เมื่อวานเที่ยว 2 วังใหญ่จนเต็มอิ่มแล้ว วันนี้เราจึงขอเที่ยวชมใจกลางเมืองเก่ากันบ้าง จุดศูนย์กลางของย่านเมืองเก่าเวียนนานั่นก็คือ จัตุรัสสเตฟาน (Stephansplatz) ซึ่งโอบล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์นับสิบๆแห่ง สำหรับการเดินทางนั้นสะดวกมาก เพราะเป็นจุดตัดของรถไฟใต้ดิน 2 สาย คือสาย 1 กับ สาย 3 โดยเราโดยสารรถไฟสาย 1 จากสถานีรถไฟกรุงเวียนนาเพียงแค่ 3 สถานีก็ถึง

โผล่ขึ้นมากจากใต้ดินที่สถานี Stephanspl เราก็สบตาเข้าอย่างจังกับโบสถ์นักบุญสเตเฟน (St. Stephen’d Cathedral) ที่สูงตระหง่าน ด้วยการมาถึงแต่เช้า เช้ามากเพราะยังไม่ได้กินอาหารเช้าเลย โบสถ์แห่งนี้จึงยังไม่เปิดให้เข้าชมภายใน แต่เราก็ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไป ด้วยการเดินชมความยิ่งใหญ่ตระการตาของโบสถ์ภายนอกโดยเดินวน 1 รอบเพื่อชมให้ครบทุกซอกมุม

โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์ในนิกายโรมันคาทอลิก ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1137 เพื่ออุทิศให้แก่นักบุญสเตเฟน ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ กอธิค โดยมีการบูรณะเรื่อยมา จนปัจจุบันโบสถ์หลังนี้มีความสูงถึง 136.7 เมตร ในขณะที่มีความยาว 107 เมตร และกว้าง 70 เมตร จึงเป็นโบสถ์ขนาดมหึมาทีเดียว นอกจากลวดลายที่ช่องหน้าต่างและยอดหอคอยสูงเสียดฟ้าแล้ว ความงามของโบสถ์หลังนี้ยังมาจากกระเบื้องมุงหลังคาที่มุงเป็นลวดลายเลขาคณิตอย่างสวยงาม

เราเดินวนรอบโบสถ์พบว่าในวันนี้พื้นผิวหลายส่วนของโบสถ์ได้เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำตามกาลเวลาที่ผ่านไป และมีการบูรณะเป็นส่วนๆ ไม่ได้ทำพร้อมกันทั้งโบสถ์ จุดประสงค์หนึ่งคงเพื่อให้นักท่องโลกที่มาเยือนไม่ต้องรับความผิดหวังกลับไป เพราะอย่างไงก็ยังสามารถชมความงามของโบสถ์ในมุมที่ยังไม่มีการปิดกั้นเพื่อการบูรณะ ซึ่งน่าสังเกตว่าการกั้นพื้นที่เพื่อการบูรณะของที่นี่ ทุกอย่างดูเป็นพาณิชย์ไปเสียหมด เพราะไม่ได้เป็นแผ่นสังกะสีโล่งๆแบบบ้านเรา แต่เป็นแผ่นป้ายโฆษณา จนทีแรกเข้าใจผิด เพราะมองไกลๆคิดว่าเป็นร้านค้าที่ตั้งอยู่ข้างโบสถ์

เดินวนจนรอบแล้ว แต่โบสถ์ก็ยังไม่เปิดให้เข้าชม เราจึงขอไปหาอาหารเช้าทานกันก่อนที่จัตุรัสสเตฟาน เวลานี้ร้านรวงต่างๆที่อยู่ภายในอาคารเก่าแก่ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงามสอดรับกับโบสถ์นักบุญสเตเฟนเริ่มเปิดให้บริการแล้ว เต้ยเลือกเดินตรงดิ่งเข้าร้านเคเอฟซี แต่มื้อนี้ผมขอแยกทางกับเพื่อนร่วมทางชั่วคราว เพราะใจหมายปองอยากลิ้มลองเบเกอรี่ร้านดัง ร้าน Aida ซึ่งเปิดขายมาตั้งแต่ปีค.ศ.1913 เมื่อเข้าไปในร้าน ใจผมก็พองโตเมื่อได้เห็นเหล่าเบเกอรี่หน้าตาน่ากินนับสิบๆแบบ ละลานตาจนเลือกไม่ถูก โดยแต่ละชนิดราคาแพงๆทั้งนั้น จึงเลือกมา 1 ชิ้นเพื่อลิ้มลอง ซึ่งยอมรับเลยว่าคุณภาพความอร่อยนั้นสูงสมราคาจริงๆ

เรากลับมาที่โบสถ์นักบุญสเตเฟนอีกครั้ง ในเวลานี้ประตูหน้าโบสถ์เปิดต้อนรับผู้มาเยือนแล้ว โดยเปิดให้เข้าชมฟรี เพราะปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นโบสถ์ที่มีคริสต์ศาสนิกชนเข้ามาสวดมนต์เหมือนเช่นเมื่อเกือบ 9 ร้อยปีก่อน เมื่อเดินเข้าสู่ภายในโบสถ์สิ่งที่ผมสัมผัสได้คือบรรยากาศที่เคร่งขรึม อันเกิดจากสีของเสาและเหล่ารูปปั้นที่เป็นโทนสีดำ ในขณะที่เพดานที่สูงโปร่งนั้น ตัวโครงสร้างของคานที่ไขว้ไปมาทำให้เกิดเป็นรูปคล้ายดวงดาว ที่ถูกแสงไฟอาบไล้จนกลายเป็นสีทอง

ภายในโบสถ์มีการจำหน่ายบัตรสำหรับผู้สนใจลงไปชมสุสานใต้ดิน และการขึ้นลิฟท์สู่หอคอยทางทิศเหนือ แต่เราเลือกที่เดินออกจากโบสถ์ไปยังด้านทิศใต้ เพราะการขึ้นลิฟท์นั้นธรรมดาไป อย่างเราต้องเดินขึ้นบันไดสู่หอคอยทิศใต้ ซึ่งสร้างขึ้นมาภายหลัง ใช้เวลาสร้างนาน 75 ปี แล้วเสร็จเมื่อปีค.ศ.1433 เป็นหอคอยที่สูงที่สุด ด้วยความสูง 136.7 เมตร ซึ่งนั่นหมายถึงความสูงของยอดหอคอย แต่สำหรับชั้นที่เปิดให้คนทั่วไปขึ้นไปชมวิวนั้นมีความสูง 67 เมตร โดยต้องเดินขึ้นบันไดถึง 343 ขั้น หรือประมาณตึก 17 ชั้น

บันไดขึ้นสู่หอคอยทิศใต้เป็นบันไดวนแคบๆ สร้างเกาะกับเสาหินแล้วหมุนวนไต่ระดับขึ้นไป เดินไปหอบไป หลบให้ทางคนที่เดินสวนลงมาบ้าง แต่ไม่มีการหลบให้คนด้านหลังที่จะเดินแซงขึ้นไป เพราะต่างคนต่างเหนื่อยจากสังขารที่กำลังสวนแรงโน้มถ่วงของโลก จนในที่สุดทัศนียภาพกว้างไกลของกรุงเวียนนาก็ปรากฏให้ได้เห็น

ณ ความสูง 67 เมตร สามารถมองเห็นทัศนียภาพ 360 องศาของกรุงเวียนนา โดยรวมแล้วมีอาคารสูงปรากฏให้เห็นแค่เพียงหย่อมๆเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาคารเก่าแก่ที่เดินทางผ่านกาลเวลามาพร้อมเมืองหลวงแห่งนี้ และที่สำคัญการขึ้นมาที่หอคอยทิศใต้นี้สามารถมองเห็นความสวยงามของลวดลายกระเบื้องหลังคาโบสถ์นักบุญสเตเฟนจากมุมสูง โดยใช้กระเบื้องหลากสีมากถึง 230,000 แผ่น ทุกแผ่นยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่มีการแตกหักเลย ด้านบนนี้มีป้ายแสดงความอัศจรรย์ของตัวเลขให้ชวนคิดด้วย เพราะตัวเลขขั้นบันได 343 นี้ หากนำ (3 + 4) แล้วยกกำลัง 3 ก็จะได้ตัวเลข 343 พอดี

เรากลับลงสู่จัตุรัสสเตฟาน จากเมื่อเช้าที่ผู้คนบางตา ในเวลานี้คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว มาถึงเวียนนาดินแดนของศิลปะและดนตรีคลาสสิค ผมจึงอยากได้ซีดีเพลงบรรเลงของโมซาร์ท กับ โยฮันน์ ซเตราสส์ ซึ่งเป็นศิลปินชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงก้องโลกกลับไปเป็นที่ระลึก แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหูตัวเองจะฟังถึงหรือเปล่า จึงเข้าไปในร้านของที่ระลึกซึ่งเป็นร้านขนาดใหญ่มากตั้งอยู่ด้านหน้าโบสถ์นักบุญสเตเฟน ของฝากในร้านนี้มีให้เลือกหลายรูปแบบ แต่เดินหาจนทั่วก็ไม่พบซีดีเพลง จึงเดินเข้าไปสอบถามพนักงานขาย ดูๆแล้วเธอไม่น่าจะเป็นชาวออสเตรีย เป็นตามที่คิดเพราะน้องผู้หญิงที่ผมถามนั้นเธอเป็นหญิงไทย การสนทนาจึงสะดวกสบายขึ้น เธอพาไปยังมุมที่จำหน่ายซีดีเพลง แม้จะมีให้เลือกไม่มากนัก แต่คนที่ไม่เคยฟังดนตรีคลาสสิคเช่นผมเห็นแล้วก็งงไม่รู้ว่าควรเลือกซื้ออัลบั้มไหนดี เธอจึงสอบถามจากพนักงานขายอีกคนให้ สรุปว่าเพราะทุกอัลบั้ม ถ้าเลือกไม่ถูกก็ซื้อไปทั้งหมดก็ดี ! เป็นคำตอบของนักขายมืออาชีพจริงๆ

จากจัตุรัสสเตฟาน เราเดินเข้าสู่ถนนกราเบน (Graben) ถนนสายนี้เป็นถนนคนเดินที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าภายในอาคารเก่าแก่ที่สวยงาม โดยมีประติมากรรม Wiener Pestsaule ตั้งโดดเด่นอยู่ที่กลางถนน พร้อมด้วยโต๊ะอาหารให้นั่งกินกันกลางแจ้ง รับแสงแดดและสายลมตามสไตล์ตะวันตก

เดินไปได้ไม่เท่าไหน เราก็พบกับอีกหนึ่งสถานที่สำคัญซ่อนตัวอยู่ในตรอกเล็กๆบนถนนกราเบน นั่นคือ โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (St. Peter Cathedral) เป็นอีกหนึ่งโบสถ์เก่าแก่แห่งกรุงเวียนนา หากไม่มีโบสถ์นักบุญสเตเฟนที่ตั้งอยู่ใกล้ๆเป็นตัวเปรียบเทียบแล้ว โบสถ์แห่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่ ด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรก โดยมีหอระฆังโอบสองข้างของโดมประธาน

บนตรอกนี้มีรถม้าหลายคันวิ่งผ่านไปมา จึงน่าจะเป็นหนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวเมืองเก่าเวียนนา เราเข้าไปภายในโบสถ์ ในเวลาที่กำลังมีการสวดมนต์พอดี คนต่างศาสนาเช่นเราจึงยืนสงบเพื่อไม่ให้รบกวนพิธีกรรม ในขณะที่สายตาก็สอดส่องชมความงามของการตกแต่งภายในที่ดูหรูหราจากลวดลายสีทอง พร้อมเหล่ารูปปั้นสีขาว มองดูแล้วรู้สึกสว่างไสว ต่างจากโบสถ์นักบุญสเตเฟนที่ดูเคร่งขรึม

ออกจากโบสถ์เซนต์ปีเตอร์เราก็เดินชมความงามของเหล่าอาคารและประติมากรรมบนถนนกราเบนกันต่อ แต่เดินได้ไม่เท่าไหร่เต้ยก็ชวนไปหาอาหารเที่ยงกิน ซึ่งยังไม่เที่ยง แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะมื้อเช้าผมมีแค่เบเกอรี่ 1 ชิ้นเท่านั้น เดินไปเดินมาแถมขึ้นบันได ลงบันได รวมแล้วร่วม 7 ร้อยขั้นจึงเริ่มหิวเหมือนกัน มื้อนี้เต้ยเป็นคนเลือกโดยเป็นร้าน Shanghai แน่นอนว่าเป็นร้านอาหารของคนจีน ภายในนั้นตกแต่งอย่างหรูหราในรูปแบบภัตตาคารจีน ผมเลือกหมี่ผัด ที่แม้จะมันไปนิดแต่ก็อร่อยดี คิดๆไปแล้วบางทีทริปนี้เราเข้าร้านอาหารจีนมากกว่าร้านอาหารตะวันตกเสียอีก

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 17.02 น.

ความคิดเห็น