เบตง ผมรู้จักชื่อนี้ครั้งแรก คงต้องย้อนกลับไปไกลสมัย หนังเรื่อง โอเค..เบตง ภาพในหนังชวนฝันให้ไปเยือนสักครั้ง แต่กว่าจะได้ไปก็ผ่านไปเกือบ สิบปี ทริปนี้ คิดแล้วก็ล่มประมาณ 3 รอบ (เนื่องด้วยเหตุการณ์ไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก่อนจะไปทริปนี้ก็เกิด ระเบิดใหญ่ที่เบตง ) ทริปนี้จึงเริ่มต้นขึ้น


ด้วยความชื่นชอบส่วนตัว กับรถไฟชั้น 3 เวลานั่งมันให้ความรู้สึกอบอุ่นดี มีคนชวนคุย แบ่งปันขนมกัน มีวิถีชีวิตจริงๆของผู้คน และที่สำคัญวิวข้างทางมันก็แปรเปลี่ยน จากเมือง เป็น ป่า จาก ป่า เป็น เมือง เหมือนหนังที่ฉากไม่ซ้ำกัน ซึ่งต่างจากเครื่องบิน วิวที่เห็นมีแต่ก้อนเมฆเท่านั้น ความตั้งใจแรกเลยจะนั่งรถไฟฟรีไปลงหาดใหญ่ แล้วค่อยหารถต่อไปเบตง แต่ดันผิดแผน ไปเอาตั๋วรถไฟฟรีไม่ทัน ก็เลยจัดรถไฟชั้น 2 แบบ พัดลมแทน



เวลาประมาณ 13.00 รถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากหัวลำโพง ตามกำหนดการ เราจะไปถึง หาดใหญ่ กันก่อน 6 โมงเช้า แต่ตามสถิติแล้วถ้ารถไฟไทย ถึงตรงเวลา วันนั้นหิมะคงตกที่เมืองไทยเป็นแน่ แล้วก็ตามคาด รถไฟเลทไปประมาณ 2 ชม

ในที่สุดเราก็มาถึง หาดใหญ่ ด้วยสภาพที่ไม่ได้อาบน้ำมาทั้งคืน เราต้องหารถไปเบตงก่อนตามที่อ่านรีวิวมา
จากหาดใหญ่ ไปเบตง มี 2 ทาง คือ 1. ทางยะลา ข้อดีวิวสวยกว่าทางมาเล ค่ารถถูกกว่า ข้อเสีย ใช้เวลาเดินทางนานกว่าเพราะมีจำนวนโค้งที่มหาศาลมาก และ 2. ทางมาเลเซีย ข้อดีคือเร็ว และจะสามารถแวะถ่ายรูปกับ ป้ายใต้สุดสยามได้ที่ด่านเบตง ซึ่งห่างจากตัวเมืองเบตง 7 กิโล แต่ข้อเสียคือ ต้องมีพาสสปอต และค่ารถที่แพงกว่า

เราเลือกไปทางมาเล ด้วยเหตุผลเดียวคือ อยากได้รูปกับป้ายใต้สุดสยาม นั้นเอง 55555

ในที่สุดเที่ยงกว่าๆ เราก็มียืนอยู่ในเบตง เมืองที่อยู่ใต้สุดแดนสยามแห่งนี่ ภาระกิจต่อมา คือหาที่พัก มาแบบไม่รู้อะไรเลย พอดีพี่คนขับก็แนะนำโรงแรมให้ ชื่อ Modern Thai Hotel ราคาไม่แพงคืนล่ะ ประมาณ 700 แต่คุณภาพดีมาก

เราก็ออกเดินสำรวจเมืองกัน เบตงเป็นเมืองขนาดเล็ก สามารถใช้เท้าเดินสำรวจได้ เราเริ่มจาก อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์
เป็นอุโมงค์รถยนต์รอดแห่งแรกของประเทศไทย เราสามารถเดินทะลุออกมาอีกฝั่ง จะเจอ รูปปั้นไก่เบตง ตัวผู้และตัวเมีย ยืนตอนรับอยู่

นอกจากไก่แล้วยังมีป้ายใต้สุดแดนสยาม ไว้ให้ถ่ายรูปอีกด้วย

หลังเดินสำรวจเมืองบางส่วน ก็ใกล้เวลาพระทิตย์เลิกงานแหละ เลยกลับไปนอนเอาแรง รอเวลามาถ่ายไฟกลางคืนที่เค้าว่าสวยมาก


รูปนี้ถ่ายจากห้องพักของ รร จะเห็นอาคารพิพิธภัณท์เบตง ที่ด้านบนทำเป็นที่ชทวิว เมืองเบตง ส่วนด้านล่าง ก็เป็นอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ ที่เราไปเดินสำรวจมาเมื่อช่วงบ่าย


หอนาฬิกา เมืองเบตง ที่สวยงามมาก(จะสวยกว่านี้ถ้าเอาสายไฟลงดินให้หมด)



ถัดมาก็คือ ตู้ไปรษณีย์ที่สูงใหญ่ที่สุดในโลก ตู้นี้ยังสามารถใช้งานได้จริง ไม่ได้สร้างไว้โชว์เท่านั้น

เช้าวันใหม่ เราควรเริ่มต้นกันที่นี้ ตลาดสดเทศบาลเบตง หาไรอร่อยๆกิน มาเบตงทั้งที เราต้องควรได้กินไก่เบตงสินะ

ข้าวมันไก่เบตง เนื้อไก่แน่นมากก หอมอร่อยยยมากกก หลังจากนี้เราก็ควรไปหาติ่มซำ่ กินกะน้ำชาซะหน่อย

ติ่มซ่ำอร่อยมากกก จนอยากสั่งทุกอย่าง แต่ปริมาณท้องมีจำกัดจึงเลือกได้แต่ของชอบมาลองทาน กินจนอิ่มก็พร้อมออกเดินสำรวจเมืองต่อแหละ

เมื่อเดินมาเรื่อยๆก็เจอวัดพุทธาธิวาส ที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก กำลังเดินอยู่ ก็มีคุณลุงเดินเข้ามาทักเป็นภาษาอังกฤษ สงสัยลุงคิดว่าเป็นคนสิงค์โปร์แน่เลย พอบอกว่าเป็นคนไทย ลุงแปลกใจกว่าเดิม ลุงบอกคนไทยไม่ค่อยมาเที่ยวกัน เบตงจะมีแต่คนมาเลย์ สิงค์โปรมาเที่ยว ที่นี้ลุงก็โปรโมทเบตงแบบไม่หยุด แนะนำโน้นนี่นั้นเต็มไปหมด เราได้แต่เป็นคนรับฟังที่ดี เก็บมันทุกอย่างที่คนพื้นที่บอกว่าดี ก็อย่างว่า บอกว่า 3 จังหวัดชายแดนไทย แค่บอกว่าจะไปก็มีแต่คนหาว่าผมบ้า จะไปทำไมที่อันตรายขนาดนั้น ผมอยากบอกเลย ว่ามันไม่ได้อันตรายขนาดนั้น ผู้คนก็ยังใช้ชีวิตกันปกติ ยังสามารถมาท่องเทียวได้แบบสบายมากกก

ไหว์พระขอพรกันเรียบร้อย รั้วติดกันเลย ก็เป็น รร จงฝามูลนิธิ ที่มีรูปแบบจีน ตัวอาคารสวยงามมาก(ตอนไปเพิ่งจะทาสี รร ใหม่)


ตรงข้ามกับ รร ก็มีศาลเจ้าอยู่ เราก็ได้แวะเวียนเข้าไปไหว้พระ ขอพรกัน มีทั้งแบบจีนและพรามหณ์

เราก็เดินตามหาวัดจีน ที่มองจากห้องพักแล้วเห็นเป็นเจดีย์ กว่าจะหาเจอก็หลงทางไปนานสองนานเหมือนกัน

ออกจากวัดเดินตามทางขึ้นเขาไปเรื่อยๆๆ เราก็มาหยุดอยุ่ตรง พิพิธภัณฑ์เบตง จะรอช้าอยู่ทำไม ขึ้นไปดูกันสิ


สิ่งแรกที่สะดุดตา คือ กบภูเขาในขวดดอง ที่มีขนาดใหญ่โครตตต

ที่นี้รวบรวมทุกอย่างเกี่ยวกับเมืองเบตงไว้หมด ทั้งประวัติศาสตร์ เครื่องใช้ วิถีชีวิต ร่วมถึงของอร่อยให้อ่านเราไปตามรอยกัน


ปีนกันมาถึง 5 ชั้น เหนื่อยแต่โครตคุ้ม เราสามารถมองเห็นเมืองเบตงได้ทั้งหมด สมกะชื่อ เมืองในหุบเขาอย่างแท้จริง(เค้าว่ากันว่า เช้าๆๆ เมืองทั้งเมืองจะปกคลุมไปด้วยหมอก) ชมวิวจนอิ่มใจ เราก็เดินกันต่อ ออกมาจากพิพิธภัณท์ เดินไปหน่อยเราจะเจอสนามกีฬาที่ว่ากันว่า อยู่สูงสุดในประเทศไทย และ สวนสุดสยาม


เดินกันมา 4 ชม กว่าเราควรหาไรกินเติมพลังก่อนจากลาเมืองเบตง มาเบตงก็ต้องกินไก่เบตงแบบดังเดิมสิ จะรอไรเราไปหากินกันดีกว่า

ไก่เบตง ในน้ำซีอิ้ว รสชาติเกินบรรยายจริง ใจก็อยากลองชิมอาหารอย่างอื่นนะ แต่มีท้องเดียว ก็เลยสั่งได้แต่เมนูเด็ดอันเดียว อันอื่นรอรอบหน้านะ จะมาลองใหม่ กินเสร็จก็เดินหาไปรษณีย์ ส่งโปสการ์ดดีกว่า ให้ตัวอักษรมันเดินทาง ไปบอกเล่าเรื่องราวดีกว่า มาไปรษณีย์แต่กลับเจอ มัสยิด ที่สวยงาม (เบตงนี้ คนอยู่กันหลายศาสนากันมาก พุทธไทย พุทธจีน อิสลาม)

ในที่สุดก็ได้เวลาอำลาเบตง แต่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะมาเยือน ตอนรอเวลาที่ใช้รถเบ็นซ์มาทำเป็นแท็กซี่(เป็นแท็กซี่ทีเดียวในไทยที่ใช้เบ็นซ์มาทำ เพราะสภาพถนนจากยะลาไปเบตง มีทางที่คดเคี้ยวมาก รถญี่ปุ่นไม่สามารถ ก็ต้องใช้รถยุโรป)มารับ ได้คุยกะพนักงาน รร ก่อนมา ได้เคยยินว่าที่ยะลายังมีชนเผ่าซาไก อยู่ เลยคุยกะพี่เค้าว่าอยากเจอซาไกต้องไปที่ไหน พี่เค้าก็บอกว่า ซาไกเดียวนี่ก็เหมือนคนเมืองแล้ว ใส่เสื้อผ้า ขับรถ เหมือนคนทั่วไป ถ้าอยากเจอแบบที่ยังไม่พัฒนาต้องเข้า ป่าฮาลา บาลา โน้น ยอมรับเลยเป็นครั้งแรกที่ได้ยินชื่อนี้ ป่าอะไร มีอยู่ในไทยด้วยเหรอเนี่ย มีคำถามอยู่เต็มไปหมด ได้แต่เก็บความสงสัยกลับกรุงเทพ


ได้เวลาเดินทางต่อแล้วสินะ จุดหมายปลายทางของทริปนี้ มันคงไม่ใช่เบตง เรากำลังจะนั่งรถแท็กซี่ไปยะลา เมืองที่เค้าว่ากันว่ามีผังเมืองที่สวยสุดในประเทศไทย ไม่นานเกินรอเราจะไปถึงที่นั้นกัน ติดตามต่อใน นั่งรถไฟ........ไป เบตง1.2 กับการเดินทางที่จดจำไปตลอดชีวิต....แล้วพบกันใหม่

Teerasak Tangkittimasak

 วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.51 น.

ความคิดเห็น