หลังจากหายไปนาน ก็มาเริ่มรีวิวให้จบทริป ใครที่เพิ่งมาอ่านก็สามารถอ่าน
ตอนที่ 1.1 https://th.readme.me/p/2439
ตอนที่ 1.2 https://th.readme.me/p/2463

หลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผ่านพ้นไป เริ่มต้นเช้าวันใหม่ในกัวลาลัมเปอร์ เริ่มด้วยการที่เราแบกเป้ออกจากที่พักแต่เช้า แล้วเดินไปสถานีรถไฟ kuala Lumpur Sentral ดูจาก แผนที่แล้วไม่ไกลมากประมาณ 1 กิโล เราจะเอาเป้ไปฝากไว้ที่สถานีรถไฟ แล้วออกเที่ยวทั้งวัน และ ตอนเย็นมาเอาเป้ ขึ้นรถไฟไป สิงคโปร์ได้เลย

ที่ kuala Lumpur Sentral มีที่ฝากกระเป๋า 2 แบบ คือ
แบบที่เป็นตู้ฝาก มีขนาดตั้งแต่ 5,10,15,20 ริงกิต แล้วแต่ขนาดตู้ เราต้องดูขนาดตู้ที่จะใส่เป้เราได้ จากนั้น ก็ไปแลกเหรียญกับคนที่ดูแลตู้(จะนั่งอยู่แถวตู้ๆ ) สำหรับเปิดตู้ จากนั้นก็ทำการล็อค ข้อดีคือ ถ้ามาหลายคน ก็หารตู้ใหญ่ ก็น่าจะคุ้ม แต่ข้อเสียคือ เราจะทำการเปิดตู้ได้เพียงครั้งเดียว ถ้าปิดตู้ไปแล้ว แต่เราดันลืมของ เราจะต้องเสียตังใหม่เลย

แบบเป็นเค้าเตอร์รับฝากกระเป๋า จะอยู่บริเวณชั้นสอง ด้านหน้าฝั่งซ้าย ราคาจะอยู่ที่ใบล่ะ 5 ริงกิต

มาครั้งนี้เราได้ลองทั้งสองแบบ โดยเราไปเสียตังหยอดตู้ก่อน เก็บของเรียบร้อย ก็ไปหาข้าวกิน ซึ่งไปได้หมี่ผัด อารมณ์ประมาณผัดซีอิ้วบ้านเรา แต่มีเส้นกะเศษไข่ (ทั้งกล่องมีไข่อยู่เท่านี้จริงๆ) กินให้พอไม่หิว แล้วค่อยไปหาข้าวมื้อกิน


กินเสร็จ ก็ซื้อตั๋วรถไฟ เราจะไป ถ้า batu กัน เป็นถ้ำของศาสนาฮินดู มีรูป ปั้นนันทกุมาร องค์โตสูงใหญ่ มาก อยู่บริเวณทางขึ้นตัวสถานี batu caves จะอยุ่ติดกะตัวถ้ำเลย เดินออกจากสถานี ก็ถึงประตูทางเข้าถ้ำเลย เข้ามาจะเจอรูปปั้มหนุมานยืนตัวเขียวตอนรับอยู่

เดินไป ไม่ไกลมาก ก็จะถึงทางขึ้น จะมีรุปปั้นนันทกุมารยืนอยู่ เราจะต้องปีนบรรไดประมาณเกือบ 300 ขั้น ก็จะถึงถ้ำที่มีเทวสถานของศาสนาฮินดูอยู่

หลังจากเดินสำรวจถ่ายรูปจนพอ ก็ได้เวลาออกเดินทาง ตอนบ่ายตั้งใจจะไป เมืองปุตราจายา เมืองสร้างใหม่ของมาเลเซีย เราต้องกลับไปตั้งต้นกันที่ kuala Lumpur Sentral แล้วถึงไปเปลี่ยนไปใช้สาย klia transit โดยสายนี้จะวิ่งระหว่างสถานบิน เข้าสู่เมืองหลวง แต่เราจะลงกันที่ สถานี putrajaya แต่เพื่อนดันแบตกล้องหมดแล้วลืมแบตสำรองไว้ที่เป้ เราจึงต้องเปิดตู้เพื่อเอาแบตกล้อง เราเลยเอาเป้ไปฝาก ที่เคาเตอร์ ชึ่งถูกกว่า 2 ใบ แค่ 10 ริงกิต ด้วยเป้เราเป็นเป้ใหญ่ด้วย การฝากแบบตู้เลยแพงกว่า

รถไฟวิ่งมาสัก 30 นาที ก็ถึงสถานี เดินออกมา ก็มาถึง สถานีรถบัส มีรถสายต่างๆมากมาย

เราจะไปมัสยิดสีชมพู อันขึ้นชื่อของเมืองแห่งนี้ โดยเมืองแห่งนี่เป็นเมืองที่สร้างจากการวางแผน เพื่อที่จะย้ายหน่วยงานราชการทั้งหลายของมาเลเซียมาอยู่ในเมืองนี้แห่งเดียว เมืองนี้เลยถูกสร้างจากการคิด วางแผน ทำให้เมืองสวย น่าท่องเทียวเป็นอย่างมาก

หลังสอบถามประชาสัมพันธ์เราต้อง ขึ้นรถสาย 502 เพื่อไปมัสยิดสีชมพู ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที เราก็มาถึง สิ่งแรกที่เห็นมัสยิดคือสวยงามมาก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ


ว่าภายนอกสวยแล้วแต่ภายในสวยยิ่งกว่า ลืมบอกไปก่อนเข้าไปภายในมัสยิด เราต้องไปเอาเสื้อคลุมมาใส่เพื่อให้สุภาพ

หลังจากถ่ายรูปจนเพลิน ถึงเวลาเดินสำรวจเมืองนี่กัน เราตั้งใจจะเดินไปมัสยิดสีเงิน ที่อยุ่ถัดไป ประมาณ 2 กิโลกว่า ถ้านั่งรถบัส เราก็จะไม่ได้เห็นเมืองแบบเต็ม เราเลยตัดสินใจเดินกลางแดด เวลา บ่ายสาม แต่มันคุ้มค่ากับการเดินมาก



เดินมาเรื่อยๆ ในที่สุดก็มาถึง มัสยิดสีเงิน แต่ด้วยเวลาที่เย็นแหละ เราจะไปไม่ทันดูไฟที่ตึกแฝด เราถึงถ่ายรุปอยู่ด้านนอกไปได้เข้าไปภายใน

เราก็นั่งรถบัสกลับมายังมัสยิดสีชมพู เพื่อขึ้นรถบัสกลับ ชึ่งเราสามารถกลับได้ 2 ทาง คือนั่งบัสสายเดิม ฝั่งตรงข้าม เพื่อกลับไปสถานีรถไฟเดิม แต่อันนี้จะใช้เวลา 45 -ุ 60 นาที เพราะบัสจะไปอ้อมเมือง แต่ถ้าเราขึ้นสายเดิมฝั่งเดิมที่ลงมาดูมัสยิด แล้วไปลง สถานี ktm serdang จะประหยัดเวลาได้มาก และค่าตั๋วก็ถูกกว่ามากก

เรามาถึง kuala Lumpur Sentral ประมาณ 6 โมงเย็น เราเทียวจนลืมไปเลยว่ายังไม่ได้กินข้าวเทียงเลย เลยตัดสินใจก่อนไปตึกแฝด แวะหาข้าวกินที่ ไซน่าทาว ที่นี้แปลกดี ให้เราตักกับเอง จะมากจะน้อยแล้วแต่เราเลย ตักพอ ก็เอาไปให้คนขายคิดตัง คนขายไม่รู้เป็นคนชาติไหน แต่พูดภาษาไทยได้อ่ะ


กินอิ่ม ก็ไปนั่งรถไฟไปดู ไฟตึกแฝด ตึกที่เคยสูงสุดในโลก

ดูไฟเสร็จตั้งใจจะมาอาบน้ำที่สถานี แต่ดันมาถึง ช้าไป ห้องอาบน้ำที่สถานี ปิด 3 ทุ่ม เรามาก็ 3 ทุ่มครึ่งแหละ เลยต้องให้วิะีเช็ดตัวแทน คืนนี้เราจะนอนบนรถไฟ พุ้งนี้เช้าตื่นมาเราจะอยุ่ที่ เมืองยะโฮร์ บาห์รู เพื่อข้ามไปยังประเทศสิงคโปร์ มีเรื่องราวสนุกๆมันส์อีกมากที่รออยู่ แล้วเจอกัน ในตอนจบของทริป รถไฟ....ไปไกลได้แค่ไหน
ความคิดเห็น