เราใช้บริการรถไฟใต้ดินเพื่อเดินทางกลับที่พัก ผ่านไปผ่านมาหลายรอบตั้งแต่วันแรกที่เหยียบกรุงมอสโก แต่เราก็ยังไม่ได้เข้าไปชมภายในโบสถ์คริสต์ซาวิเออร์ หรือโบสถ์เซนต์ซาเวียร์ (Christ the Saviour catheral) ซึ่งอยู่ใกล้ hostel ที่เราพักกันเสียที เข้าทำนองใกล้เกลือกินด่าง ก่อนโบกมือลากรุงมอสโก เราจึงขอเข้าไปชมโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงมอสโกเป็นการทิ้งทาย

โบสถ์เซนต์ซาเวียร์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมอสควา ที่สามารถมองเห็นพระราชวังเครมลินได้อย่างชัดเจน เป็นโบสถ์ในคริสตศาสนานิกายออร์โธดอกซ์ สร้างขึ้นในปีค.ศ.1883 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 40 ปี ถูกทำลายโดยคำสั่งของสตาลินในปีค.ศ.1931 แต่ก็ได้รับการสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในปีค.ศ.1937 แล้วก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากนาซีเยรมันในปีค.ศ.1941 จนในปีค.ศ.1995 จึงได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ แล้วเสร็จในปีค.ศ.2000 จนมีความสูงถึง 103 เมตร นอกจากเป็นโบสถ์ที่สูงที่สุดในมอสโกแล้ว ยังเป็นโบสถ์ออร์โธดอกซ์ที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย

โบสถ์แห่งนี้งดงามทั้งภายในและภายนอก ตัวโบสถ์สีขาวสะอาดตา ด้านบนมีโดมบริวารสีทองอร่าม 4 อันอยู่ในทิศทั้ง 4 ตรงกลางเป็นโดมประธานขนาดใหญ่ นอกจากความสวยงามแล้ว ยังสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งมั่นคง และเมื่อเราเดินเข้าสู่ภายในโบสถ์ ก็สัมผัสได้ถึงความสวยงามและความศักดิ์สิทธิ์ในพิธีที่คริสต์ศาสนิกชนกำลังประกอบพิธีกรรมอยู่ในขณะนั้น

เวลาในกรุงมอสโกของเราใกล้สิ้นสุดลง กระเป๋าเดินทางถูกลากอีกหนจากห้องแคบๆในโฮสเทล สู่ถนนใหญ่และชานชลารถไฟใต้ดิน วันนี้เราใช้เวลาอย่างคุ้มค่าแบบทะลุทะลวงทั้งใต้ดินและบนดิน จนแข้งขาเริ่มโอดครวญ เมื่อถึงสถานี Kurskaya เราจึงขอนั่งพักแข้งพักขาสักพัก ก่อนที่จะเดินลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟสีแดงแป๊ดเพื่อเดินทางไปยังเมืองวลาดิมีร์ และเมื่อประตูรถไฟปิดลง เสียงของการเสียดสีระหว่างล้อรถกับรางรถไฟดังขึ้น ก็คือเวลาที่เราโบกมือลาจากกรุงมอสโกอย่างแท้จริง

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพฤหัสที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2564 เวลา 11.42 น.

ความคิดเห็น