จากข้อมูลที่ศึกษามา ที่กรุงเวียนนานี้มีตลาดนานาชาติด้วย แทนที่จะเข้าไปกินอาหารในร้านอาหารแบบที่เคย ค่ำนี้หลังจากดื่มด่ำกับแสงไฟที่อาบไล้พระราชวังเชินบรุนน์แล้ว เราจึงโดยสารรถไฟใต้ดินเพื่อมายังตลาดนาชมาร์ค (Naschmarkt) ซึ่งก็แอบลุ้นเล็กๆว่าเวลาค่ำเช่นนี้ตลาดจะวายหรือยัง

ร้านค้าในตลาดแห่งนี้ตั้งเรียงรายเป็นแถวซ้ายขวา ยาวไปตามลานที่ขนานไปกับถนน มีสารพัดสินค้าที่มาจากแต่ละประเทศ ทั้งของสดและของแห้ง ทั้งของที่ต้องซื้อกับไปทำกินที่บ้านหรือสามารถกินได้ทันที โดยเฉพาะของสดนั้นจะมีป้ายและธงของประเทศที่เป็นแหล่งผลิตกำกับไว้ สินค้าจากประเทศไทยก็มีหลายอย่าง ทั้งมะนาว หอมแดง กระเทียม เผือก มัน ขิง นอกจากนี้ยังมีของที่ระลึก และงานฝีมืออีกจำนวนมาก เราเดินดูจนตาลาย แต่สุดท้ายไม่ได้อาหารติดมือมาสักอย่าง จึงต้องเดินกลับมาหาร้านอาหารที่บริเวณสถานีรถไฟใต้ดินแทน

นอกจากตลาดนาชมาร์คแล้ว ในย่าน Karlsplatz ยังมีสถานที่สำคัญหลายแห่ง เต้ยอยากไปดู Operahouse ว่าสวยตระการตาเหมือนค่ำล่ำลือไหม แม้จะมี GPS ในมือถือก็ตาม แต่ยิ่งมืดยิ่งทำให้เราหลงทิศหลงทาง สุดท้ายจึงไม่สนใจ เพราะใจสนแต่โบสถ์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล เพราะดูงดงามยิ่งนัก เราจึงเดินเข้าไปชมใกล้ๆ โบสถ์แห่งนี้คือ โบสถ์คริสตจักรชาร์ลส์ (Karlskirche) โบสถ์แห่งนี้สร้างตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมที่สมมาตร ตรงกลางเป็นโดมขนาดใหญ่ มีเสาสูงตะหง่าน 2 ต้น ตั้งแยกออกมาจากตัวโบสถ์ ขนาบซ้ายขวาของโดมประธาน ผืนผิวของเสาหินสลักเสลาลวดลายไว้อย่างงดงาม

ในขณะที่เรายืนชมความงามของโบสถ์ ฝนห่าใหญ่ก็เทลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เราจึงรีบวิ่งเข้าไปหลบฝนใต้ชายคาโบสถ์ ฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด ซึ่งในเวลานั้นก็มีผู้คนจำนวนหนึ่งยืนกางร่มต่อแถวเพื่อซื้อตั๋วเข้าชมคอนเสิร์ตที่จะมีการแสดงขึ้นในโบสถ์ จนเราอดคิดไม่ได้ว่า สงสัยฝนที่ห่างหายจากฟ้ามาหลายวันคงอยากให้เราซื้อบัตรเข้าชมคอนเสิร์ตเป็นแน่ แต่ผ่านไปอีกไม่นานนักสายฝนก็เริ่มเบาลง เราจึงตัดสินใจกางร่มแล้วออกเดินก่อนที่ฝนจะกลับมาตกแรงอีกครั้ง

ร่มคันเล็กเพียงคันเดียวที่ผมพกใส่กระเป๋ามานั้นไม่พอที่จะกันฝนสำหรับผู้ชาย 2 คน แต่เต้ยยังมุ่งมั่นที่จะไปชม Operahouse ซึ่งคงเพราะอดเห็นที่กรุงบูดาเบสท์ จึงขอว่าอย่างน้อยมาเห็นที่กรุงเวียนนาก็ยังดี เราจึงเปียกปอนกันพอสมควร โดยย่านนี้เป็นย่านเก่าแก่ เราจึงได้เห็นรถรางรุ่นคลาสสิคสีแดงวิ่งให้บริการเฉกเช่นเดียวกับรถรางสีเหลืองในกรุงบูดาเบสท์

Operahouse แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1920 ด้วยการที่ฝนยังคงตกเช่นนี้เราจึงต้องอาศัยชายคาของทางลงสถานีรถไฟใต้ดินเป็นที่หลบฝนเพื่อยืนมองความงามจากอีกฟากของถนน ซึ่ง Operahouse แห่งนี้งดงามยิ่งนัก จึงคุ้มแล้วกับการที่ต้องฝ่าฝนเพื่อมาชมความงาม

หนึ่งวันในกรุงเวียนนาจบลงที่ตัวเปียกฝน และหัวใจเปียกปอนไปด้วยความงามที่สาดเข้ามาจากสถานที่ต่างๆทั้งวัน

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 15.26 น.

ความคิดเห็น