อีกหนึ่งรีสอร์ทน่ารักๆ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่เล็กๆ หลังบ้านของครอบครัวเกษตรกร (แต่ตอนนี้ย้ายมาตั้งอยู่กลางใจผมแล้ว) พื้นที่ที่หลายคนอาจใช้สำหรับทำไร่ทำนา แต่ที่ดินผืนนี้ถูกนำมาพัฒนาให้เป็นสวนเกษตรอินทรีย์ ผนวกกับการสร้างที่พักเก๋ๆ ไว้รองรับนักท่องเที่ยวที่โหยหาความสงบ ความเป็นธรรมชาติในวิถีชีวิตแบบง่ายๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ที่ดินผืนนี้ถูกพลิกฟื้นเพิ่มมูลค่ามากกว่าที่ควรจะเป็น ผมขอชื่นชมเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้เป็นอย่างมาก ที่มีความใส่ใจในรายละเอียดแทบจะทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของบ้านพักและการตกแต่งภายในแต่ละหลัง ซึ่งไม่เหมือนกันเลยสักหลัง การออกแบบภูมิสถาปัตย์ที่ลงตัว มุมคาเฟ่ มุมร้านอาหาร ทุกอย่างล้วนออกมาจากความตั้งใจของเจ้าของรีสอร์ท ไปดูกันครับว่า ทำไมรีสอร์ทเล็กๆ แห่งนี้ ถึงย้ายมาตั้งอยู่กลางใจผมได้
เพียงแค่ป้ายด้านหน้ารีสอร์ท ก็ขโมยใจผมไปแล้วครับ
อาคารหลังแรกด้านหน้า เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวหลังคามุงจาก ใช้เป็นทั้งลอบบี้และห้องอาหารเช้าครับ ในส่วนที่เป็นลอบบี้ออกแบบได้เก๋ไก๋มาก กับชุดหวายพร้อมผ้าม่านขาวๆ ที่พลิ้วไหวตามแรงลม บนเพดานมีดาวกระดาษนับร้อยๆ ดวง บอกเลยว่าเรียบง่ายแต่มีสไตล์มาก
หลังจาก Check in เรียบร้อยแล้ว เราเดินไปตามทางเดินไม้ไผ่ที่ทอดยาวเป็นสะพาน เพื่อข้ามคลองธรรมชาติไปอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นพื้นที่โซนที่พักทั้งหมดครับ
ไปดูห้องที่ผมพักกันครับ ผมพัก "บ้านดีกั่ว" คำว่า “ดีกั่ว” ภาษาโคราชแปลว่า “ดีกว่า” ลักษณะบ้านเป็นบ้านสามเหลี่ยมทรงจั่ว ภายนอกดูเหมือนจะเล็กนะครับ แต่ภายในไม่เล็กเลย แถมยังตกแต่งได้น่ารักมากๆ ใช้วัสดุตกแต่งที่มีในท้องถิ่น อย่างหวาย ไม้ไผ่ เสื่อ รวมถึงวัสดุตกแต่งอื่นๆ ที่เน้นงาน DIY ห้องพักเป็นผนังกระจก 2 ด้าน ทำให้สามารถชมสวนเขียวได้โดยรอบ ให้ความรู้สึกเหมือนเราได้อยู่กับธรรมชาติตลอดเวลาครับ
ด้านข้างมีบันไดให้ขึ้นไปบนดาดฟ้า สามารถนั่งเล่นชมวิวของบ้านนอกคอกนาได้สบายๆ นอกจากนี้ยังมีเปลญวนให้นอนเล่นรับลมริมคลองที่อยู่ด้านหลังบ้านอีกด้วย
พื้นที่ในห้องน้ำก็กว้างขวาง ผมชอบกระจกด้านหลัง ช่วยเพิ่มแสงสว่างแบบธรรมชาติให้กับห้องน้ำ และมีการนำต้นตีนตุ๊กแกมาเลื้อยบนกระจก เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับคนที่อยู่ด้านใน แถมยังมองออกไปได้เห็นสีเขียวตลอดเวลาด้วย ห้องน้ำจะแยกส่วนเปียกส่วนแห้งอย่างชัดเจน บริเวณมุมแต่งตัว จะมีเสื้อคอกระเช้าเตรียมไว้ให้สำหรับคุณสุภาพสตรีครับ
ส่วนผู้ชายก็จะมีผ้าขาวม้าเตรียมไว้ให้ นอกจากนี้ยังมีใบไม้เล็กๆ ที่พนักงานบรรจงเขียนชื่อผู้เข้าพักไว้บนใบไม้ด้วย
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน มีน้ำดื่ม กาแฟ และยาทากันยุงเตรียมไว้ให้ด้วย
ป้ายบอกห้ามรบกวนและทำความสะอาด ออกแบบได้น่ารักมากๆ ครับ
โดยรวมแล้ว พื้นที่ใช้สอยภายในห้องพักถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ แถมดูไม่อึดอัดด้วยครับ มีระเบียงให้ไปนอนเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกห้องพักด้วย
ไปดูการตกแต่งบ้านพักอีกสักหนึ่งหลัง กับบ้าน “จั๊กแหล่ว 2” ครับ
บ้านจั๊กแหล่ว เป็นบ้านแฝด เหมาะกับครอบครัวใหญ่ ด้านซ้ายคือ "บ้านจั๊กแหล่ว 1" ส่วนด้านขวาคือ "บ้านจั๊กแหล่ว 2" ทั้งสองหลัง สามารถเข้าพักได้หลังละ 4 คน คำว่า "จั๊กแหล่ว" เป็นภาษาโคราชแปลว่า "ไม่รู้" บ้านทั้งสองหลังจะเชื่อมด้วยพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งจะมีโต๊ะรับประทานอาหาร เพื่อให้ครอบครัวหรือเพื่อนๆ ได้มาทานอาหารร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีบันไดให้เดินขึ้นชั้นดาดฟ้าเพื่อชมวิวธรรมชาติสูดอากาศให้เต็มๆ ปอดได้ด้วย
เราไปดูบรรยากาศภายในบ้านจั๊กแหล่ว 2 กันครับ ด้านหน้ามีพื้นที่ว่าง สำหรับเป็นมุมให้นั่งเล่น
บ้านจั๊กแหล่ว 2 เป็นบ้าน 2 ชั้น โดยชั้นล่างเป็นห้องนอนพร้อมเตียงขนาด 6 ฟุต และมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน มีบันไดขึ้นสู่ชั้นลอยใต้หลังคาครับ
บ้านจั๊กแหล่ว 2 มีเพดานสูง ทำให้ดูโปร่ง โล่งสบาย ด้านข้างมีเปลตาข่ายไว้ให้นอนกินลมชมวิวทุ่งนาด้วย
ชั้นใต้หลังคามีที่นอนขนาด 3.5 ฟุต 2 ที่ครับ
ห้องน้ำด้านในกว้างมาก ตกแต่งด้วยไม้ไผ่และท่อนไม้ เก๋ไก๋มากๆ
แต่ละห้องจะมีชุดคอกระเช้าและผ้าถุง เตรียมไว้ให้ทุกห้องครับ
อุปกรณ์อาบน้ำต่างๆ ถูกวางไว้ในตะกร้าหวายแบบบ้านๆ
อุปกรณ์ตกแต่งแต่ละชิ้น มันให้อารมณ์แบบลูกทุ่งอินเตอร์มากๆ
เสียดายที่บ้านจั๊กแหล่ว 1 ผมถ่ายบรรยากาศภายบ้านพักมาให้ชมไม่ทัน เนื่องจากพี่ๆ เจ้าของห้องเข้าพักแล้ว แล้วพี่เขาวางข้าวของกระจัดกระจายเต็มห้องแล้ว แต่ก็ยังดีที่ห้องน้ำยังไม่เลอะ ผมเลยแว๊บเข้าไปถ่ายมาให้ชมกัน 1 ภาพ ภายในห้องน้ำหรูหราไม่เบา เพราะมีอ่างอาบน้ำโรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดงเต็มอ่างอาบน้ำเลยครับ
อีกหนึ่งหลัง กับบ้านคักโพด บ้านรูปทรงสี่เหลี่ยม ซึ่งมีห้องใต้หลังคาด้วย ผมถ่ายภาพห้องนอนด้านล่างไม่ทัน แต่ได้เก็บภาพห้องใต้หลังคามาฝากครับ
อย่างที่บอกในตอนแรกว่าทางรีสอร์ทได้เตรียมเสื้อคอกระเช้า ผ้าถุง และพร๊อพถ่ายรูปต่างๆ ไว้ในห้อง เพื่อให้แขกได้ใช้สวมใส่ถ่ายรูป เมื่อเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว เราไปเดินชมบรรยากาศโดยรอบในโซนบ้านพักกันดีกว่าครับ Let go..
พื้นที่ในโซนที่พักจะแยกออกมาจากโซนร้านกาแฟอย่างชัดเจน โดยมีคลองธรรมชาติเป็นตัวแบ่ง และจะมีสะพานไม้ไผ่เป็นตัวเชื่อมพื้นที่ทั้งสองโซนเข้าด้วยกัน สำหรับแขกท่านใดที่ต้องการจะพายเรือชมบรรยากาศโดยรอบก็สามารถพายได้ครับ
บ้านจั๊กแหล่ว 1 เป็นบ้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาบ้านพักทั้งหมดครับ
บ้านสะออน ภาษาโคราชแปลว่า น่ารัก เป็นบ้านทรงห้าเหลี่ยม มีระเบียงนั่งเล่นหน้าบ้านด้วย ด้านหลังจะเป็นคลอง ด้านข้างมีหน้าต่างบานใหญ่ สามารถเปิดกว้างนั่งชมแปลงผักได้ครับ
บ้านโกรกกราก ภาษาโคราชแปลว่า รีบๆ เร็วๆ เป็นบ้านรูปทรงจั่ว มีระเบียงนั่งเล่นหน้าบ้าน รายล้อมด้วยต้นสร้อยอินทนิลครับ
บ้านวะวาบ ภาษาโคราชแปลว่า สบายขึ้น โล่งขึ้น เป็นบ้านทรงห้าเหลี่ยม มีระเบียงนั่งเล่นหน้าบ้าน มีหน้าต่างบานใหญ่ สามารถเปิดกว้างมานั่งรับลมชมวิวคลองและแปลงผักรอบๆ บ้านได้
บ้านฝนระรึม บ้านน้องใหม่แกะกล่อง วันที่ผมเข้าพักเป็นการเปิดให้เข้าพักบ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก และเป็นหลังเดียวที่เหลือจากการเหมาทุกบ้านพักของคณะผมครับ
บ้านด๊ะดาด ภาษาโคราชแปลว่า มากมาย เกลื่อนกลาด เป็นบ้านแฝดเช่นเดียวกับบ้านจั๊กแหล่ว มีขนาดใหญ่เป็นลำดับสองลองจากบ้านจั๊กแหล่ว 1
บ้านหลังขวามือ คือบ้านด๊ะดาด 2 ครับ
ด้านซ้ายมือคือบ้าน มุมุมิมิ ภาษาโคราชแปลว่า อยู่อย่างสงบ เป็นบ้านที่ตั้งอยู่หลังสุดท้ายปลายสะพานทางเดินไม้ไผ่ เป็นบ้านทรงโรงนาน้อยๆ สองชั้น สามารถมองเห็นวิวโค้งตัวเอสของคลองและสามารถชมวิวพืชผักที่ปลูกรอบๆ บ้านได้อย่างสวยงามครับ
แปลงผักอินทรีย์ ซึ่งปลูกไว้โดยรอบโซนที่พักครับ
ช่วงเย็น น้องๆ พนักงานจะมาตัดผักเพื่อนำไปประกอบอาหาร รับรองเลยว่า ผักที่นี่สดใหม่จริงๆ
ด้านข้างของโซนที่พักจะเป็นพื้นที่สำหรับปลูกพืชสวนต่างๆ มากมาย เช่น มัลเบอร์รี่ เสาวรส แก้วมังกร ซุ้มดอกอัญชัน (ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ปลูก)
นอกจากนี้ยังมีสะพานไม้ไผ่ทอดยาวไปยังกลางทุ่ง มีซุ้มสำหรับไว้ให้นั่งชมพระอาทิตย์ตกดินด้วยครับ
และพื้นที่ที่ตั้งอยู่กลางโซนที่พัก ทางรีสอร์ทได้ทำเป็นสนามเด็กเล่น และลานกิจกรรม ผมชอบไอเดียโคมไฟส่องสว่าง ที่ออกแบบเป็นดอกไม้จริงๆ มันให้ความรู้สึกอ่อนไหวมากๆ
ในวันที่ผมเข้าพัก คณะของผมได้ใช้ลานกิจกรรมนี้สำหรับร้องเพลงสังสรรค์ ฟังเพลงเบาๆ เคล้าลมเย็นๆ สำหรับนักร้องที่นำมาบรรเลง คณะของผมได้จ้างนักร้องมาขับกล่อมให้ฟังกันเอง ขอบอกเลยว่า ค่ำคืนนี้มีความสุขจริงๆ ครับ
ไปดูบรรยากาศโซนร้านกาแฟและร้านอาหารกันบ้างครับ
เริ่มกันที่ บ้านนอก Café ที่เปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00-17.30 น. เป็นอาคาร 2 ชั้น ออกแบบด้วยไม้ไผ่เป็นหลัก ดูเรียบง่ายแต่มีสไตล์ครับ
ด้านในน่านั่งมากๆ มีมุมจำหน่ายของฝากสำหรับตกแต่งบ้านด้วย
บรรยากาศบนชั้น 2 สามารถชมวิวมุมสูงได้ด้วยครับ
มุมเล็กๆ ของ บ้านนอก Café นั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ริมคลองครับ
ลานจอดรถด้านหน้า
บรรยากาศยามเย็นของบ้านนอก Café
ไปดู Dinner กันบ้างดีกว่าครับ เมื่อช่วงเย็นเห็นน้องพนักงานมาตัดผักต่างๆ ด้านหน้าบ้านพักของผมเลย ดังนั้นเย็นนี้ผมจะได้ทานผักสดปลอดสารพิษอย่างสนิทใจครับ
ในส่วนของโต๊ะอาหารแต่ละโต๊ะ จะมีการจัดเป็นซุ้มๆ ตั้งอยู่โดยรอบคลอง ทำให้แขกได้ทานอาหารไปชมบรรยากาศริมคลองไปครับ
ดูการจัดเตรียมที่นั่งทาน Dinner ซิครับ ใส่ใจทุกรายละเอียดจริงๆ มันทำให้มื้อค่ำนี้เป็นมื้อที่มีความสุขจริงๆ
สำหรับเรื่องอาหารถือว่า หน้าตาดูดี รสชาติอาหารก็ดีครับ
เมี่ยงปลาทู จานนี้ 120 บาท
แหนมเอ็นข้อไก่ทอด ตะกร้านี้ 100 บาท
ยำต้นอ่อนทานตะวันกุ้งสด จานนี้ 120 บาท
เฟรนซ์ฟรายด์ชีส ตะกร้านี้ 120 บาท
ส้มตำบ้านนอก เป็นส้มตำโคราชใส่หมูทอดและไข่ต้มครับ จานนี้ 120 บาท
หมูสามชั้นทอดน้ำปลา จานนี้ 125 บาท
ลาบไก่บ้าน จานนี้ 125 บาท
แกงอ่อมกระดูกหมู ถ้วยนี้ 120 บาท
ต้มแซ่บกระดูกอ่อน หม้อนี้ 150 บาท
ปลาทับทิมนึ่ง ชุดละ 250 บาท
ผัดหมี่โคราชหมู จานนี้ 125 บาท
ผลไม้รวม 80 บาท
สำหรับห้องอาหารเช้า อยู่อาคารเดียวกับลอบบี้ โดยมีพื้นที่ติดกันครับ
ห้องอาหารยามเช้าอลังการดาวล้านดวง น่ารักมากๆ ครับ
อาหารเช้าจะเป็น Buffet ครับ อาหารมีให้เลือกพอสมควร ทั้งสลัด ขนมจีนน้ำยา (ห้ามพลาด) ขนมปังต่างๆ ข้าวเหนียวหมูฉีก ข้าวต้ม น้ำเต้าหู้ ซาลาเปา
คุณภาพของอาหาร และรสชาติ โดยรวมถือว่าโอเคครับ
บอกไว้ก่อนสำหรับคนที่จะเข้าพักที่บ้านนอกคอกนา ที่พักแห่งนี้ ไม่มีทีวี และไม่มี Wifi บริการนะครับ ผมคิดว่าเจ้าของรีสอร์ทคงอยากจะให้แขกที่เข้าพักได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ คงไม่อยากให้แขกต้องมาจับจ้องที่หน้าจอสี่เหลี่ยมๆ ตลอดเวลา แต่อยากให้หันไปมองสีเขียวๆ ภายในรีสอร์ทจะดีกว่า
หากใครที่ต้องการพักผ่อนในบรรยากาศสงบๆ ส่วนตัว ท่ามกลางความสดชื่นของพืชพันธุ์ไม้นานาชนิด ผมแนะนำว่า ให้ลองมาสัมผัสที่นี่ดู แล้วคุณจะตกหลุมรัก “บ้านนอกคอกนา ปากช่อง” แบบผม...
บ้านนอกคอกนา รีสอร์ทธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา..ลูกทุ่งแบบมีสไตล์
ไปดูสถานที่เที่ยวใกล้ๆ บ้านนอกคอกนากันบ้างครับ ขอแนะนำ Movenpick เขาใหญ่ หรือ My Ozone เดิมครับ ถ้าหากเราไม่ได้เข้าพักด้านใน แต่ต้องการจะเข้าชมด้านใน จะต้องเสียค่าเข้าชมด้วย โดยคิดราคาเหมาหัว 200 บาท/รถ 1 คัน แต่ถ้าหากว่าใครไม่อยากเสียเงินในส่วนนี้ ก็สามารถไปซื้อหาจับจ่ายอะไรด้านในก็ได้ มูลค่า 200 บาทขึ้นไป แล้วเก็บใบเสร็จไว้ไปแสดงกับป้อมด้านหน้าทางเข้าครับ
มาเที่ยวถ่ายภาพที่นี่ จะให้บรรยากาศเหมือนไปเที่ยวต่างประเทศแถบฝั่งยุโรป มีปราสาทหลังโตตั้งตระหง่านอยู่กลางลานหญ้าสีเขียว แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ที่ตกแต่งได้อย่างสวยงาม มีสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ แถมยังมีสนามกอล์ฟ 18 หลุม อีกด้วยครับ
นอกจากนี้ยังมีแปลงผักอินทรีย์ให้เยี่ยมชมด้วย
มี Animal Club จะเป็นกิจกรรมให้เด็กๆ ได้มาขี่ม้า ให้อาหารแกะ แพะ ครับ
และนี่คือจุดที่ผมมาใช้บริการ Castleton Café เราสามารถซื้อเครื่องดื่มที่จุดนี้ได้ เพื่อใช้เป็นค่าเข้าชมที่นี่ครับ
ใช้เวลาถ่ายภาพกันพอสมควร จนแสงแดดแผดเผา แนะนำว่าถ้ามาช่วงเช้าๆ หรือช่วงเย็นๆ จะมีแรงเดินถ่ายภาพกันมากกว่านี้ครับ แดดแรงขนาดนี้ ยอมแพ้จริงๆ
ไปต่อกันที่ วัดบุญราศี ครับ
วัดบุญราศี นิโคลาส ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับ Kensington English Garden Resort ทางเข้าเดียวกัน แต่โบสถ์คริสต์จะอยู่ด้านหน้าเลย สามารถแจ้งกับ รปภ.ได้เลยครับว่าจะมาเที่ยวชมโบสถ์คริสต์ โบสถ์แห่งนี้จะตั้งอยู่บนเนินเตี้ยๆ สามารถจอดรถที่ด้านหน้าโบสถ์ได้เลย
วัดบุญราศี นิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง เป็นโบสถ์คริสต์แห่งแรกและแห่งเดียวในเขาใหญ่ ตัวโบสถ์เป็นโบสถ์คาทอลิกสีขาว ภายนอกโบสถ์ตกแต่งด้วยพันธุ์ไม้ต่างๆ ดูสวยงาม สำหรับภายในก็งดงามไม่แพ้ภายนอก มีการประดับประดาด้วยกระจกหลากสีสัน ยามที่แสงแดดสาดส่องเข้ามา ยิ่งทำให้ดูสวยสดงดงาม โบสถ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ครับ
หากใครกำลังมองหาที่เที่ยวที่พักใกล้ๆ กรุง ผมแนะนำเส้นทางนี้เลยครับ ขับรถไม่ไกล แถมยังได้มีเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่
ท้ายสุดนี้ เพื่อนๆ สามารถเข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ
ลุงเสื้อเขียว
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 11.56 น.