แม้จะเพิ่งตื่นจากฝันร้าย แต่ชีวิตยังต้องเดินต่อไปบนเส้นทางแห่งความฝัน และก็เป็นไปตามที่คิด น้องเนตื่นมาเพื่อจะบอกว่า วันนี้ให้ผมตะลุยเดี่ยวไปเลย ตอนนี้เธอขอนอนเอาแรงก่อน แล้วสายๆค่อยออกไปเดินเที่ยวตามสไตล์ของเธอ
ผมกางแผนที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับประเมินกำลังขาของตัวเอง เมืองมรดกโลกเมืองนี้จะว่าใหญ่ก็คงไม่ใช่ แต่จะว่าเล็กก็คงไม่ถูกอีกเช่นกัน จากเหตุการณ์เมื่อวาน นอกจากกระเป๋าสตางค์ที่หายไปพร้อมกับความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นแล้ว เวลายังหมดไปกับการแจ้งความ ภาระหนักจึงตกอยู่กับวันนี้ ซึ่งผมมีเวลาอยู่ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแบบเต็มๆเหลือแค่วันเดียว แต่สถานที่ที่วาดฝันที่จะไปเยือนนั้นมีมาก แถมแต่ละแห่งยังมีสภาพเหมือนตั้งอยู่บนเกาะคนละเกาะ จากการขวางกั้นของแม่น้ำเนวา และลำคลองที่มีมากมาย วันนี้คงได้เดินข้ามสะพานกันเป็นว่าเล่น
แม้รู้ทั้งรู้ว่าการไปเยือนเหล่าโบสถ์วิหารตั้งแต่หัววันเช่นนี้ ทำได้เพียงแค่ชมความงามจากภายนอก แต่ในเมื่อเหลือเวลาแค่เพียง 1 วัน แถมรายการสถานที่สำคัญนั้นยาวเป็นหางว่าว ชีวิตจึงจำเป็นต้องเลือก เพราะอย่างไรเสีย วันนี้ผมคงต้องหมดเวลาไปกับการเดินชมบรรดามหาสมบัติล้ำค่าภายในพิพิธภัณฑ์เฮอร์มิเทจหลายชั่วโมง การเดินทางด้วยสองขาในวันนี้จึงเป็นการเดินทางแบบเป็นวงกลม โดยมีวิหารเซนต์ไอแซค (St.Isaac’s Cathedral) เป็นจุดหมายแรก
เมื่อ 2 ขาก้าวมาถึงเซนต์ไอแซคสแควร์ ซึ่งเป็นลานโล่งหน้าวิหารเซนต์ไอแซค ภาพที่ผมเห็นในเวลานี้ช่างคุ้นตายิ่งนัก จนผมต้องย้ำกับตัวเองว่านี่เรากำลังอยู่เซนต์ไอแซคสแควร์ ในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กนะ ไม่ใช่อยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในกรุงเทพมหานคร เพราะนอกจากพระที่นั่งอนันตสมาคมจะมีหน้าตาคล้ายวิหารเซนต์ไอแซคแล้ว ตำแหน่งพระบรมรูปทรงม้าของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังอยู่ในตำแหน่งใกล้เคียงกับพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้านิโคลัสที่ 1 แต่ในเวลานี้รถบัสของกรุ๊ปทัวร์ลูกเป็ดกำลังเคลื่อนตัวมาจอดแล้ว เอาหละสิ ความเงียบสงบของเซนต์ไอแซคสแควร์คงถูกปลุกตั้งแต่หัววัน
วิหารเซนต์ไอแซคที่อยู่เบื้องหน้าผมนี้ช่างเป็นวิหารที่ยิ่งใหญ่นัก สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงเซนต์ไอแซค ซึ่งเป็นนักบุญที่มีวันเกิดตรงกับวันประสูติของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปีค.ศ.1818 มาแล้วเสร็จเมื่อเวลาผ่านไปถึง 40 ปี เหตุที่ใช้เวลาก่อสร้างยาวนานเช่นนี้ เพราะสถาปนิกผู้ก่อสร้างเชื่อคำทำนายที่ว่า หากวิหารแห่งนี้สร้างเสร็จ ตนจะเสียชีวิต จึงสร้างไป ถ่วงเวลาไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อวิหารแห่งนี้สร้างเสร็จจริงๆ สถาปนิกผู้สร้างจะเสียชีวิตตามคำทำนายหรือเปล่า แต่กลายเป็นกรรมกรก่อสร้างจำนวนมากต่างหากที่ต้องเสียชีวิตในระหว่างการก่อสร้าง เนื่องจากสูดไอระเหยของสารปรอท ซึ่งใช้เป็นส่วนผสมกับทองคำเหลวในการฉาบยอดโดมให้เป็นสีทองอร่าม ความสวยงามที่เห็น จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งความสูญเสีย
เพราะใช้เวลาสร้างนานถึง 40 ปี ทำให้วิหารแห่งนี้ถูกสร้างไว้อย่างใหญ่โตด้วยความสูงถึง 101.5 เมตร โดยถูกจัดอันดับให้เป็นวิหารในศาสนาคริสต์ นิกายรัสเซียออร์โทดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก โครงสร้างใต้ยอดโดมสีทองเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมที่ดูแข็งแกร่ง โดดเด่นด้วยเสาที่สร้างจากหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านค้ำยันที่ด้านหน้าและด้านหลังอาคาร เรียงเป็นแถวถึง 8 ต้น ซ้อนกันฝั่งละ 3 แถว รวมแล้วมีเสาหินแกรนิตถึง 48 ต้น แถมแต่ละต้นหนักถึง 114 ตัน นี่ยังไม่รวมเสาต้นเล็กที่ตั้งอยู่ภายในวิหารอีก 112 ต้นนะ ผมจึงคิดเล่นๆว่า หากจัดอันดับวิหารที่ศาสนาคริสต์ที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลก วิหารเซนต์ไอแซคแห่งนี้อาจได้รับไปครองอีกหนึ่งตำแหน่ง
แล้วผมก็ได้รู้ว่าการที่น้องเนออกมาเที่ยวในช่วงสายๆก็ดีเหมือนกัน เพราะแม้ผมจะไม่ได้เข้าไปชมภายในวิหารเซนต์ไอแซคเพราะมาก่อนเวลาเปิด แต่ผมก็ยังได้ชมภาพที่สวยงามภายในวิหารจากน้องเน ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่า ภาพภายนอกวิหารที่ดูแข็งแกร่งนั้น ภายในจะงดงามตระการตาได้ขนาดนี้ ว่ากันว่าภายในวิหารมีภาพวาดและภาพโมเสกของพระเยซูและเหล่านักบุญมากถึง 400 ภาพ
จริงๆแล้วเป้าหมายต่อไปของผมคือการเดินข้ามแม่น้ำเนวาไปยังเขตวาซิลเยฟสกี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานกงสุลไทย เพื่อไปร้องเรียนเรื่องการถูกโจรกรรมเมื่อวาน แต่เมื่อผมเดินถึงทางแยก มองไปไกลสุดสายตาได้เห็นโบสถ์หลังใหญ่ที่งดงามยิ่งนัก แทนที่ผมจะเดินเลี้ยวขวาไปตามจุดหมายที่วางไว้ ผมกลับเลี้ยวซ้ายข้ามคลอง Moyka ไปยังโบสถ์นาวิกโยธิน เซนต์นิโคลัส (St.Nicholas Naval Cathedral)
เพราะความใหญ่ของโบสถ์ทำให้เกิดภาพลวงตาที่ดูเหมือนใกล้ แต่เอาเข้าจริงๆผมต้องใช้เวลาเดินนานกว่าที่คิด โบสถ์เซนต์นิโคลัส นาวาลเป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นโดยกรมทหารเรือตั้งแต่ปีค.ศ.1753 เพื่ออุทิศให้นักบุญนิโคลัส ซึ่งเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของทหารเรือ หลังจากนั้นโบสถ์แห่งนี้ก็กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของทหารเรือเรื่อยมา แต่ในวันนี้ดูเหมือนโบสถ์นาวิกโยธิน เซนต์นิโคลัส จะกลายเป็นศูนย์รวมของเหล่าขอทาน โดยทั้งหมดเป็นคุณยายนั่งขอทานท้าลมหนาว เห็นแล้วก็อดสงสาร แต่ก็คงต้องตัดใจ เพราะในเวลานี้ตัวผมเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดจากการถูกขโมยเงิน จนเกือบเป็นขอทานในรัสเซียเหมือนกัน
ผมกวาดสายตามองตัวโบสถ์ โบสถ์นี้สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรกออร์โธดอกซ์ แม้ว่ายอดโบสถ์จะสร้างเป็นรูปโดมสีทองเหมือนโบสถ์ทั่วๆไป โดยมีโดมสีทอง 4 อันตั้งล้อมรอบโดมประธาน แต่โดยรวมแล้วโบสถ์หลังนี้มีรูปร่างหน้าตาแปลกกว่าโบสถ์ในศาสนาคริสต์ นิกายรัสเซียออร์โธดอกซ์ที่ผมได้พบเห็นมาตลอดทริปนี้ ซึ่งคงมาจากลวดลายที่ประดับบนเสาและขอบหน้าต่างที่อ่อนช้อย ประกอบกับสีฟ้าของตัวโบสถ์ ทำให้โบสถ์หลังนี้ดูอ่อนหวานกว่าโบสถ์ทั่วๆไป และไม่ใช่สภาพภายนอกเท่านั้นที่ดูแตกต่าง ภายในตัวโบสถ์ก็ไม่ธรรมดา เพราะโบสถ์หลังนี้ประกอบด้วย 2 โบสถ์ ชั้นล่างคือโบสถ์เซนต์นิโคลัส (St.Nicholas church) ในขณะที่ชั้น 2 คือโบสถ์อีพิพานี (Epiphany church) อย่างนี้คงตั้งตั้งฉายาว่าโบสถ์ 2 in 1
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2564 เวลา 21.44 น.