จุดหมายของเราคือ ฮัลล์ซตัทท์ (Hallstatt) ซึ่งหากใครนึกไม่ออกว่าสถานที่แห่งนี้หน้าตาเป็นอย่างไง ก็ลองไปเมียงมองในร้านหนังสือ หมวดหนังสือท่องเที่ยว หากมีหนังสือท่องเที่ยวประเทศออสเตรีย เกินกว่า 50% จะมีรูปของที่แห่งนี้ปรากฎอยู่ไม่หน้าปกก็ปกหลัง เพราะฮัลล์ซตัทท์เป็นเมืองริมทะเลสาบที่ถูกจัดอันดับว่าภูมิประเทศสวยงามที่สุดในออสเตรีย

แม้ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติอันดับหนึ่ง แต่ในแง่ของการปกครองแล้วฮัลล์ซตัทท์เป็นแค่เพียงเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง ไม่ใช่เมืองหลวงของรัฐอย่างอินส์บรุค หรือซาลซ์บูร์กที่เราเพิ่งไปมา ฉะนั้นจึงไม่มีรถไฟวิ่งมาถึงเมืองนี้โดยตรง แต่ก็ใช่ว่าเราจะไม่สามารถเดินทางด้วยรถไฟมายังเมืองนี้ได้ เพราะสามารถเดินทางมาที่เมืองออบเบอร์ตรวน (Obertraun) ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบแล้วนั่งเรือโดยสารข้ามไป

การเดินทางด้วยรถยนต์จากซาลซ์บูร์กมายังฮัลล์ซตัทท์ใช้เวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้บรรดาทัวร์ต่างๆเลือกที่จะพานักท่องที่ยวมาเที่ยวฮัลล์ซตัทท์แบบเช้ามาเย็นกลับ เพราะเมืองเล็กๆที่ตั้งบนพื้นที่ราบเพียงน้อยนิด แต่ติดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตอย่างฮัลล์ซตัทท์นั้นมีที่พักน้อยมาก ทำให้ราคาที่พักถีบตัวสูงกว่าเมืองอื่นๆ ยิ่งหากพักอยู่ริมทะเลสาบด้วยแล้ว พัก 2 คืน ราคาสูงพอๆกับตั๋วเครื่องบินไปกลับกรุงเทพ – ออสเตรียเลยทีเดียว ทำให้ทีแรกเราก็คิดว่าด้วยเวลาที่มีไม่มากนักของการเดินทาง เราจะเลือกมาฮัลล์ซตัทท์แบบมาเช้ากลับเย็นเหมือนกัน แต่สุดท้ายเราก็เลือกที่จะค้างคืน เพราะไม่อยากเร่งรีบกับการเดินทางจนจดจำเรื่องราวระหว่างทางไม่ได้เลย อีกทั้งอยากสัมผัสความงามท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามของเมืองริมทะเลสาบให้ได้มากที่สุด การเดินทางด้วยรถไฟมายังเมืองออบเบอร์ตรวน แล้วค้างที่เมืองนี้ 1 คืน ก่อนที่รุ่งเช้าจะนั่งเรือข้ามทะเลสาบไปยังฮัลล์ซตัทท์ จึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เราเลือก แล้วกลายเป็นว่า เมืองเล็กๆริมทะเลสาบอย่างออบเบอร์ตรวนที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง กลับกลายเป็นเมืองงามที่ผมประทับใจมากที่สุดของการเดินทางครั้งนี้

รถไฟเคลื่อนตัวออกจากสถานีซาลซ์บูร์กในเวลา 12.12 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลารับประทานอาหารเที่ยงพอดี โดยเมื่อคืนเราได้ซื้อแซนวิชเตรียมไว้สำหรับมื้อนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว กินแซนวิชไป นั่งรถไฟชมวิวไป ก็ทำให้แซนวิชราคาประหยัด 2.5 ยูโรนี้อร่อยไม่แพ้อาหารภัตตาคาร

ในวันแรกของการเดินทาง บนรถไฟจากกรุงเวียนนาสู่เมืองอินส์บรุค เราได้ตื่นตาตื่นใจกับทัศนียภาพของทิวทัศน์สองข้างทางไปทีหนึ่งแล้ว แต่การเดินทางจากซาลซ์บูร์กลงใต้สู่ออบเบอร์ตรวน ทัศนียภาพที่ได้เห็นกลับทำให้เราตื่นตาตื่นใจมากยิ่งกว่า เพราะนอกจากท้องทุ่งเขียวขจี ที่แต่งแต้มด้วยใบไม้เปลี่ยนสี โดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขาสูงตระหง่านแล้ว บนเส้นทางนี้ยังเลียบเลาะไปตามขอบทะเลสาบโวลฟกังซี (Wolfgangsee) ที่ท้องทะเลสาบแผ่ตัวกว้างใหญ่ โดยมีบ้านหลังน้อยสร้างกระจายตัวอย่างบางตา ช่างเป็นภาพที่สงบงามยิ่งนัก จนเต้ยชวนว่า ไว้ทริปหน้าเรานั่งรถไฟมาเที่ยวเมืองริมทะเลสาบแห่งนี้กันไหม ผมไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ โดยในใจคิดว่า นี่ขนาดทะเลสาบที่ไม่ติดลมบนของสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ยังงดงามขนาดนี้ แล้วทะเลสาบฮัลล์ซตัทท์ที่รอเราอยู่เบื้องหน้าจะงดงามมากขนาดไหน

เส้นทางสองรางเหล็กพาเราจากลาทะเลสาบโวลฟกังซีสู่ทุ่งหญ้ากว้าง และลำธารน้ำใส ท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างมีบ้านเรือนเล็กๆน่ารักที่สะท้อนความเป็นชนบทของออสเตรียได้อย่างน่าชม ในเวลานี้ผู้โดยสารค่อยๆทยอยลงจากขบวนจนภายในรถไฟเหลือผู้โดยสารไม่ถึง 10 คน เวลาผ่านไปผืนน้ำกว้างเริ่มปรากฎให้เห็นอีกครั้ง นี่คือทะเลสาบฮัลล์ซตัทท์ ทะเลสาบที่งดงามระดับโลก ภายใต้การโอบกอดของเทือกเขารูปทรงแปลกตา

รถไฟจอดที่สถานีฮัลล์ซตัทท์ที่สถานีมีท่าเรือเพื่อข้ามทะเลสาบไปยังเมืองฮัลล์ซตัทท์ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่ง มีนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆลงที่สถานีนี้ ทำให้ในเวลานี้รถไฟทั้งขบวนเหลือผู้โดยสารแค่ 5 คนที่จะไปยังสถานีออบเบอร์ตรวนที่อยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 2 นาที

สถานีออบเบอร์ตรวนเป็นสถานีเล็กๆ รูปร่างหน้าตาคล้ายๆกับสถานีรถไฟในต่างจังหวัดของบ้านเรา ด้านหลังสถานีคือ เมืองออบเบอร์ตรวน เมืองเล็กๆริมทะเลสาบที่แทบจะเดินนับหลังคาเรือนได้

Haus Bellevue บ้านสีเหลืองสดอันเป็นที่พักที่เราจองไว้นั้นตั้งอยู่ด้านหลังสถานีรถไฟพอดี ที่นี่ไม่ใช่โรงแรม แต่มีลักษณะเหมือนเกสท์เฮ้าส์ ที่เจ้าของบ้านแบ่งห้องพักให้นักเดินทางได้เข้าพัก เพื่อนำรายได้มาเจือจุนค่าใช้จ่ายในครอบครัว

เจ้าของบ้านเป็นชายร่างอ้วนท่าทางใจดีพาเราเดินชมภายในบ้าน เพื่อให้เราได้เลือกห้องพัก แต่สุดท้ายเขาก็เลือกห้องพักชั้นล่างให้เรา ด้วยเหตุผลว่าเป็นห้องที่กว้างที่สุด อีกทั้งยังมีห้องด้านนอกไว้ให้ได้นั่งเล่น แต่อย่าคิดว่าห้องพักในลักษณะนี้จะราคาประหยัดนะครับ เพราะคืนนี้เราจ่ายค่าที่พักสูงถึง 103 ยูโร ซึ่งเป็นค่าที่พักที่สูงสุดในทริป แต่นั่นก็ประหยัดกว่าการไปพักในเมืองฮัลล์ซตัทท์เกือบเท่าตัว

เราออกเดินสำรวจ ออบเบอร์ตรวน เมืองเล็กกลางหุบเขา ถนนที่ตัดพอให้รถวิ่งสวนทางกันได้นี้ นานๆจะมีรถวิ่งผ่านมาสักคัน และด้วยอากาศที่ไม่หนาวเกินไปนัก เราจึงสามารถเดินชมบ้านเรือนที่สวยงามและธรรมชาติที่บริสุทธิ์ของเมืองนี้ได้อย่างเต็มตา เต็มปอด และเต็มหัวใจ บ้านเรือนแต่ละหลังหากปลูกสร้างด้วยปูนก็จะทาสีไว้อย่างสดใส แต่ก็ยังคงพบเห็นบ้านที่ปลูกด้วยไม้ หลังคามีปล่องไฟตามแบบบ้านในยุโรปยุคเก่า สร้างขึ้นกระจายอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างเขียวขจี

เราเดินไปบนเนินลัดเลาะไปตามบ้านเรือนที่สร้างอิงแอบแนวเทือกเขา ยามนี้มีสายหมอกลอยมาคลอเคลียอยู่ด้านบน ในขณะที่บนทุ่งหญ้ากว้างจะพบเห็นดอกไม้ดอกเล็กที่ซ่อนตัวอย่างเขินอายจากสายตาของผู้ผ่านทาง ซึ่งไม่ใช่เพียงดอกไม้ดอกน้อยเท่านั้นที่อาศัยทุ่งหญ้าเป็นที่พักพิง แต่ยังมีฝูงไก่ที่ย่างก้าวเดินคุยเขี่ยหาอาหารอย่างสบายอารมณ์ ช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนให้ไม่อยากเดินไปไหน แต่อยากหยุดการก้าวไปของสองขาไว้ ณ ที่แห่งนี้ให้นานเท่านาน

จักรยานของ 2 หนุ่มสาวปั่นผ่านเราไป หากเขาทั้งสองไม่พักอยู่ที่นี่แล้วเช่าจักรยานปั่นชมเมือง ก็อาจหมายถึงจุดหมาย ณ ปลายทางอยู่ที่เมืองฮัลล์ซตัทท์ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ โดยซ่อนตัวอยู่หลังเหลี่ยมเขาที่สายตาไม่สามารถมองเห็นจากฝั่งนี้ได้

สองเท้าของเรามาหยุดลงที่ริมทะเลสาบฮัลล์ซตัทท์ แม้ทัศนียภาพของทะเลสาบที่มองมาจากเมืองออบเบอร์ตรวน อาจจะเป็นรองทัศนียภาพที่มองจากเมืองฮัลล์ซตัทท์ แต่นั่นก็เป็นแค่เพียงการจัดอันดับความสวยงามตามสายตาของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน เพราะความสวยงามในสายตาของแต่ละคนนั้นย่อมต่างกันไป

สำหรับผมแล้ว ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าในขณะนี้ช่างงดงามยิ่งนัก เพราะไม่ใช่เพียงผืนน้ำที่ใสสะอาดดั่งกระจกที่แผ่ตัวกว้างไปจรดขุนเขารูปทรงแปลกตาที่สายหมอกลอยคลอเคลียอยู่บนยอดเท่านั้น แต่ความงดงามที่ผมสัมผัสได้นั้นมาจากความเงียบสงบที่มาพร้อมกับพลังจากธรรมชาติ ที่พร้อมจะมอบพลังความสดชื่นให้กับทุกชีวิตที่เปิดใจสัมผัส

แม้ในเวลานี้จะยังไม่เย็นมากนัก แต่ท้องฟ้าในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนั้นมืดเร็วกว่าปกติ ท่ามกลางรอยต่อระหว่างแสงอาทิตย์กับแสงจันทร์ เราตัดสินใจเดินกลับที่พักโดยหวังว่าจะฝากท้องกับร้านอาหารสักร้านที่เปิดให้บริการ แต่เมืองออบเบอร์ตรวนเล็กและเงียบกว่าที่เราคิด เพราะไม่ใช่แค่ร้านอาหาร เพราะแม้แต่ร้านค้าสักร้านให้เราได้ซื้ออะไรรองท้องสำหรับมื้อเย็นก็ไม่มีสักร้าน บ้านเรือนแต่ละหลังปิดตัวอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายเราจึงฝากความหวังไว้กับที่พัก เพราะอย่างน้อยเขาน่าจะมีอะไรไว้รับรองแขกผู้หิวโซ

ชายเจ้าของบ้านพักพร้อมภรรยายิ้มต้อนรับเราทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เย็นนี้เขาพอมีขนมปังพร้อมซุปสปาเก็ตตีไว้ให้เรารองท้อง ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือรู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่อย่างน้อยก็มีอะไรให้กระเพราะในเวลาค่ำ ซุปสปาเก็ตตีร้อนๆที่สุดแสนธรรมดาที่กินท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นนี้จึงอร่อยยิ่งนัก

ระหว่างการกินเราก็สอบถามชายเจ้าของที่พักถึงการเดินทางไปเมืองฮัลล์ซตัทท์ในวันพรุ่งนี้ โดยเรามีตัวแปรซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญนั่นคือ ต้องกลับมาขึ้นรถไฟที่สถานีออบเบอร์ตรวนให้ทันในเวลา 11.28 น. ชายเจ้าของบ้านพักจึงแนะนำทางเลือกที่ดีที่สุดนั่นคือ การเดินทางด้วยรถไฟขบวนแรก เวลา 07.02 น. จากสถานีออบเบอร์ตรวนสู่สถานีฮัลล์ซตัทท์ จากนั้นนั่งเรือข้ามทะเลสาบสู่เมืองฮัลล์ซตัทท์ สำหรับขากลับให้ขึ้นรถเมล์รอบ 10.57 น. กลับออบเบอร์ตรวน เราได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตกใจ ว่าเวลากระชันขนาดนั้นไม่ตกรถไฟหรอ แต่ชายเจ้าของบ้านให้ความมั่นใจกับเราว่า รถเมล์ใช้เวลาวิ่งเพียงแค่ 10 นาที ซึ่งน่าจะพอให้เราลากกระเป๋าไปรอรถไฟที่สถานีได้อย่างสบายๆ เพราะระบบขนส่งมวลชนในประเทศออสเตรียนั้นตรงเวลาสุดๆ

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 10.25 น.

ความคิดเห็น