ประเทศไทยมีสามเหลี่ยมทองคำ แต่ที่รัสเซียมีวงแหวนทองคำ หรือ โกลเดนริง (Golden Ring) ซึ่งก็คือเมืองสำคัญทั้งในแง่เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์และการท่องเที่ยว ที่อยู่รอบกรุงมอสโก โดยปกติโปรแกรมทัวร์ที่ไปกรุงมอสโกจะบวกเมืองในโกลเดนริงไปด้วยสักเมืองสองเมือง ทริปการเดินทางของเราก็เช่นกัน เราเลือกเมืองวลาดิมีร์กับเมืองซุสดัลเป็นตัวแทนของเมืองในโกลเดนริงที่เราไปเยือน เพราะ 2 เมืองนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกคู่กัน

จากกรุงมอสโก เราวางแผนเดินทางไปตั้งหลักที่เมืองวลาดิมีร์ก่อน ส่วนการเดินทางไปเมืองซุสดัลนั้น ไว้ถึงวลาดิมีร์แล้วค่อยว่ากัน

ไม่ถึง 2 ชั่วโมง รถไฟก็พาเราเดินทางมาถึงเมืองวลาดิมีร์ (Vladimir) ดูจากแผนที่แล้วที่พักที่จองไว้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ เรามาถึงเวลาประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง ซึ่งยังไม่ดึกมากนัก แต่ดูเหมือนวลาดิมีร์ใกล้เข้านอนเต็มที ร้านค้าหน้าสถานีรถไฟจึงพากันปิดร้าน เหลือเพียงร้านอาหารริมทางแค่ 2 แห่งที่ขายพวกเบเกอร์ให้กับลูกค้าที่มาเยือนยามดึก

เราลากกระเป๋าไปตามแผนที่ ดูแล้วโฮสเทลที่เราจองไว้น่าจะหาได้ง่ายเพราะถนนในตัวเมืองนั้นเป็นบล็อกสี่เหลี่ยมอย่างชัดเจน แต่ติดปัญหาตรงที่ถนนเข้าสู่โฮสเทลนั้นเปลี่ยนจากถนนลาดยางกลายเป็นถนนลูกรังที่สร้างความรังควานต่อล้อกระเป๋าเป็นยิ่งนัก และเมื่อมองเข้าไป ดูเหมือนจะไม่มีบ้านคน จนเริ่มกังวลว่าเรามาผิดทาง หรือโฮสเทลที่เราจองไว้จะมีตัวตนจริงๆหรือเปล่า ผมจึงให้น้องเนยืนรอที่ปากทางพร้อมเฝ้ากระเป๋า ส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปตามถนนลูกรังสายนี้ แต่เดินเข้าไปไม่ไกลนักก็เห็นป้ายชื่อโฮสเทลที่เราจองไว้ นี่แหละน่า ความมืดมักทำให้ความลังเลเกิดขึ้นได้เสมอ

HD hostel ที่เราจองไว้นั้นดูดี น่ารัก น่าพักมากๆ เพราะห้องพักก็กว้างขวาง แถมยังมีห้องนั่งเล่นที่มีตุ๊กตาหมีตัวโตนั่งเป็นเพื่อน พร้อมห้องครัวที่มีอุปกรณ์ทำครัวครบครัน แถมมีข้าวสารให้หุงได้ฟรี จึงให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านตัวเอง

แผนที่เราวางไว้คือพักที่วลาดิมีร์ 2 คืน วันพรุ่งนี้จะนั่งรถจากวลาดิมีร์ไปเที่ยวที่เมืองซุสดัล (Suzdal) ที่อยู่ติดกัน ส่วนวลาดิมีร์ค่อยเก็บไว้เที่ยววันถัดไป ชื่อเมืองวลาดิมีร์นั้นคนทั่วไปน่าจะเคยได้ยิน แต่อาจจะไม่เคยไปเยือน ยิ่งเป็นเมืองซุสดัล นอกจากไม่เคยไปเยือนแล้ว ยังไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ แต่สำหรับนักเดินทางชนิดเที่ยวเนิบช้า ตามหาเมืองที่อยู่เหนือกาลเวลาแล้ว เมืองซุสดัลคือหนึ่งในปลายทางที่ฝันหา

จากการสอบถามพนักงานที่ HD hostel ได้ความว่าจากวลาดิมีร์มีรถบัสวิ่งไปเมืองซุสดัลทุกชั่วโมง ทันทีที่พระอาทิตย์ของเช้าวันใหม่โผล่หน้าออกมาทักทาย เราก็ออกจากโฮสเทลเพื่อไปยังสถานีขนส่งที่อยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟ เพื่อซื้อตั๋วรถเที่ยวแรกคือเวลา 07.00 น. ใช้เวลาไม่นานรถก็พ้นเขตตัวเมืองวลาดิมีร์ สู่สองข้างทางที่เป็นทุ่งกว้าง แค่ไม่ถึงชั่วโมงเราก็ถึงสถานีขนส่งเล็กๆของเมืองซุสดัล มองไปรอบตัวแล้วรู้สึกว่าสถานีขนส่งน่าจะอยู่นอกเขตตัวเมือง จึงลองเดินเข้าไปสอบถามคนแถวนั้นประกอบกับดูป้ายแผนที่ที่หน้าสถานีขนส่งก็เป็นไปตามที่คิด

เราใช้บริการแท็กซี่เพื่อให้ไปส่งในเขตตัวเมือง โดยให้ไปส่งยังพระราชวังเครมลินแห่งเมืองซุสดัล อย่างที่เขียนไว้ครับว่าคำว่าเครมลินนั้นหมายถึง ป้อมปราการ เมืองซุสดัลนั้นเป็นเมืองเก่า อีกทั้งยังเคยเป็นอดีตเมืองหลวงแห่งแคว้นซุสดัล จึงไม่แปลกที่จะมีพระราชวังเครมลิน หรือพระราชวังในป้อมปราการของตนเอง แต่เรามาถึงเช้าเกินไป พระราชวังเครมลินแห่งเมืองซุสดัลจึงยังไม่เปิดให้เข้าชม แต่ไม่เป็นไร เพราะในเวลานี้มีสิ่งที่น่าสนใจกว่า

สิ่งที่น่าสนใจที่ว่านี้ก็คือ ธรรมชาติของทุ่งนาแบบชนบทที่ล้อมรอบเราอยู่ เพราะหลังจากที่หมดบทบาทในฐานะเมืองหลวงแห่งแคว้น ซุสดัลก็กลายเป็นเมืองชนบทที่น่ารัก วิถีชีวิตของผู้คนจึงยังคงดำเนินไปตามจังหวะเวลาที่เคลื่อนตัวช้าจนแทบจะหยุดนิ่ง มองออกไปจึงได้เห็นทั้งลำธารน้ำใส ทุ่งนา และฝูงวัวกำลังเล็มหญ้าอย่างสบายอารมณ์

เราเดินบนสะพานไม้ที่ทอดข้ามลำธารน้ำใสนามว่า Kamenka บนผิวน้ำมีฝูงเป็ดลอยเป็นกลุ่มๆ มองกลับไปเห็นพระราชวังเครมลินตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอย่างงดงาม เราสูดหายใจรับอากาศที่บริสุทธิ์ แล้วเดินต่อไปตามถนนดิน ผ่านบ้านเรือนชนบทที่ดอกไม้หน้าบ้านต่างผลิบาน ช่างเป็นการเดินรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าที่สุดแสนสบายใจ

เราเข้าไปเลือกชมเลือกซื้อสินค้าของที่ระลึกที่ชาวบ้านเพิ่งจัดเรียงสินค้ารับการมาเยือนของคนต่างถิ่น ดูราคาแล้วแต่ละอย่างถูกกว่าที่วางขายในกรุงมอสโกมาก โดยเฉพาะตุ๊กตาแม่ลูกดก ที่ทั้งตัวใหญ่กว่า ลูกดกกว่า แต่ราคากลับถูกกว่าครึ่งจากราคาที่ขายในมอสโก ผมจึงเลือกซื้อทั้งตุ๊กตาแม่ลูกดกตัวโต พร้อมทั้งของที่ระลึกอีกหลายอย่างติดกระเป๋าตั้งแต่หัววัน ทั้งๆที่ยังไม่ควรซื้อเพราะต้องแบกไปตลอดทั้งวัน ซึ่งหากเวลานั้นผมรู้ล่วงหน้าว่าที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจะเกิดอะไรขึ้นกับกระเป๋าตังค์ผม ผมคงไม่คิดต่อราคาสินค้ากับแม่ค้าที่ดูเป็นชาวบ้านใสซื่อแม้แต่รูเบิลเดียว

การเดินเท้าของเราหยุดลงที่พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมไม้ (Museum of wooden architecture) เป็นสถานที่ที่จะทำให้เราได้เห็นอาคารสถาปัตยกรรมต่างๆที่สร้างขึ้นจากไม้ สิ่งก่อสร้างทั้งหมดที่อยู่ในสถานที่นี้สร้างขึ้นตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 18 ในแคว้นซุสดัล กับแคว้นวลาดิมีร์ แล้วถูกย้ายมายังสถานที่แห่งนี้ในปีค.ศ.1960 แต่ละสิ่งก่อสร้างจึงเต็มไปด้วยความเก่าแก่ที่แสนคลาสสิค

เริ่มจากโบสถ์ 2 หลังที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้า เป็นโบสถ์ไม้ของเซนต์นิโคลัส สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.2309 รูปแบบสถาปัตยกรรมแม้จะมียอดโดมเหมือนโบสถ์ในกรุงมอสโก แต่ก็เป็นยอดโดมที่สร้างจากไม้จึงดูแปลกตา อีกทั้งสถาปัตยกรรมโดยรวมมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด โดยสร้างลักษณะหอคอย มีชั้นที่ขนาดลดหลั่นที่อยู่สูงขึ้นไป

บนทางเดินที่ขนาบไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีกังหันไม้ขนาดใหญ่ 2 อัน ตั้งโดดเด่นที่ปลายทาง ระหว่างทางเรียงรายไปด้วยกระท่อมไม้หลายหลัง ในสไตล์บ้านไร่ชายทุ่ง แต่ละหลังดึงดูดสายตาด้วยดอกไม้ในกระถางที่ปลูกอยู่ข้างบานหน้าต่าง แม้อากาศภายนอกจะค่อนข้างหนาวเย็น แต่เมื่อเข้าไปภายในกระท่อมที่สร้างจากไม้อย่างแข็งแรง ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น จนอยากจะกลายสภาพเป็นชาวนาและพักอยู่ในกระท่อมสักคืนสองคืน

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2564 เวลา 16.01 น.

ความคิดเห็น