อินส์บรุค เมืองงามกลางหุบเขา (1)

เดินทางท่องเที่ยวนั้นชอบ แต่ที่ไม่ค่อยชอบคือการนั่งเครื่องบินนานๆหลายชั่วโมง เพราะคนพอกินพอใช้เช่นเราจองตั๋วเครื่องบินแต่ละครั้ง ไม่มีทางที่จะจองที่นั่งแบบ First Class หรือ Bussiness Class ให้กระเป๋าแฟ้บ จึงต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งบนที่นั่งแบบ Economy Class ที่ทำได้อย่างมากแค่เพียงปรับเบาะที่นั่งเอียงเป็นมุมแค่ 5 องศา ซึ่งแค่นี้ก็แทบจะชนเข่าคนที่นั่งข้างหลังแล้ว ยิ่งคนตัวยาวขายาวเช่นผม ยิ่งต้องนั่งอย่างทรมานมากขึ้นไปอีก แต่อย่างไรก็ตาม การเดินทางด้วยสายการบินออสเตรียนแอร์ไลน์สที่แม้ราคาจะสูง แต่ก็มีข้อดีคือเป็นการบินตรงสู่กรุงเวียนนา จึงไม่ต้องข่มตาให้ตื่นเพื่อไปต่อเครื่องกลางดึก ไฟล์ที่เราเดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 23.45 น. ใช้เวลาเดินทาง 10 ชั่วโมง ถึงสนามบินเวียนนาเวลา 05.35 น. โดยประเทศออสเตรียเวลาช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง ซึ่งดูจากเวลาแล้ว เป็นการเดินทางที่เวลาดีมากๆ เพราะเป็นการเดินทางเวลากลางคืน ถึงกรุงเวียนนาเช้าพอดี ออกจากสนามบินก็สามารถเที่ยวได้อย่างเต็มที่ทั้งวัน แต่นั่นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่า สามารถข่มตาหลับได้ในระหว่างการเดินทาง ซึ่งเอาเข้าจริงๆผมแทบจะไม่ได้หลับเลย หลังจากลงเครื่องที่สนามบินเวียนนา ผมจึงอยู่ในอาการสลึมสลือ และที่สำคัญแผนการเดินทางของเรานั้นไม่ได้เริ่มต้นที่กรุงเวียนนา หากแต่ไปเริ่มต้นที่เมืองอินส์บรุค เมืองหลวงของรัฐทิโรล ซึ่งตั้งอยู่ทางฟากตะวันตก เกือบจะสุดขอบประเทศออสเตรีย

เพราะเวลาในการเดินทางที่จำกัด ในขณะที่สถานที่ที่อยากไปนั้นมีเพียบ อีกทั้งยังต้องวางแผนการเดินทางให้วนกลับมาบริเวณกรุงเวียนนาเพื่อเจอน้องเนกับพี่เดือนที่จะมาสมทบ แล้วเที่ยวด้วยกันช่วงกลางทริป การวางแผนเดินทางทริปนี้จึงยากไม่ใช่เล่น สุดท้ายผมกับเต้ยจึงเลือกที่จะไปตั้งต้นการเดินทางที่เมืองอินส์บรุค ทางฝั่งตะวันตกของประเทศ แล้วค่อยๆเดินทางมาทางตะวันออกเที่ยวเก็บเมืองระหว่างทาง จนมาพบกับน้องเน พี่เดือนที่เมืองกราซ ซึ่งตั้งอยู่ติดกรุงเวียนนา ช่วงแรกๆของการเดินทางจึงออกจะเหงาสักนิด เพราะเป็นการเดินทางของ 2 หนุ่ม โดยปราศจากสีสันของ 2 สาวขาลุย

หลังจากได้กระเป๋าเดินทางเป็นที่เรียบร้อย ผมกับเต้ยก็ไม่รอช้าที่จะลากกระเป๋ารอดอุโมงค์ภายในอาคารผู้โดยสารไปยังสถานีรถไฟซึ่งอยู่ด้านล่างของสนามบิน เพื่อรอขึ้นรถไฟที่จะมาเทียบชานชลาในเวลา 06.55 น. ซึ่งในระหว่างการเดินทางเราก็แอบมีลุ้นอยู่นิดๆว่าเครื่องบินซึ่งออกจากสนามบินสุวรรณภูมิช้ากว่ากำหนดเกือบครึ่งชั่วโมงนั้น จะถึงสนามบินเวียนนาตรงตามเวลาไหม เพราะหากเครื่องดีเลย์ ก็หมายถึงเราอาจจะพลาดขบวนรถไฟ ซึ่งไม่ใช่ค่าตั๋วที่จ่ายเงินไปแล้ว แต่หมายถึงกำหนดการเดินทางจะรวนไปหมดตั้งแต่วันแรกของการเดินทาง

ภายในรถไฟนั้นมีที่นั่งสะดวกกว้างขวาง เห็นเช่นนั้นจึงได้โอกาสที่ผมจะได้หลับให้หายง่วง แต่เอาเข้าจริงๆ ด้วยทัศนียภาพของธรรมชาติที่สุดแสนสวยงามที่มองผ่านกระจกรถไฟ ก็ทำให้ผมหลับไม่ลง จนตาสว่างไปตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นภาพทุ่งหญ้าเขียวขจี บ้านเรือนหลังน้อยปลูกสร้างขึ้นอย่างน่ารัก ทิวไม้ที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี สายน้ำใสที่ไหลเลาะไปในเมืองที่สงบงาม จนถึงขุนเขาที่สูงทะมึนที่มีหิมะปกคลุมอยู่เบื้องบน จนอยากจะกระโดดทะลุกระจกหน้าต่าง ออกไปสัมผัสภาพอันงดงามนี้อย่างชิดใกล้

ขบวนรถไฟเข้าเทียบชานชลาสถานีอินส์บรุคในเวลา 11.44 น. ตรงตามที่ระบุไว้บนตั๋วเป๊ะ เมืองอินส์บรุค (Innsbruck) เป็นเมืองหลวงของรัฐทิโรล (Tyrol) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศ เมืองแห่งนี้มีภูมิประเทศที่งดงาม โดยมีแม่น้ำอินน์ (Inn) ไหลผ่าน อีกทั้งยังโอบล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์ (Alps) จึงเป็นหนึ่งในเมืองงามอันดับต้นๆแห่งเทือกเขาแอลป์ งามจนแค่ผมเห็นภาพตัวเมืองเก่าที่มีเทือกเขาแอลป์ทอดตัวอยู่เบื้องหลังก็หลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้น จึงยืนยันกับเต้ยว่าอย่างไงก็ต้องไปเยือนเมืองนี้ให้ได้ แม้ว่าตำแหน่งที่ตั้งจะอยู่ค่อนข้างไกล และฉีกออกไปจากเมืองอื่นๆของการเดินทางครั้งนี้ก็ตาม

เมื่อเข้าสู่อาคารผู้โดยสารของสถานีรถไฟ เราก็ตรงดิ่งหาทางออกจากอาคารทันทีเพื่อไปที่พัก ออกมาปุ๊บสองสายตาก็ปะทะเข้ากับเทือกเขาแอลป์ที่ทอดตัวสูงทะมึนประชิดติดตัวเมืองชนิดให้ความรู้สึกว่าสามารถเอื้อมมือไปสัมผัสได้อย่างชิดใกล้ แต่แล้วเราก็ต้องย้อนกลับมายังอาคารผู้โดยสารอีก เพราะเราต้องซื้อ Innsbruck card บัตรใบเดียวที่ช่วยให้เราสามารถเที่ยวอินส์บรุคได้ทั้งเมือง เราตรงไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเข้าหลัก คนขายเป็นคุณลุงท่าทางใจดีที่นอกจากจะขายแล้วยังเต็มใจให้บริการแก่นักท่องเที่ยว แนะนำรายละเอียดการใช้ Innsbruck card ซึ่งเหมารวมทุกสิ่งอย่างเพื่อการท่องเที่ยว ทั้งค่าโดยสารรถสาธารณะ ค่ากระเช้าขึ้นยอดเขา และค่าบัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งภายในเมือง โดยเราเลือกซื้อแบบ 24 ชั่วโมง ด้วยราคา 43 ยูโร ซึ่งถือว่าราคาค่อนข้างสูง แต่หากเทียบกับค่าครองชีพของคนประเทศนี้แล้ว ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะแค่ใช้บริการขึ้นกระเช้าไปยอดเขา Nordkette ก็คุ้มแล้ว

ที่พักสำหรับเราวันนี้คือ Bistro's B&B ตำแหน่งที่ตั้งนั้นสุดแสนสะดวก จากสถานีรถไฟเดินไปทางตะวันตก ข้ามลำธารซิลล์ (Sill) แล้วเดินเลียบลำธารขึ้นเหนือไปถึงอีกนิดจนถึงสะพานอีกแห่งก็ถึงที่พักแล้ว แม้ระยะทางจะใกล้แค่ไม่กี่ร้อยเมตร แต่เชื่อไหมว่าเราใช้เวลานานเกือบครึ่งชั่วโมง เพราะทัศนียภาพที่ได้เห็นนั้นสุดแสนงดงามจากลำธารน้ำใสที่ไหลผ่านแมกไม้ซึ่งใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีอย่างงดงาม อีกทั้งยังอยู่ภายใต้อ้อมกอดของเทือกเขาแอลป์ที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี จนแทบไม่น่าเชื่อว่าห่างจากใจกลางเมืองเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเมตรก็สามารถสัมผัสความเป็นธรรมชาติและบรรยากาศชนบทได้ขนาดนี้

เรายังไม่สามารถเอากระเป๋าเข้าไปเก็บในห้องพักได้ เพราะที่ประเทศนี้เช็คอินเวลาบ่ายสอง จึงฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อบบี้ จากนั้นก็ได้เวลาเดินตัวปลิวออกไปท่องเมืองอินส์บรุค แต่ยังเดินไปไม่พ้นจากหน้าที่พักก็มีคุณป้าขี่จักรยานตรงเข้ามาทักทาย ได้ความว่าวันนี้เป็นวันชาติของออสเตรีย ในช่วงเวลากลางวันจะมีการแสดงดนตรีพื้นบ้าน เธอจึงชักชวนเราให้เดินเข้าไปในตัวเมืองเก่าเพื่อชมการแสดง ฟังดูแล้วก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัด หากทำเช่นนั้นเราก็หมดโอกาสที่จะได้ไปยังสถานที่ต่างๆตามที่ตั้งใจไว้ อีกทั้ง Innsbruck card ที่เพิ่งซื้อมาด้วยราคาที่ค่อนข้างสูงก็แทบไม่ได้ใช้ เราจึงต้องตัดใจแล้วทิ้งความเสียดายไว้ตรงนั้น

หากมี Innsbruck card การท่องเที่ยวในเมืองก็แสนง่ายเพราะสามารถใช้บริการรถ Hop on – Hop off ซึ่งวิ่งผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทุกที่ โดยมีจุดจอดและตารางเวลาเดินรถชัดเจน ให้บริการตั้งแต่เวลา 9.55 น. ไปจนถึงเวลา 18.43 น. จากที่พักจุดจอดที่ใกล้สุดคือ DefreggerstraBe ระหว่างการเดินไปจุดจอดรถ นอกจากโบสถ์ Pfarrkirche ที่สร้างด้วยอิฐอย่างแข็งแกร่งและสวยงามแล้ว เรายังได้ชมบ้านเรือนที่สร้างเป็นอาคารสูงราว 4 ชั้นในลักษณะห้องแถวที่ต่อเรียงกันไป ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่แต่ละกลุ่มอาคารนั้นสร้างด้วยรูปแบบและสีสันที่แตกต่างแบบตัดกันสุดๆ ดูแล้วสวยงามยิ่งนัก

สำหรับบนท้องถนนนั้นรถใหญ่แทบไม่มีให้เห็น เพราะคนที่นี่นิยมใช้รถคันเล็กประเภทซิตี้คาร์ และยังนิยมใช้จักรยาน โดยมีจำนวนจักรยานจอดในที่จอดพอๆกับรถยนต์ และเรายังได้เห็นตู้ไข่หยอดเหรียญ โดยหยอดเหรียญ 50 cen – 1 Euro แล้วหมุนก็จะมีไข่ตกลงมา ภายในนั้นจะมีของเล่นชิ้นน้อยที่แตกต่างกันไป ชวนให้นึกถึงสมัยเด็ก เพราะเมืองไทยในปัจจุบันหาตู้ไข่หยอดเหรียญแบบนี้ไม่ค่อยได้แล้ว

เราใช้เวลารอรถ Hop on – Hop off ไม่นาน รถก็วิ่งมาตามเวลาที่ระบุ ภายในรถมีบริการหูฟังทุกที่นั่ง ซึ่งจะบอกเล่าเรื่องราวของสถานที่สำคัญที่รถวิ่งผ่าน และมีจอมอนิเตอร์จุดจอดถัดไปอย่างชัดเจน จึงไม่ต้องกังวลว่าจะหลงหรือลงผิดที่ รถใช้เวลาวิ่งแค่ 10 นาทีก็ไต่เนินเขาพาเรามาส่งที่จุดจอด Schloss Ambras Innsbruck ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทแอมบราส (Ambras Castel) จุดหมายแรกของเราในวันนี้

จากจุดจอดรถต้องเดินด้วยระยะทางไกลพอควรกว่าจะถึงปราสาทแอมบราส แต่หากใจไม่เร่งรีบเกินไปนัก ความงดงามและร่มรื่นจากแมกไม้สองข้างทางก็ทำให้การก้าวเดินนั้นรื่นรมณ์ไม่ใช่น้อย สุดปลายเส้นทางเป็นที่ตั้งของปราสาทแอมบราส แต่เราไม่รีบร้อนที่จะเข้าไปชมภายในปราสาท เพราะถูกแรงดึงดูดจากทัศนียภาพอันตระการตาของเมืองอินส์บรุคที่มองจากมุมสูง โดยมีเทือกเขาแอลป์ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง ในขณะที่เบื้องหน้างดงามด้วยใบเมเปิลที่เปลี่ยนเป็นสีแดง ทิ้งตัวร่วงหล่นปกคลุมผืนหญ้าเขียวขจี ความงดงามง่ายๆที่ไม่ได้ถูกแต่งเติมนี้ทำให้เราหยุดตะลึงไปนานหลายนาที

ปราสาทแอมบราสแห่งนี้สร้างด้วยศิลปะในยุคเรเนอซองส์ โดย Archduke Ferdinand ที่ 2 เมื่อปีค.ศ.1529 เพื่อเป็นของขวัญแด่พระมเหสี ใช้เวลาสร้างหลายสิบปี จนแล้วเสร็จในปีค.ศ.1595 ซึ่งทั้งผู้สร้างและผู้รับไม่มีโอกาสเห็นความงามอย่างสมบูรณ์เมื่อปราสาทหลังนี้สร้างแล้วเสร็จ

ตัวปราสาทมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แบ่งอาคารออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเรียกว่า Upper มีความสูง 4 ชั้น ก่อด้วยอิฐสีขาว ตัดด้วยบานหน้าต่างสีแดง ยอดเป็นหอนาฬิกา ในขณะที่มีอีกส่วนหนึ่งคือ Lower เป็นอาคารที่ทอดยาวมีความสูง 2 ชั้น ภายในถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ชั้นล่างจัดแสดงชุดเกราะในยุคของอัศวิน ซึ่งมองดูไกลๆเหมือนเหล่าอัศวินกำลังตั้งพลรอต้อนรับผู้มาเยือน

สำหรับชั้นบนจัดแสดงผลงานศิลปะ ทั้งภาพวาด โมเดลต่างๆ รวมถึงของสะสมของกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองอินส์บรุคในอดีต แต่ที่ผมชอบมากที่สุดกลับไม่ได้เป็นของสะสมใดๆ หากแต่เป็นการเดินไปตามระเบียงที่สามารถมองเห็นความงดงามของปราสาทแอมบราสในส่วน Upper อยู่เคียงคู่กับพระเอกของเมืองคือ เทือกเขาแอลป์ที่ตั้งตระหง่าน ทำให้ความงดงามและความแข็งแกร่งถูกผสมเป็นหนึ่งเดียว

เราเข้าสู่ปราสาทแอมบราสในส่วน Upper ภายในนี้มีห้องหับหลายห้องมาก โดยส่วนใหญ่ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของสะสมเลอค่า แต่ก็ยังคงมีอีกหลายห้องที่ยังคงอนุรักษ์สภาพเดิมๆไว้ เช่น ห้องอาบน้ำ ที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการอาบน้ำของคนในอดีต รวมถึงมีโบสถ์คริสต์ขนาดย่อมอยู่ภายในปราสาทแห่งนี้ แต่สำหรับห้องที่โอ่โถงที่สุด ที่ไม่ว่าใครมาเยือนเป็นต้องหยิบกล้องขึ้นมาเก็บรูปไว้เป็นที่ระลึก นั่นคือห้องโถงสแปนิช (Spanish Hall) โดยผนังตลอดความยาว 43 เมตรเป็นภาพของกษัตริย์ 27 พระองค์ที่เคยปกครองแคว้นทิโรล ที่ถูกวาดขึ้นอย่างสวยงาม

เราอำลาปราสาทแอมบราสโดยใช้บริการรถ Hop on – Hop off เพื่อไปยังจุดหมายต่อไป ทีแรกดูจากตารางเวลาแล้วคิดว่ารถ Hop on – Hop off จะวิ่งยาวไปที่สถานีเคเบิลคาร์ขึ้นสู่ยอดเขา Nordkette เลย แต่กลายเป็นว่ารถทุกคันจะจอดพักที่พิพิธภัณฑ์ทิโรล พาโนรามา (Tirol Panorama Museum) เป็นเวลา 15 นาที จึงเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้เข้าไปเที่ยวชม

จริงๆแล้วผมก็คิดว่าจะไปที่แห่งนี้เหมือนกัน แต่ต้องตัดออกเพราะกลัวว่าจะไม่ทันขึ้นเคเบิลคาร์ แต่เมื่อรถหยุดพักเช่นนี้จึงตรงดึ่งเข้าไปภายในอาคารซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าเรื่องราวของชาวทิโรล ซึ่งเป็นชนชาติดั่งเดิมของแคว้นทิโรล (Tirol)

แต่เอาเข้าจริงๆเรื่องราวที่จัดแสดงภายในนั้นกลับไม่ดึงดูดเราเท่ากับทัศนียภาพที่ได้เห็นบริเวณจุดจอดรถ เพราะภาพที่ได้เห็นจากปราสาทแอมบราสว่างดงามแล้ว แต่ที่นี่งดงามยิ่งกว่า นั่นอาจเป็นเพราะเป็นจุดชมวิวที่เปิดโล่ง จึงเผยให้เห็นทัศนียภาพของเมืองอินสบรุคกับเทือกเขาแอลป์ได้เต็มสายตา

รถ Hop on – Hop off พาเราอ้อมเข้าไปสัมผัสใจกลางเมืองอินส์บรุค อีกทั้งยังข้ามแม่น้ำอินน์ในยังฝั่ง Mariahilf ก่อนที่จะข้ามแม่น้ำอินน์กลับมาพาซอกแซกไปในเขตเมืองเก่า โดยเราลงที่ป้าย Congress ซึ่งเป็นสถานีรถรางอันเป็นจุดเริ่มต้นในการขึ้นสู่ยอดเขานอร์ดเกตเต (Nordkette)

เราลงสู่สถานีรถรางที่อยู่ชั้นใต้ดิน ทีแรกหลงไปต่อแถวเพราะคิดว่าต้องนำบัตร Innsbruck card ไปแลกบัตรขึ้นรถรางก่อน แต่ทีไหนได้ เราสามารถนำบัตร Innsbruck card ไปแตะที่ประตูช่องทางเข้าได้เลย รถรางพาเราไต่ระดับความสูง 860 เมตรสู่สถานี Hungerburg ซึ่งแค่ความสูงขนาดนี้ ระหว่างทางเราก็ได้เห็นความงดงามของเมืองอินส์บรุคที่มีแม่น้ำอินน์ไหลผ่านกลางเมืองแล้ว

สถานี Hungerburg นั้นหน้าตาไม่ธรรมดา เพราะถูกออกแบบไว้อย่างสวยงามด้วยรูปทรงที่โค้งมนอย่างล้ำสมัย โดย Zaha Hadid สถาปนิกที่มีชื่อเสียงก้องโลก จากสถานีนี้เราใช้บริการเคเบิลคาร์ไต่ความสูงผ่านแนวต้นสนที่แผ่ปกคลุมผืนแผ่นดินบนภูเขาสู่สถานี Seegrube ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,905 เมตร ยิ่งสูงภาพเมืองอินส์บรุคที่อยู่เบื้องล่างก็เริ่มเล็กลง เล็กลงมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เราสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของขุนเขามากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน

และแล้ว แม้ว่าเราจะพยายามทำเวลาในการเดินทางมากเท่าไร แม้ว่าเราจะมาถึงสถานี Seegrube ก่อนเวลา 17.00 น. ซึ่งเป็นเวลาสุดท้ายที่ระบุไว้ว่าเคเบิลคาร์จะให้บริการระหว่างสถานี Seegrube กับสถานี Hafelekar แต่สุดท้ายเราไม่สามารถโดยสารเคเบิลคาร์ขึ้นสู่สู่สถานี Hafelekar ซึ่งเป็นสถานีสูงสุดของยอดเขา Nordkette ที่ความสูง 2,256 เมตร ได้อยู่ดี ทำได้เพียงยืนมองเคเบิลคาร์เปล่าที่ปราศจากผู้โดยสารไต่ความสูงสู่สถานี Hafelekar เพื่อรับนักท่องเที่ยวที่อยู่บนนั้นลงมา

แม้จะไม่มีโอกาสขึ้นสู่สถานี Hafelekar ก็ไม่เป็นไร เพราะทิวทัศน์ที่มองเห็นจากสถานี Seegrube ก็สุดอลังการแล้ว อีกทั้งทันทีที่เดินออกจากสถานีมาสัมผัสกับสายลมหนาวที่โหมกระหน่ำเข้ามา ผมก็ต้องกอดอกเพื่อให้ความอบอุ่นกับตัวเอง เพราะเสื้อกันหนาวที่สวมมานั้นไม่พอที่จะสู้กับความหนาวที่มาพร้อมกับสายลมได้ จึงคิดในใจว่าดีแล้วที่ไม่ได้ขึ้นไปยังสถานี Hafelekar เพราะหากเป็นเช่นนั้นผมคงได้สั่นมากไปกว่านี้

สถานี Seegrube มีร้านอาหารให้บริการ โดยมีโต๊ะตั้งเรียงรายไปตามหน้าผา ให้นักท่องเที่ยวได้ดื่มเบียร์ จิบกาแฟคลายหนาว แต่เราสองคนเป็นพวกขาไม่ชอบอยู่กับที่ จึงเลือกที่จะเดินลัดเลาะไปตามเส้นทาง มองเห็นทัศนียภาพเมืองอินส์บรุคที่ในเวลานี้กลายเป็นเมืองเล็กๆในหุบเขา โดยมีปราการของเทือกเขาแอลป์โอบล้อมไว้อย่างตระการตา

เราเดินไปตามเส้นทางหินกรวดที่ไต่หน้าผาลงสู่จุดชมวิวเบื้องล่าง มองลงไปเห็นเส้นทางที่ไต่ขึ้นเขาเป็นดั่งงูเลื้อยสำหรับนักปั่น ซึ่งว่ากันว่าเส้นทางนี้ความวิบากมาพร้อมกับความงาม ที่สถานี Seegrube ก็มีจักรยานเสือภูเขาหลายคันจอดอยู่ จึงน่าจะเป็นเส้นทางที่ได้รับความนิยมมากพอดู เราเดินไปตามเส้นทางเรื่อยๆสู่จุดชมวิวที่สร้างยื่นออกไปจากหน้าผา ดูแล้วน่าหวาดเสียวไม่ใช่น้อย แต่ในเวลาพระอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าเช่นนี้ ความหวาดเสียวถูกกลบลงจนไม่เหลือจากสีของฟ้าที่เริ่มแปรเปลี่ยน เสริมส่งให้ภาพเมืองในหุบเขาที่มีแผ่นฟ้าสีครามอมส้มนี้งดงามจับใจ

เรากลับลงสู่พื้นล่าง แม้ในเวลานี้รถ Hop on – Hop off จะหมดเวลาให้บริการแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเมืองเล็กๆที่ทุกอย่างดูสวยงามเช่นนี้ จากสถานี Congress เราเลือกที่จะเดินเลียบเลาะไปตามแม่น้ำอินน์เพื่อซึบซับบรรยากาศความงามของสายน้ำยามค่ำ ก่อนที่วันพรุ่งนี้เราจะกลับมาหาสายน้ำแห่งนี้อีกครั้งในบรรยากาศที่เปลี่ยนไป

ในเวลานี้เราหิวมาก เพราะตั้งแต่กินอาหารเช้าบนเครื่องบิน นั่งรถไฟ 4 ชั่วโมง เดินหาโรงแรม เที่ยวปราสาท ขึ้นภูเขา จนป่านนี้ยังไม่มีอาหารอะไรตกถึงท้องเลย เราจึงเลือกที่จะเดินแซกแซกเข้าไปในย่านเมืองเก่า ที่นี่มีร้านอาหารให้เลือกค่อนข้างเยอะ การมีร้านเยอะก็สร้างปัญหาให้กับเราเหมือนกัน เพราะแทนที่จะเข้าไปร้านแรก เราก็กลับเดินเข้าร้านนี้ ออกร้านนั้นให้วุ่นวายไปหมด เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกร้านไหนดี ด้วยความหิวผมจึงตัดสินใจบอกเต้ยว่าเลือกเข้าร้านที่คนน้อยที่สุดแล้วกัน เพราะจะได้ไม่ต้องรอนาน แต่ที่ไหนได้ ร้านที่เราเข้าแม้ชั้นล่างจะมีลูกค้าบางตา แต่เมื่อเดินขึ้นไปที่ชั้น 2 กลับมีลูกค้านั่งเกือบเต็มร้าน เห็นทีคงได้รออาหารจนท้องร้องแล้วร้องอีกแน่ แต่ไม่เป็นไรการที่มีลูกค้ามากก็น่าจะการันตีถึงความอร่อย

เราเลือกสั่งเมนูจานใหญ่ให้สาสมกับความหิวที่ก่อตัวอย่างรุนแรง แต่จริงๆแล้วแทบทุกเมนูก็ดูจะจานใหญ่ทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นคนที่นี่เมื่อแก่ตัวคงไม่มีรูปร่างอ้วนได้เช่นนี้ เต้ยเลือกที่จะสั่ง Wiener Schnitzel ซึ่งเป็นหนึ่งในเมนูประจำชาติของออสเตรีย เป็นหมูชุบแป้งกับเกล็ดขนมปังทอด เสริฟพร้อมสลัดผักและเฟรนฟราย ดูแล้วน่าทานเหมือนกัน แต่ผมไม่ชอบกินหมูจึงเลือกที่จะสั่งพิซซ่าหน้ากุ้งกับเห็ด ซึ่งก็ใช้เวลารออาหารไม่นานเท่าที่คิด ด้วยความอร่อยบวกกับความหิวแบบสุดๆ ทั้งหมูทอด ทั้งพิซซ่าจึงถูกจัดการจนไม่เหลือ

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 21.58 น.

ความคิดเห็น