ากลับไปก่อนจะเป็นอะไรที่เสียดายมาก อันที่จริงแค่มากินข้าวกับนั่งมองวิวเมืองดานังแบบนี้มันก็คุ้มกับสองร้อยที่จ่ายไปแล้วอะ แต่เสียดายที่เราไม่ทันได้นั่ง monorail ที่อยากนั่ง เราสัญญากับตัวเองไว้เลยว่า ถ้าได้มาดานังอีกต้องมาซ่อมที่นี่แน่นอน อยู่ตั้งแต่เปิดยันปิดไปเลยจ้าาาา 55555

ใช้เวลาบนชิงช้าสวรรค์ประมาณสิบนาที เวลาประมาณ 20.45 ยังมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย เราก็มาถ่ายรูปเก็บบรรยากาศที่นี่ให้มากที่สุด

เราอยู่กันจนหยดสุดท้าย จนเขาต้องมาปิดประตูทีละบาน ทีละบาน แล้วเริ่มให้คนออก ฮรือออออออ ใจหายมากกกกก เราก็ออกมากันเป็นกลุ่มท้ายๆ เลย

ผู้คนก็ออกมาเรียกรถกลับกันเต็มเลย ลืมบอกไปเราต่อ Wi-fi ได้ตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้ว เราก็เลยจะกดเรียก Grab กลับ Hostel แล้วมันก็มีประเด็นต่อว่าพอหมดเวลาปุ๊ปเขาก็ปิดไฟกันเร็วมาก Wi-fi ที่เคยสัญญาณดีๆ ก็ต่อไม่ได้แล้วจ้าาาา แล้วเราจะกลับกันยังไง๊ 

เราสองคนก็พยายามเดินหาสัญญาณ Wi-fi กัน อนาถมาก 55555 ของเราเนี่ยต่อไม่ได้เลยยยยย ฝากความหวังไว้ที่เพื่อนเราแล้วแหละ ที่ต่อสัญญาณได้แบบริบหรี่ๆ สมัคร Garb เสร็จเน็ตก็หลุดอีก พอจะกำหนดจุดเน็ตก็หลุดอีก กว่าจะได้คนขับ โอ่ยยยยหยั่งลุ้น 5555555 พอเรากดเรียกแกรบได้เน็ตก็หายไปเรียบร้อย 

เราก็เลยพยายามมองหาทะเบียนรถไว้ รอนานมาก แล้วเหมือนเน็ตมันก็กลับมาต่อได้อีก เห็นว่าแกรบใกล้มาถึงแล้ว เราก็เลยเดินๆ ไปมองหา จังหวะหันกลับมาเห็นป้ายทะเบียนรถพอดี แล้วเรายืนอยู่ไกลมาก แล้วสายตาเห็นคู่ปู่ย่ากำลังคุยกับ Grab ของเรา ด้วยความกลัวไม่ได้กลับ เราก็เลยตะโกนไป "Diver!!!!" เสียงดังมากท่ามกลางมวลมหาประชาชีแถวนั้น ณ เวลานั้นคือไม่อายและ กลัวไม่ได้กลับ 555555

แล้วคนขับรถก็หันมาบอกเราว่า เขาได้ปฏิเสธสองคนนั้นไปแล้ว 555 แล้ว Grab คนนี้คืองานดีม๊ากกกก ภาษาอังกฤษก็ดีดี๊ ชวนคุยตลอดทาง เสียดายที่เราอยู่ดานังคืนสุดท้ายแล้ว

และแล้วเราก็กลับมาถึง Hostel กันแบบหยั่งเยิน แผ่นแปะที่มีก็ประโคมแปะเข้าไปค่ะ 55555 ส่วน Day 3 เราจะไปไหนกัน ไปกันยังไง ติดตามในตอน [ลุยโลกกว้างที่ดานัง (ตอนที่ 9)] และสามารถติดตามเรื่องราวอื่นๆ ของเราได้ที่ [https://th.readme.me/id/JKtrytotry] หรือพูดคุยกันได้ในเพจ "Try to Try ก็แค่ออกไปลอง" แล้วจะรู้ว่าการก้าวออกจาก Comfort zone ของตัวเองมันสนุกแค่ไหน

ความคิดเห็น