ในเมืองไทยไม่มีการปรับเวลา แต่ประเทศในยุโรปหรือตะวันตกมีการปรับเวลาระหว่างปีเป็นเรื่องปกติเพื่อให้การขึ้นลงของพระอาทิตย์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละฤดูเหมาะสมกับเวลาที่แสดงบนนาฬิกา ซึ่งวันนี้วันที่ 28 ตุลาคมจะมีการปรับเวลาให้ช้าลง 1 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าถ้าเรายังตื่นและออกท่องเที่ยวตามเวลาเดิมเหมือนเมื่อวาน วันนี้เราก็จะมีเวลาเที่ยวเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั่วโมงก่อนที่รถไฟจะออก จึงมีลุ้นว่าเราน่าจะเที่ยวสถานที่สำคัญในตัวเมืองได้ครบ เช้านี้เราจึงเลือกไปสถานที่ที่เปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้า ที่แห่งนั้นก็คือ สวนแห่งพระราชวังมิราเบล (Schloss Mirabell) ซึ่งนอกจากจะเปิดแต่เช้าแล้ว ยังตั้งห่างจากโรงแรมที่เราพักเพียงแค่ 1 ช่วงตึกเท่านั้น
การมาเยือนสวนตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้ สิ่งที่ได้รับนอกจากพลังแห่งความสดชื่นที่มาจากสวนสวยแล้ว เรายังได้สัมผัสถึงความเงียบสงบ เพราะนอกจากเราสองคนแล้ว ในเวลานี้ก็มีแค่คนทำสวนอีกไม่กี่คนที่มาตกแต่งสวนให้สวยงามทุกวันตั้งแต่เช้าก่อนที่นักท่องเที่ยวจะมาเยือน
สวนสวยแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในลักษณะทอดยาวไปตามความยาวของพระราชวัง หากยืนมองจากเนินทางทิศเหนือ จะเห็นพื้นที่สีเขียวของสวนทอดยาวจนสุดสายตา ทางฝั่งซ้ายคือตัวอาคารของพระราชวังมิราเบล มีความสูง 3 ชั้น สร้างด้วยศิลปะแบบบาโรก อย่างหรูหราตั้งแต่ปีค.ศ.1606 โดยปัจจุบันไม่ได้ถูกแปรสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์เหมือนพระราชวังส่วนใหญ่ที่หลังหมดจากการครอบครองของเชื้อพระวงศ์แล้วก็มักถูกแปรสภาพให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงทรัพย์สมบัติของเจ้าผู้ครองพระราชวัง แต่พระราชวังแห่งนี้ถูกแปรสภาพเป็นสำนักงานเมืองซาลซ์บูร์ก ผู้มาเยือนจึงได้ชมความงามแต่เพียงภายนอกเท่านั้น และหากมองไปไกลสุดปลายสวนจะพบภาพของป้อมโฮเฮนซาลซ์บูร์กตั้งตระหง่าน ซึ่งด้วยความใหญ่โตของป้อมแห่งนี้ จึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้ว่าจะตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ Salzach ก็ตาม
เราเดินชมสวนไปเรื่อยๆสู่จุดกึ่งกลางของสวน ที่ตรงนี้มีรูปปั้นของม้ามีปีกหรือเปกาซัส สัตว์ในเทพนิยาย กรีกตั้งอยู่กลางวงเวียนหน้าทางเข้าหลักของพระราชวัง การเดินชมสวนไปอย่างช้าๆยิ่งชมก็ยิ่งสัมผัสถึงความสวยงาม ความสวยงามนี้เองที่ทำให้สวนแห่งนี้ถูกเลือกให้เป็นสถานที่หนึ่งในการถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง The Sound of Music ที่โด่งดัง จนทำให้เมืองซาลซ์บูร์กเป็นเมืองในฝันของคนหลายคน
เราเดินสู่ทางฟากตะวันออกหรือฝั่งตรงข้ามพระราชวัง พบว่าทางฟากนี้ยังมีสวนอีกแห่งซ่อนตัวอยู่ภายหลังแนวกำแพงต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งไว้อย่างเป็นระเบียบ สวนส่วนนี้บรรยากาศดูเป็นกันเองมากกว่าส่วนหน้าพระราชวัง ประหนึ่งเป็นสวนส่วนตัวของเจ้าผู้ครอบครอง ที่จะพาครอบครัวมานั่งเล่นเดินเล่น โดยมีเก้าอี้ให้นั่งพักใต้เรือนยอดไม้ที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี และแต่งแต้มด้วยเหล่ารูปปั้นของคนแคระที่แต่ละคนอยู่ในอิริยาบทที่ชวนขบขันยิ่งนัก
เราโดยสารรถเมล์ข้ามแม่น้ำ Salzach สู่ฝั่งย่านเมืองเก่า บนถนนเกไทรเด้ (Getreidegasse) ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าภายในอาคารเก่าแก่ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ในเวลานี้เริ่มเปิดรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวแล้ว นอกจากร้านจำหน่ายสินค้าแบนด์เนมแล้ว ร้านของฝากของที่ระลึกดูเหมือนจะจำหน่ายสินค้าในลักษณะเดียวกันทุกร้าน นั่นคือ ทุกสินค้าล้วนมีรูปโมซาร์ท นักดนตรีชื่อก้องโลกเป็นพรีเซนเตอร์ทั้งช็อคโกแลต กล่องดนตรี พวงกุญแจ รวมถึงเป็นป้ายยืนยิ้มต้อนรับลูกค้าที่หน้าร้าน จนย่านแห่งนี้กลายเป็นย่านของโมซาร์ท เพราะที่นี่คือบ้านเกิดของเขา
อาคารสีเหลือง บ้านเลขที่ 9 บนถนนเกไทรเด้ คือบ้านเกิดของโมซาร์ท (Mozart’s Geburtshaus) สถานที่ที่เขาอยู่อาศัยในวัยเด็กตั้งแต่ปีค.ศ.1756 – 1773 เขาเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก โดยฉายแววอัจฉริยะตั้งแต่วัย 3 ขวบที่สามารถอ่านโน๊ตและเล่นดนตรีได้ อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจนัก เพราะมีบิดาเป็นนักดนตรีจึงอาจจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาสนใจและมีความสามารถตามสิ่งแวดล้อมรอบข้าง แต่ความอัจฉริยะของเขาไม่หยุดเพียงแค่นั้น เมื่ออายุ 6 ขวบ เขาเริ่มออกแสดงดนตรีพร้อมกับบิดาและพี่สาว โดยตระเวนแสดงดนตรีไปทั่วยุโรป จนเมื่ออายุ 8 ขวบ เขาสามารถประพันธ์ซิมโฟนีได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าเขาจะลาจากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 35 ปี แต่ก็ได้ฝากผลงานประพันธ์เพลงคลาสสิคไว้มากถึง 700 บท จึงเป็นอีกคนหนึ่งที่เหมาะสมกับคำกล่าวที่ว่า แม้ตัวจะตาย แต่ชื่อเสียงและผลงานไม่ตายตาม
ปัจจุบันบ้านเกิดของโมซาร์ทได้ปรับเป็นพิพิธภัณฑ์ รักษาข้าวของที่เขาใช้ในวัยเด็กให้ผู้ที่หลงใหลในเพลงคลาสสิคที่เขาแต่งไว้ให้ได้ชม แต่เรามาถึงเร็วเกินไป บ้านหลังนี้จึงยังคงปิดประตูเงียบ เหมือนเก็บมนต์ขลึงของเพลงคลาสสิคไว้ในนั้น
เราเดินผ่านร้านรวงที่ตั้งเรียงรายเต็มสองฝั่งของตรอกซอกซอยสู่จัตุรัสเรสิเดนซ์เพลทซ์ (Residenzplatz) ซึ่งมีประติมากรรมน้ำพุหินอ่อนตั้งอยู่ตรงกลาง เป็นรูปปั้นฮิปโปแคมปัส สัตว์ในจินตนาการในตำนานกรีก ท่อนบนเป็นม้า ท่อนล่างเป็นปลา แหวกว่ายอยู่ที่ฐานของน้ำพุทั้ง 4 ด้าน ถัดขึ้นไปเป็นรูปปั้นยักษ์ 4 ตนแบกจานหิน เหนือสุดเป็นรูปปั้นของเทพไทรทัน โดยเป็นประติมากรรมน้ำพุที่งดงามและยิ่งใหญ่ที่สุดในออสเตรีย
รอบจัตุรัสเรสิเดนซ์เพลทซ์ประกอบด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย เราเลือกไปสถานที่ที่ใหญ่และสูงที่สุด ที่เห็นแต่ไกลเป็นอันดับแรกนั่นคือ ป้อมโฮเฮนซาลส์บูร์ก (Festung Hohensalzburg) การขึ้นสู่ป้อมแห่งนี้ต้องใช้บริการรถราง เพื่อไปยังจุดสูงสุดของเนินเขาอันเป็นชัยภูมิดีเยี่ยมในการใช้ป้องกันตัวเมือง
รถรางที่ออกแบบอย่างล้ำสมัย หลังคาโปร่งใสให้มองเห็นท้องฟ้าเบื้องบน พาเราไต่ความสูงสู่ยอดเนินเขา Festungsberg อันเป็นที่ตั้งของป้อมโฮเฮนซาลส์บูร์ก ป้อมโบราณในสมัยยุคกลาง สร้างขึ้นในค.ศ.1077 ซึ่งในสมัยนั้นประเทศออสเตรียยังคงมีฐานะเป็นอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ครอบคลุมหลายประเทศในภูมิภาคยุโรปกลาง ด้วยการที่ตั้งอยู่บนเนินเขา นอกจากตัวป้อมปราการที่ใหญ่โตแล้ว เราจึงสามารถมองเห็นทัศนียภาพของตัวเมืองซาลซ์บูร์กที่อยู่ 2 ฝั่งของแม่น้ำ Salzach ได้อย่างชัดเจน แม้ว่าในเวลานี้สายหมอกหนาจะแผ่ตัวปกคลุมก็ตาม
นอกจากอาวุธยุโธปกรณ์ที่เกี่ยวกับการสงครามตั้งแต่ยุคของอัศวินที่มีชุดเกาะของจริงแสดงให้ดู จนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งประเทศออสเตรียเป็นจุดศูนย์กลางของสงครามแล้ว ภายในป้อมแห่งนี้ยังเป็นที่พักของอาร์คบิชอปที่ปกครองเมืองซาลส์บูร์ก เราจึงสามารถเห็นเหล่าห้องโถง ห้องพักที่ยังคงสภาพความงดงามเหมือนเช่นอดีต โดยเฉพาะห้องทอง (Golden Chamber) ที่โครงสร้างทำจากไม้ ประดับด้วยลวดลายจากโลหะสีทองอย่างงดงาม แม้ว่าอายุของห้องนี้จะมากกว่า 500 ปีแล้วก็ตาม อีกทั้งยังมีส่วนจัดแสดงหุ่นกระบอกที่น่ารักน่าชมอีกด้วย
ด้วยความใหญ่และซับซ้อนของเหล่าอาคารภายในป้อม เมื่อออกสู่ทางเดินด้านนอกเราจึงเริ่มรู้สึกงง เพราะบริเวณนี้ไม่ใช่ทางที่เราขึ้นมาจากรถราง จึงต้องเดินหาทางเดิม สุดท้ายจึงเดินวนจนเกือบรอบป้อมกว่าจะเจอ
เรากลับมาที่จัตุรัสเรสิเดนซ์เพลทซ์อีกครั้ง เต้ยชวนไปพิพิธภัณฑ์โดมควอเทียร์ (Dom Quartier) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของจัตุรัส พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมือง เพราะเดิมสถานที่แห่งนี้คือที่อยู่ของอาร์คบิชอปผู้ปกครองเมืองซาลส์บูร์ก ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยมีการขยายต่อเติมอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นกลุ่มอาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเมือง ซึ่งแค่บันไดขึ้นสู่โถงด้านหน้าก็สร้างความอลังการต่อสายตาแล้ว
ภายในมีห้องน้อยใหญ่มากถึง 180 ห้อง เดินชมความงดงามของแต่ละห้องไป ฟังคำบรรยายจาก Audio Guide ไป เข้าห้องนั้น ออกห้องนี้ ขึ้นบันได ลงบันได เดินจากอาคารหนึ่งไปอีกอาคารหนึ่ง จนรู้สึกจุก ไม่ใช่เดินจนจุก แต่ดูบรรดาของข้าวล้ำค่าและรับรู้เรื่องราวจาก Audio Guide จนจุก จึงพากันเดินออกจากพิพิธภัณฑ์เพื่อไปสูดอากาศภายนอกที่จัตุรัสเรสิเดนซ์เพลทซ์อีกหน
แม้เวลาที่มีจะชวนให้เร่งรีบ แต่เราก็ไม่รีบเร่งจนเกินไปนักในการเดินไปบนเส้นทางในเมืองเก่าซาลส์บูร์ก ที่ทุกย่างก้าวเหมือนถูกบรรเลงด้วยดนตรีคลาสสิต ฟากตะวันออกของจัตุรัสเรสิเดนซ์เพลทซ์เป็นที่ตั้งของโบสถ์ซาลส์บูร์ก (Salzburg Cathedral) โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อกว่า 1,200 ปีก่อน ถือเป็นอีกหนึ่งโบสถ์ที่เก่าแก่มากที่สุดในโลก
โบสถ์ที่เห็นว่าใหญ่โตแห่งนี้ แต่เดิมมีขนาดใหญ่อลังการกว่าปัจจุบันร่วม 2 เท่า แต่ได้รับความเสียหายอย่างหนักในสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีการสร้างขึ้นใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งรูปร่างหน้าตานั้นเปลี่ยนไปจนไม่เหลือเคล้าเดิม เพราะเปลี่ยนจากศิลปะแบบโรมาเนสก์เป็นบาโรก ด้านหน้ามีรูปปั้นนักบุญ 4 ท่านอยู่ประจำทางเข้าหลัก โดยเปิดให้เข้าชมความความอลังการภายในซึ่งสามารถรับคริสตศาสนชนได้มากถึง 900 คน ในหน้าประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งโมซาร์ทเคยบรรเลงที่เขาแต่งภายในโบสถ์แห่งนี้ ปัจจุบันด้านข้างโบสถ์จึงมีอนุสาวรีย์ของเขาตั้งอยู่ ซึ่งนอกจากจะเป็นนักดนตรีเอกของโลกแล้ว เขายังทำให้ชาวเมืองซาลส์บูร์กมีรายได้ในการดำรงชีพจากชื่อเสียงของเขาจนถึงทุกวันนี้
แม้จริงๆแล้ว เราน่าจะมีเวลาพอที่จะไปเยือนสถานที่สำคัญได้อีกสักแห่ง แต่เราก็เลือกใช้เวลานั้นกับการค่อยๆเดินเลียบเลาะไปตามแม่น้ำ Salzach เพื่อชมความงามของบ้านเรือนริมสายน้ำอย่างช้าๆ แทนการเร่งรีบเที่ยวแข่งกับเวลาที่ยังคงเดินตามจังหวะของมัน
เราข้ามสะพานมาคาร์ทสเตจกลับสู่ฝั่งเมืองใหม่ ไม่รู้ว่าเวลาที่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงจะมีแม่กุญแจที่ถูกคล้องจากคู่รักเพิ่มขึ้นหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ความสวยงามของเมืองซาลส์บูร์กเป็นเหมือนแม่กุญแจที่ล็อคความรู้สึกดีๆที่เรามีต่อเมืองนี้ไปอีกนานเท่านาน
เข็มนาฬิกายังคงหมุนไป ล้อกระเป๋าก็ถูกหมุนไปตามการลากอีกครั้ง เหมือนดังแผ่นเสียงที่ยังคงหมุนวนเล่นบทเพลงแห่งการเดินทางไปไม่รู้เบื่อ
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 21.56 น.