เราซื้อเบเกอรี่จากร้านในสถานีรถไฟติดตัวเพื่อกินเป็นอาหารเที่ยงในระหว่างการเดินทางสู่เมืองซาลซ์บูร์ก รถไฟใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 2 ชั่วโมง ก็มาจอดเทียบชานชลาที่สถานีรถไฟซาลซ์บูร์กตรงตามเวลาที่เขียนไว้บนตั๋ว เพื่อความสะดวกในการเดินทาง เราซื้อ Salzburg card แบบ 24 ชั่วโมงคนละใบ ในราคาใบละ 28 ยูโร จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวในสถานีรถไฟ ซึ่งรวมค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งในเมืองซาลซ์บูร์ก แม้ว่าจะไม่รวมค่ารถ Hop on – Hop off เหมือนกับที่อินส์บรุค แต่ก็รวมค่ารถโดยสารสาธารณะทุกสาย ซึ่งน่าจะคุ้มและสะดวกกว่าการจ่ายเป็นครั้งๆ
เมืองซาลซ์บูร์ก (Salzburg) เป็นเมืองหลวงของรัฐซาลซ์บูร์ก โดยมีความเจริญมากกว่าเมืองอินส์บรุค อย่างเห็นได้ชัด แต่ความเจริญนี้ก็มีอย่างพอดี เมื่อเดินออกจากสถานีรถไฟเราจึงพบสภาพบ้านเมืองที่เป็นระเบียบเรียบร้อย การจราจรบนถนนก็ดูโล่งโปร่งตา เพราะผู้คนที่นี่นิยมเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนมากกว่าการใช้รถส่วนตัว
เมืองซาลซ์บูร์กเจริญขึ้นมาจากการทำเหมืองเกลือ จนกลายเป็นชื่อเมืองอันหมายถึง ปราสาทแห่งเหมืองเกลือ ซึ่งในอดีตนั้นเกลือมีค่าประหนึ่งทอง การทำเหมืองเกลือจึงไม่ต่างกับการทำเหมืองทอง ผู้คนในเมืองนี้จึงมีฐานะร่ำรวย จนสามารถสรรสร้างสถาปัตยกรรมที่งดงามอลังการไว้มากมาย อีกทั้งเมืองแห่งนี้ยังขึ้นชื่อในเรื่องความโรแมนติก เพราะนอกจากบรรยากาศจะอบอวนไปด้วยกลิ่นอายของดนตรีคลาสสิคด้วยเป็นบ้านเกิดของคีตกวีชื่อก้องโลกอย่าง โมซาร์ท แล้ว ภูมิประเทศที่งดงามจากการโอบล้อมด้วยภูเขาสูง โดยมีเทือกเขาแอลป์เป็นปราการทางทิศใต้ ทำให้ถูกเลือกให้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์สุดแสนโรแมนติกเรื่อง The Sound of Music อีกด้วย
ดูจากแผนที่ตั้งของโรงแรม Urban Stay ที่เราจองล่วงหน้าแล้วไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก อีกทั้งยังมี GPS จากมือถือช่วย อากาศเย็นๆเช่นนี้เราจึงสามารถเดินลากกระเป๋าไปโรงแรมได้อย่างสบาย โดยไม่รู้สึกว่าเหนื่อยหรือไกลแต่อย่างใด ทันทีที่เอากระเป๋าเก็บในห้องพัก เราก็ชีพจรลงเท้าต่อทันที
สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตตัวเมือง โดยเราจะเก็บไว้เที่ยวกันแบบเต็มๆในวันพรุ่งนี้ บ่ายนี้จึงไปสถานที่นอกตัวเมืองกันก่อน ซึ่งมี 2 แห่งให้เลือก คือ เขา Untersberg กับ พระราชวังเฮลบรุนน์ โดยอยู่ทิศใต้ของตัวเมืองทั้งคู่ อีกทั้งยังเดินทางด้วยรถเมล์สายเดียวกันคือสาย 25 เขาอันเธอร์เบร์จ (Untersberg) นั้นเป็นป้ายสุดท้ายของรถเมล์สายนี้ แต่ดูจากเวลาแล้ว หากเลือกไปเขาอันเธอร์เบร์จ เราอาจไปได้เพียงแค่ยืนมองป้ายรถเมล์ เพราะต้องนั่งกระเช้าต่อขึ้นเขา รวมเวลานั่งกระเช้าไป-กลับแล้ว ไม่น่าจะทันกระเช้ารอบสุดท้าย เราจึงปักธงไปที่พระราชวังเฮลบรุนน์
เราเดินย้อนกลับมาที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟเพื่อรอรถเมล์สาย 25 โดยมีจอมอนิเตอร์บอกเวลาชัดเจนว่ารถเมล์แต่ละสายจะมาถึงจุดจอดนี้ในเวลากี่นาที และมีตู้ให้ผู้โดยสารซื้อตั๋วได้ด้วยตนเอง ซึ่งตรงนี้คืออีกหนึ่งสิ่งที่สะท้อนถึงความซื่อสัตย์ของชาวออสเตรีย เพราะแม้รถโดยสารจะไม่มีการตรวจตั๋ว แต่ชาวออสเตรียก็ซื้อตั๋วอย่างถูกต้อง โดยถือเป็นวินัยพื้นฐานที่ทุกคนต้องมี
รถเมล์สาย 25 พาเราผ่านตัวเมืองซาลซ์บูร์ก ข้ามแม่น้ำ Salzach สู่ฝั่งย่านเมืองเก่า โดยวิ่งเลียบเลาะแม่น้ำให้ผู้โดยสารชื่นชมความงามของสายน้ำและบ้านเรือนที่สุดแสนคลาสสิค จากนั้นจึงวิ่งตรงไปทางทิศใต้สู่เขตชนบท ใช้เวลาอีกสิบกว่านาทีก็พาเรามาส่งที่ป้ายรถเมล์หน้าทางเข้าพระราชวังเฮลบรุนน์ (Hellbrunn Palace)
เราเดินตามกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มารถเมล์คันเดียวกันไปตามเส้นทางที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี และเริ่มปลิปลิวลงจากต้นจนเกิดเป็นเส้นทางที่แสนสวยงาม ทุกสิ่งโดยรอบพระราชวังเฮลบรุนน์ถูกทาด้วยสีเหลืองเฉกเช่นเดียวกับสีของตัวพระราชวัง
พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1612 เพื่อใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อน ตามพระบัญชาของเจ้าชายอาร์คบิชอป แต่จุดเด่นของสถานที่แห่งนี้ที่ดึงดูดให้ผู้คนมาเยือนนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวพระราชวังที่ปัจจุบันถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ หากแต่อยู่ที่สวนด้านข้างพระราชวัง ซึ่งนอกจากจะเป็นสวนขนาดใหญ่ที่ร่มรื่นสวยงามแล้ว ภายในสวนแห่งนี้มีของดีที่ถือว่าเป็นนวัตกรรมสุดล้ำในสมัยนั้น นั่นคือ น้ำพุกล ซึ่งเมื่อเรานำ Salzburg card ไปแลกตั๋วค่าเข้า แทนที่เจ้าหน้าที่จะชี้ทางให้เราไปชมพระราชวัง กลับบอกให้เราตรงเข้าไปในสวน เพราะใกล้เวลาที่เจ้าหน้าที่จะพาเดินชมน้ำพุกลแล้ว
เราเดินเข้าสู่เขตสวน โดยมีนักท่องเที่ยวยืนรออยู่แล้วหลายสิบคน เมื่อเรามาไกด์ประจำพระราชวังก็เรียกนักท่องเที่ยวที่กระจายตามจุดต่างๆให้มารวมตัวกันเพื่อฟังบรรยายที่มาของการสร้างน้ำพุกล โดยเป็นไอเดียติดตลกของเจ้าชายอาร์คบิชอปที่ใช้หยอกล้อพระสหายหรืออาคันตุกะที่มีเยือนพระราชวังให้ได้ตื่นเต้นกับเหล่าน้ำพุที่ถูกซ่อนไว้ตามจุดต่างๆในสวนได้อย่างแนบเนียบ โดยการเดินชมน้ำพุกลนี้ต้องเดินตามไกด์ไปตามจุดต่างๆ ห้ามเดินออกนอกขบวนตามใจชอบ
เริ่มจากจุดแรกเป็นบ่อน้ำท่ามกลางสวนสวย โดยมีรูปปั่นเทพเจ้าแบบโรมันตั้งกระจายตามจุดต่างๆ บริเวณนี้มีน้ำพุพุ่งขึ้นมาจากบ่อน้ำอย่างปกติ ยังไม่มีน้ำพุกลซ่อนอยู่ ให้แขกผู้มาเยือนได้ชื่นชมความงามของบึงน้ำท่ามกลางสวนสวยได้อย่างสบายใจ ในขณะที่สายฝนเริ่มโปรยปรายจากท้องฟ้าอีกครั้ง
ไกด์พาเดินตามเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามสวนเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆก็มีน้ำพุพุ่งออกมาจากทางเดิน เรียกความตกใจแบบย่อมๆให้กับผู้มาเยือนได้หัวเราะชอบใจอย่างสนุกสนานจากการเปียกปอนจากน้ำพุกลที่ไกด์แอบเปิดจากจุดที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียน จากนั้นจึงพาเข้าสู่ห้องๆหนึ่งซึ่งภายในถูกสร้างในลักษณะถ้ำ ภายในมีน้ำพุกลซ่อนไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างความสนุกสนาน ทั้งน้ำพุที่พุ่งมาจากฐานรูปปั้น รวมถึงแรงดันน้ำในการขับเคลื่อนตุ๊กตาให้เคลื่อนที่ แต่แล้วอยู่ๆก็มีน้ำพุพุ่งขึ้นมาจากพื้นที่ยืน เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวน้อยสาวใหญ่จนเป็นที่สนุกสนาน สำหรับการออกจากถ้ำก็ไม่ใช่การเดินออกแบบธรรมดา เพราะต้องเดินผ่านน้ำพุที่พุ่งจาก 2 ฝั่งทางเดิน จนกลายเป็นอุโมงค์น้ำพุที่สวยงาม
แล้วก็มาถึงอีกหนึ่งไฮไลน์ โดยสวนแห่งนี้ไม่ได้มีแค่น้ำพุกล แต่ยังมีเมืองจิ๋วที่ทุกสิ่งในเมืองขับเคลื่อนด้วยกลไก เหล่าตุ๊กตาตัวน้อยจึงเคลื่อนไหวดุจมีชีวิตจริง จึงเป็นที่ยอมรับว่า สวนน้ำพุกลแห่งนี้เป็นหนึ่งในสุดยอดนวัตกรรมเมื่อกว่า 4 ร้อยปีที่ผ่านมา
จบจากการทัวร์น้ำพุกล เราเดินชมความเขียวขจีของพื้นที่สวนเท่าที่เวลาพอมี จากนั้นจึงกลับมายังตัวอาคารของพระราชวังเฮลบรุนน์ ซึ่งสร้างเป็นอาคารสีเหลืองความสูง 2 ชั้นขนาดไม่ใหญ่มากนัก หลังจากที่ยืม Audio Guide จากเจ้าหน้าที่แล้ว เราก็เดินชมเหล่าสมบัติล้ำค่าที่ถูกจัดแสดงภายในพระราชวังที่ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ได้อย่างอิสระ อยากรู้เรื่องราวของสมบัติชิ้นไหน ก็กดปุ่มตามหมายเลข Audio Guide ก็จะบรรยายให้ฟัง แต่สำหรับห้องที่ผมชอบมากที่สุด คือ ห้องเก้าอี้หมุน โดยเป็นโซฟาทรงกลมสีแดงตั้งอยู่กลางห้อง ซึ่งโซฟาตัวนี้จะหมุนรอบตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อให้ผู้มาเยือนได้นั่งพักผ่อนอย่างสบายอารมณ์พร้อมชมความงดงามของจิตกรรมฝาผนังได้โดยรอบ
เราอำลาพระราชวังเฮลบรุนน์ด้วยความประทับใจบวกกับความเปียกปอนเล็กๆจากทั้งสายฝนและน้ำพุกล แม้เวลานี้จะไม่เย็นมากนัก แต่ฤดูนี้พระอาทิตย์ที่ออสเตรียอำลาขอบฟ้าเร็วเหลือเกิน แถมป้ายรถเมล์ที่นี่ไม่มีจอมอนิเตอร์ที่บอกเวลาที่รถจะมาเหมือนกับในตัวเมือง ทำให้เราหวั่นใจเล็กๆว่ารถเมล์สาย 25 จะมารับเราไหม ดีที่มีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งนั่งรอเป็นเพื่อนจึงค่อนข้างอุ่นใจ ไม่นานนัก รถเมล์สาย 25 ก็วิ่งมารับเราก่อนที่พระอาทิตย์จะอำลาขอบฟ้า
แทนที่จะลงที่ป้ายรถเมล์หน้าสถานีรถไฟซึ่งใกล้กับที่พัก เรากลับเลือกลงที่ป้ายรถเมล์เชิงสะพานมาคาร์ทสเตจเพื่อเที่ยวชมเมืองเก่าซาลซ์บูร์กในยามค่ำ พร้อมกับหาอาหารมื้อเย็นทาน
สะพานมาคาร์ทสเตจ (Makartsteg) เป็นหนึ่งในหลายสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำ Salzach ที่เชื่อมเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ หากแต่เป็นสะพานสำหรับคนเดินเพียงสะพานเดียวและเป็นสะพานที่ทอดสู่ใจกลางเขตเมืองเก่า บนสะพานจึงคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ซึ่งการมาเยือนสะพานนี้มีกิจกรรมให้ทำ นั่นคือการคล้องแม่กุญแจไว้ตลอดแนวสะพาน สองฝั่งของสะพานมาคาร์ทสเตจจึงมากไปด้วยแม่กุญแจ จนไม่แน่ใจว่าน้ำหนักจากคนที่สัญจรบนสะพานกับน้ำหนักของแม่กุญแจรวมกัน อันไหนจะหนักมากกว่ากัน แต่ที่แน่ๆการเดินไปบนสะพานแห่งนี้ สิ่งที่ได้รับคือความงดงามของอาคารในเขตเมืองเก่าซาลซ์บูร์กที่เรียงรายไปตามการไหลของแม่น้ำ Salzach ที่ใสสะอาด โดยมีป้อมโฮเฮนซาลซ์บูร์กตั้งตระหงานอยู่เบื้องหลัง
เราเดินเข้าไปในตรอกซอกซอยของเขตเมืองเก่าที่ค่อนข้างแคบและซับซ้อน แม้แผ่นฟ้าจะเริ่มมืดมิดแล้ว แต่ร้านรวงส่วนใหญ่ยังคงเปิดรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยว ที่นี่มีร้านอาหารให้เลือกหลายร้าน ทั้งร้านอาหารยุโรปและร้านอาหารนานาชาติ แต่ทำไปทำมามื้อเย็นนี้เรากลับเลือกร้านอาหารของคนจีน แต่ขายอาหารญี่ปุ่น เย็นนี้ผมจึงได้อุด้งเทมปุระไปเลี้ยงร่างกาย 1 ชาม ให้พอมีแรงเดินกลับโรงแรมที่พักในเขตเมืองใหม่ที่ค่อนข้างอยู่ไกลพอควร
ก่อนกลับเข้าโรงแรม เราตั้งใจจะแวะซื้อเสบียงสำหรับกินบนรถไฟในระหว่างการเดินทางของวันพรุ่งนื้ แต่เอาเข้าจริงๆเขตเมืองใหม่กลับเงียบเชียบ บนถนนแทบปราศจากผู้คน ในขณะที่ร้านรวงก็ปิดให้บริการ เราจึงหาร้านสะดวกซื้อในระหว่างทางไม่เจอสักร้าน สุดท้ายจึงต้องเดินผ่านโรงแรมไปทางสถานีรถไฟที่น่าจะยังมีร้านรวงให้บริการแก่ผู้เดินทาง จนเจอร้านสะดวกซื้อที่ตั้งอยู่ภายในปั๊มน้ำมัน
เราเข้าไปสำรวจหาของกิน ซึ่งดูแล้วไม่มีอะไรดูน่ากินเกินกว่าแซนวิช ราคาแซนวิชชิ้นโตแค่ 2.5 ยูโร ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับราคาอาหารในแต่ละมื้อที่ราคาสูงกว่า 10 ยูโร เราจึงประหยัดค่าครองชีพและเชฟเงินในกระเป๋าด้วยการซื้อแซนวิช และเพิ่มกล้วยหอมลูกโตอีกคนละลูกไว้ปรับสมดุลของร่างกาย หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เราพบกับของบ้างอย่างตั้งอยู่หน้าร้านที่ดูแล้วชวนให้สงสัยว่ามันคืออะไร จึงเข้าไปพินิจพิเคราะห์จนรู้ว่า บรรดาแท่งที่กองอยู่นี้คือไม้ฟืนและเชื้อเพลิงอัดก้อน มีชาวออสเตรียหลายคนหิ้วไปคนละมัดใส่ท้ายรถกลับไป ทำให้ผมคิดว่าแม้ความเจริญจะมาพร้อมการเปลี่ยนแปลง แต่ที่นี่ก็ยังคงมีบ้านที่มีเตาไฟให้ความอบอุ่นเหมือนเช่นในอดีต และคืนนี้ก็คงไม่มีที่ใดให้ความอบอุ่นแก่เราได้ดีไปกว่าโรงแรมที่เราพัก
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 21.46 น.