หลายคนอาจคุ้นเคยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงใน จ.อุบลราชธานี อย่างสามพันโบกและอุทยานแห่งชาติผาแต้ม ใช่มั้ยล่ะคะ? แต่จริง ๆ แล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ มากกว่านั้นอีกค่ะ แถมแต่ละสถานที่นั้นก็ยังมีความสวยงามแตกต่างกันไป วันนี้เราเลยจะพาทุกคนมาเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวเมืองอุบลฯ ที่ไม่ควรพลาด ถ้าพร้อมแล้วก็ปักหมุดไว้ได้เลยค่ะ!!!


1. วัดพระธาตุหนองบัว

วัดพระธาตุหนองบัวเป็นวัดสำคัญที่มีความวิจิตรงดงามมากแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวเมืองอุบลฯ ร่วมกันสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2498 เพื่อใช้เป็นศาสนสถานหรือศูนย์รวมจิตใจที่สำคัญ โดยภายในวัดประดิษฐาน “พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์” มีลักษณะเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ที่จำลองแบบมาจากเจดีย์พุทธคยาในประเทศอินเดีย สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2500 เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์การครบรอบ 25 ศตวรรษของพระพุทธศาสนา เมื่อเข้าไปภายในพระธาตุก็จะพบกับพระพุทธรูป, พระบรมสารีริกธาตุ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองอุบลฯ ประดิษฐานอยู่ค่ะ

นอกจากจะมีพระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ที่เป็นจุดเด่นของวัดแล้ว ยังมีรูปปั้นพญานาคราชองค์ใหญ่ 2 องค์ประดิษฐานไว้คู่กันคือ “ท่านปู่กริชกรกต” กับ “ท่านย่ามณีเกตุ” ซึ่งพญานาคราช 2 องค์นี้เป็นพญานาคฉัพยาปุตตะหรือพญานาคสีรุ้ง หนึ่งในสี่ของตระกูลพญานาค โดยสร้างขึ้นตามดำริของท่านเจ้าอาวาสที่นิมิตเห็นงูใหญ่สีรุ้งมาอาศัยอยู่บริเวณวัดพระธาตุหนองบัวแห่งนี้นั่นเองค่ะ


📍 ปักหมุดได้ที่: ถนนธรรมวิถี ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/GUvxPMETDXb3UFqr6

📞 โทร. 083-125-8295

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 18.00 น.


2. พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดภูถ้ำพระศิลาทอง

“พิพิธภัณฑ์ชุมชนวัดภูถ้ำพระศิลาทอง” หรือ “พิพิธภัณฑ์ตำบลเจียด” ตั้งอยู่ในพื้นที่วัดภูถ้ำพระศิลาทอง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2551 ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านนาหนองเชือกกับชาวตำบลเจียดและกรมศิลปากรที่จะอนุรักษ์วัตถุโบราณหรือหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญนั่นเองค่ะ โดยวัตถุโบราณเหล่านี้มีอายุมานานนับพันปี ไม่ว่าจะเป็นกลองมโหระทึก, ขวานสำริดรูปรองเท้าบู๊ต, กำไลข้อมือลายเกลียวเชือก, เครื่องปั้นดินเผา และรวมไปถึงศพหรือโครงกระดูกมนุษย์ที่ถูกฝังไว้ในภาชนะดินเผาทรงกลมขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังมีข้าวของเครื่องใช้ในสมัยโบราณที่ชาวบ้านบริจาคมาจัดแสดงภายในอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อีกด้วยค่ะ


📍 ปักหมุดได้ที่: วัดภูถ้ำพระศิลาทอง หมู่ 3 บ้านนาหนองเชือก ต.เจียด อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี 34170

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/rF2u9ow8wzBD3YCW7

📞 โทร. 04-524-4531

🏡 เปิด: เฉพาะผู้ที่ติดต่อมาเท่านั้น และเปิดรับจองล่วงหน้าสำหรับการเข้าชมเป็นหมู่คณะ


3. วัดบุ่งขี้เหล็ก

วัดบุ่งขี้เหล็กเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งใน อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี แต่เดิมนั้นชื่อว่า “วัดสังวรวนาราม” ภายหลังหลวงปู่จันทร์หอม สุภาทโร (พระครูสุนทรพัฒโนดม) ที่เป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้นได้สร้างและบูรณะวัดแห่งนี้ขึ้นใหม่ อีกทั้งยังเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “วัดบุ่งขี้เหล็ก” ต่อมาในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2550 วัดบุ่งขี้เหล็กได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และด้วยความที่วัดนี้มีความสะอาดดีมากจึงได้รับเกียรติบัตรรางวัลของโครงการ “อุบลเมืองสะอาด ราชธานีอีสาน” เมื่อปี พ.ศ.2553 ค่ะ

จุดเด่นสำคัญของวัดบุ่งขี้เหล็กคือ “เจดีย์พระศรีอริยเมตตรัย” ที่สร้างขึ้นเพื่อสืบพระพุทธศาสนา พระมหาเจดีย์มีรูปทรงแปลกตาและแตกต่างจากเจดีย์ที่พบเห็นทั่วไป คือ ผนังด้านนอกทาด้วยสีทอง ตั้งโดดเด่นอยู่กลางวัด มีความสูงทั้งหมด 7 ชั้น และด้วยความเลื่อมใสศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อหลวงปู่จันทร์หอมทำให้เจดีย์สร้างเสร็จภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี 4 เดือนเท่านั้นค่ะ นอกจากนั้นข้างหลังวัดยังมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยสีขาวจำนวน 56 องค์ที่ชาวบ้านและผู้เลื่อมใสศรัทธาได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างขึ้นนั้นตั้งวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบสวยงาม


📍 ปักหมุดได้ที่: 139 หมู่ 4 วัดบุ่งขี้เหล็ก ต.นาแวง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี 34170

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/cu2PbTdEVBwTex2J6

📞 โทร: 090-454-1954

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 - 18.00 น.


4. หาดทรายสูง

หาดทรายสูง เป็นหาดทรายน้ำจืดขนาดใหญ่ที่ทอดตัวยาวหลายร้อยเมตรอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงในบริเวณบ้านลาดเจริญ ต.นาแวง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี ซึ่งหาดทรายนี้เกิดจากกระแสน้ำของแม่น้ำโขงไหลพัดพาดินทรายมาสะสมไว้ในช่วงน้ำขึ้นและกลายเป็นชายหาดในช่วงน้ำลง นอกจากนั้นกระแสลมยังได้พัดพาตะกอนทรายขาวเนียนละเอียดมากองทับถมหรือรวมกันไว้ที่นี่เป็นเวลานานจนเกิดเป็นเนินสันทรายสูงท่วมคนหรือหน้าผาทรายเตี้ย ๆ ทำให้แลดูคล้ายภูเขา 2 ลูกติดกันหรือทะเลทรายขนาดย่อมนั่นเอง เมื่อเดินลงไปข้างล่างของเนินสันทรายก็จะพบกับแอ่งน้ำไหลและแนวโขดหินที่ช่วยเติมเต็มให้หาดทรายแห่งนี้สวยงามน่ามองมากยิ่งขึ้นค่ะ

หากต้องการมาเที่ยวหาดทรายสูง ขอแนะนำว่าให้มาท่องเที่ยวในช่วงหน้าแล้งหรือฤดูน้ำลดลง คือประมาณเดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤษภาคมค่ะ เพราะนอกจากจะได้ถ่ายรูปหรือเดินเล่นรับลมชมทิวทัศน์ริมฝั่งโขงบริเวณแก่งหินที่สวยงามแล้ว ยังมีแพร้านอาหาร / เครื่องดื่มกับร้านขายของคอยให้บริการในราคาถูกมากอีกด้วยค่ะ แต่ถ้าต้องการทำกิจกรรมสนุก ๆ อย่างการเล่นสไลเดอร์บนเนินทราย, การขี่เจ็ทสกี และบานาน่าโบ๊ท ก็สามารถทำได้เช่นกันค่ะ


📍 ปักหมุดได้ที่: หาดทรายสูง บ้านลาดเจริญ หมู่ 10 ต.นาแวง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี 34170

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/sUPp3ck7YnmsbBZH9

📞 โทร: 089-945-7689

🏡 เปิด: ไม่มีกำหนดวันและเวลาเปิด-ปิด แต่ช่วงเดือนธันวาคมจนถึงเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงที่หาดทรายโผล่พ้นแม่น้ำโขง


5. แก่งชมดาว (หาดชมดาว)

แก่งชมดาว หรือบางคนเรียกว่า “หาดชมดาว” นั้นตั้งอยู่ที่บ้านโนนตาล ต.นาตาล อ.นาตาล จ.อุบลราชธานี ห่างจากหาดทรายสูงไม่ไกลมากนัก ซึ่งแก่งชมดาวมีลักษณะเป็นแนวหาดหินหรือแก่งหินจากการกัดเซาะของกระแสน้ำที่กว้างใหญ่และทอดตัวยาวหลายร้อยเมตร คล้ายคลึงกับสามพันโบกตรงที่มีหินรูปพรรณสัณฐานประหลาดปรากฏในช่วงฤดูน้ำลด เพียงแต่ว่าที่นี่จะมีโบกหรือแอ่งน้ำมากกว่าและใหญ่กว่านั่นเองค่ะ โดยจุดเด่นที่น่าสนใจก็มีหลายจุดเลยค่ะ อย่างเช่น “หินชมนภา” ที่เป็นหินประหลาดรูปทรงแปลกตาสวยงาม สามารถมองเห็นท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าและดวงดาวสุกสกาวในยามค่ำคืนได้งดงามที่สุด, “บิ๊กโบก” ที่เป็นโบกหินขนาดใหญ่ และ “ถ้ำตาอ้วน” ที่เป็นหินลักษณะเพิงผาคล้ายถ้ำ เป็นต้น

หากใครที่ต้องการมาเที่ยวชมแก่งชมดาวล่ะก็... ขอแนะนำว่าให้เดินหรือนั่งรถกระบะของเจ้าหน้าที่เข้าไปจะดีกว่าค่ะ ไม่แนะนำให้ขับรถลงไปเองโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เด็ดขาด เพราะเส้นทางที่ลงไปยังหาดชมดาวนั้นทั้งลาดชันและพื้นผิวขรุขระ เนื่องจากว่ามีหินอยู่โดยรอบ ถ้าขับรถลงไปเองโดยไม่ชำนาญเส้นทางอาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นมาได้ และทางที่ดีควรแต่งกายด้วยชุดที่รัดกุมและรองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้าที่ยึดเกาะได้ดี ไม่ควรใส่รองเท้าแตะนะคะ เพราะเวลาเดินอาจลื่นและพลัดตกลงน้ำนั้นได้ รวมไปถึงเตรียมหมวกและผ้าคลุมเพื่อป้องกันแสงแดดให้พร้อม เพราะอากาศจะเริ่มร้อนในช่วงหลัง 8 โมงไปแล้วนั่นเองค่ะ

ช่วงที่เหมาะสำหรับการมาเที่ยวที่นี่คือช่วงฤดูน้ำลด ประมาณเดือนมกราคม-เดือนพฤษภาคมของทุกปี เช่นเดียวกับหาดทรายสูงค่ะ และเวลาที่เหมาะกับการมาเดินเที่ยวชมคือ ช่วงเช้าและช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ โดยตอนเช้าตั้งแต่ 06.00 - 08.00 น. และตอนบ่ายตั้งแต่ 16.00 - 18.00 น. แต่ไม่แนะนำให้มาช่วงหลัง 8 โมงเช้าเป็นต้นไปหรือช่วงเที่ยงนะคะ เพราะแดดจ้าและอากาศร้อนมาก ทางที่ดีควรโทรสอบถามเจ้าหน้าที่ก่อนออกเดินทางดีกว่าค่ะ จะได้ไม่เสียเที่ยว


📍 ปักหมุดได้ที่: หาดชมดาว หมู่ 10 บ้านโนนตาล ต.นาตาล อ.นาตาล จ.อุบลราชธานี 34170

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/MKFxeoDRHbuMX2mA7

📞 โทร: องค์การบริหารส่วนตำบลนาตาล 04-530-5086, 089-844-4681

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่ 05.00 - 18.00 น.


6. ถนนคนเดินเขมราษฎร์ธานี (ถนนคนเดินเขมรา)

ถนนคนเดินเขมราษฎร์ธานี ตั้งอยู่บนถนนวิศิษฐ์ศรี ต.เขมราฐ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี ซึ่งตลอดเส้นทางถนนเส้นนี้เป็นชุมชนบ้านไม้เก่าแก่ที่มีอายุอานามยาวนานมากกว่า 200 ปี แสดงให้เห็นถึงศิลปะวัฒนธรรมและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านเขมราฐหรือบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง และเพราะจุดเด่นนี้เองทำให้เทศบาลตำบลได้กำหนดให้บริเวณนี้เป็นถนนคนเดิน โดยจัดถนนคนเดินขึ้นครั้งแรกในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2556 เนื่องจากต้องการให้คนรุ่นใหม่สัมผัสบรรยากาศย้อนยุคที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวานั่นเองค่ะ

หากต้องการมาเดินช้อป ชิม ชิลล์ ที่ถนนคนเดินเขมราษฎร์ธานี ขอแนะนำว่าให้มาเดินช่วงวันเสาร์ตั้งแต่ตอน 4 โมงเย็นเป็นต้นไปค่ะ เพราะนอกจากจะคึกคักไปด้วยร้านค้าต่าง ๆ มากมายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้านขายอาหาร, ร้านขายขนมท้องถิ่น, สินค้าพื้นบ้านพื้นเมือง (สินค้าโอท็อป) และร้านขายของที่ระลึก ยังมีการจัดแสดงทั้งศิลปะ, ดนตรี, นิทรรศการภาพถ่ายเก่าแก่ของชุมชนเขมราฐในอดีต และการแสดงชุดพื้นบ้านหรือขบวนฟ้อนรำของชาวเขมราฐที่ออกมาฟ้อนรำอย่างสวยงามอีกด้วยค่ะ ชวนให้บรรยากาศบนถนนคนเดินเส้นนี้มีกลิ่นอายทางวัฒนธรรมท้องถิ่นและครึกครื้นสนุกสนานมากขึ้นทีเดียว แต่ถ้าต้องการเข้าไปฟ้อนรำด้วยหรือถ่ายรูปร่วมกับนางรำอย่างเป็นกันเอง ก็สามารถทำได้ค่ะ


📍 ปักหมุดได้ที่: ถนนคนเดินเขมราษฎร์ธานี ถ.วิศิษฐ์ศรี ต.เขมราฐ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี 34170

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/uP9hc8HV6yMMtApw8

📞 โทร: ททท.อุบลราชธานี 04-524-3770, 04-525-0714

🏡 เปิด: ทุกวันเสาร์ เวลา 16.00 - 21.00 น.


7. สามพันโบก

หากมาเที่ยวจังหวัดอุบลราชธานี ห้ามพลาดที่จะมาเยือน “สามพันโบก” เด็ดขาดเลยนะคะ ไม่งั้นจะถือว่ามาไม่ถึง! เพราะที่นี่เปรียบเสมือนแกรนด์แคนยอนของเมืองไทย เนื่องจากเป็นความงดงามอันน่ามหัศจรรย์ของแก่งหินและแอ่งน้ำที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ขึ้นอย่างอลังการกลางแม่น้ำโขง เรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของจังหวัดนี้ก็ว่าได้ ซึ่งสามพันโบกนั้นตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บ้านโป่งเป้าและบ้านคอน ต.เหล่างาม อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานีนี้เองค่ะ โดยแก่งหินจะปรากฏตัวให้ยลโฉมเฉพาะในช่วงฤดูแล้งหรือฤดูน้ำลดเท่านั้นและแก่งหินเหล่านี้จะมีโบกหรือแอ่งน้ำน้อยใหญ่ที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำหรือแรงน้ำวน เมื่อนับดูแล้วมีแอ่งน้ำมากกว่า 3,000 แอ่งค่ะ (คำว่า “โบก” ในภาษาลาวหรือภาษาอีสาน แปลว่า “แอ่งน้ำ”)

จุดเด่นที่น่าสนใจของสามพันโบกคือแอ่งน้ำและแก่งหินต่าง ๆ ที่ถูกน้ำกัดเซาะจนกลายเป็นรูปร่างสวยงามแปลกตาหลากหลายรูปแบบ เช่น รูปมิกกี้เมาส์, รูปหัวใจ, รูปถั่วลันเตา, รูปดาว, รูปหัวฮิปโป, รูปหัวสุนัข, รูปหนู, รูปเต่า, รูปวงรี เป็นต้น แต่ไฮไลท์เด่นที่สุดนั้นอยู่ที่ “บุ่งน้ำใส” หรือ “สระมรกต” ซึ่งเป็นสระน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่อยู่กลางลานหิน และไม่ว่าจะเข้าสู่ฤดูไหน น้ำในสระแห่งนี้ก็ยังเป็นสีเขียวมรกตค่ะ โดยในช่วงเดือนธันวาคมนั้นจะเป็นช่วงที่น้ำใสที่สุด ส่วนที่ทำให้ดูน่ามหัศจรรย์ที่สุดเลยก็คือต่อให้แม่น้ำโขงจะเพิ่มหรือลดระดับน้ำอย่างไร ระดับน้ำในสระมรกตก็ยังคงที่และเต็มโบกอยู่เสมอค่ะ

สำหรับใครที่ต้องการมาเที่ยวชมสามพันโบกแบบเต็มอิ่มล่ะก็...แนะนำว่าให้มานั่งเรือที่ท่าเรือ “หาดสลึง” เพื่อล่องเรือตามแม่น้ำโขงระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร แวะไปเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น “ปากบ้อง” จุดแคบที่สุดของแม่น้ำโขงที่มีความกว้างเพียง 56 เมตรเท่านั้น, “หินหัวพะเนียง” แก่งหินขนาดใหญ่ที่กั้นขวางกลางแม่น้ำทำให้แม่น้ำโขงแยกออกมาเป็นสองสาย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “แก่งสองคอน”, “หาดหงส์” หาดทรายขนาดใหญ่ริมแม่น้ำโขงที่เกิดจากการพัดพาของกระแสลม, “หลักศิลาเลข” หน้าผาหินสูงที่ฝรั่งเศสทำการแกะสลักตัวเลข เพื่อบอกระดับน้ำในแม่น้ำโขง สมัยที่ประเทศลาวตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส และ “สามพันโบก” แกรนด์แคนยอนเมืองไทยนี้เองค่ะ

ช่วงที่เหมาะสำหรับการมาเที่ยวชมสามพันโบกมากที่สุดคือช่วงฤดูแล้งหรือช่วงที่ระดับน้ำในแม่น้ำโขงลดลง ซึ่งจะอยู่ราว ๆ ประมาณเดือนธันวาคมจนถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี และเวลาที่เหมาะกับการมาเดินเที่ยวชมคือช่วงเช้าและช่วงบ่ายหรือช่วงเย็น โดยตอนเช้าตั้งแต่ 06.00 - 09.00 น. และตอนบ่ายตั้งแต่ 15.00 - 17.30 น. เพราะเป็นช่วงที่อากาศกำลังสบาย ๆ และแดดร่มลมตก ที่สำคัญเลยก็คือแสงสวยมากเป็นพิเศษ แต่ช่วงที่สามพันโบกสวยงามที่สุดคือช่วงเดือนเมษายน เนื่องจากน้ำในแม่น้ำโขงแห้งที่สุดและมีโบกหรือแอ่งน้ำโผล่พ้นน้ำอย่างล้นหลามมากที่สุด แล้วอย่าลืมเตรียมหมวกหรือผ้าคลุมป้องกันแสงแดดและอากาศร้อนด้วยนะคะ


📍 ปักหมุดได้ที่: บ้านโป่งเป้า ต.เหล่างาม อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/i7s1M4pnRugCWxXH6

📞 โทร: อบต.สองคอน อ.โพธิ์ไทร โทร.04-533-8057, 04-533-8015 / ททท.อุบลราชธานี 04-524-3770

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 18.00 น.


8. เสาเฉลียง

เสาเฉลียงตั้งอยู่ภายในพื้นที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ต.ห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ซึ่งเสาเฉลียงถือได้ว่าเป็นประติมากรรมทางธรรมชาติที่สร้างสรรค์ขึ้นมาตั้งแต่อดีต โดยมีลักษณะเป็นแท่งเสาหินทรายขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายดอกเห็ดบานอันเกิดจากการกัดเซาะและผุกร่อนของน้ำและลมพัดพาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่าร้อยล้านปี ทั้งนี้แท่งเสาเฉลียงมีความสูงแตกต่างกันคือ แท่งเสาสูงที่สุดจะสูงประมาณ 7 เมตรจากระดับพื้นหินที่แท่งหินตั้งอยู่ กับแท่งเสาเตี้ยจะสูงประมาณ 5 เมตร มีแท่งหินจำนวนทั้งหมด 3 แท่ง และมีแผ่นหินหนาขนาดใหญ่ปลายด้านหนึ่งวางอยู่บนพื้น ส่วนอีกด้านหนึ่งมีเสาเตี้ย ๆ ค้ำยันค่ะ

นอกจากเสาเฉลียงจะมีเสาหินทรายขนาดใหญ่รูปทรงคล้ายดอกเห็ดแล้ว บริเวณใกล้กันถัดจากเสาเฉลียงขึ้นไปทางเนินเขายังมี “ลานหินแตก” ที่เป็นจุดเด่นน่าสนใจอีกจุดหนึ่งค่ะ ซึ่งลานหินแตกนั้นเกิดจากการยกตัวของเปลือกโลกทำให้ชั้นหินโก่งงอและเกิดรอยเลื่อน รอยแตก โดยลานหินแตกจะมีลักษณะของแผ่นหินที่เป็นแนวหรือเป็นร่องคล้ายกับแผ่นหินแยกตัวออกจากกันมีความลึกประมาณ 4 เมตร ยาวประมาณ 66 เมตร และกว้างประมาณ 0.5 เมตรค่ะ


📍 ปักหมุดได้ที่: เสาเฉลียง ต.ห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี 34220

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/T1S3KebGvcPBLk8EA

📞 โทร: 04-525-2581

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 - 18.00 น.

💸 เสียค่าเข้าชม:

คนไทย >> เด็ก (อายุ 6 - 14 ปี) ราคา 20 บาท / ผู้ใหญ่ ราคา 40 บาท

ชาวต่างชาติ >> เด็ก ราคา 200 บาท / ผู้ใหญ่ ราคา 400 บาท


9. อุทยานแห่งชาติผาแต้ม

อุทยานแห่งชาติผาแต้มตั้งอยู่ที่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี โดยมีพื้นที่ครอบคลุมถึง 3 อำเภอด้วยกันคือ อำเภอโขงเจียม, อำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอโพธิ์ไทร เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นและสวยงามของจังหวัดนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกในประเทศไทยที่มีแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแม่น้ำที่กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศลาว ทำให้เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ติดกับแม่น้ำโขงที่ไหลสลับโค้งไปมาของทั้งฝั่งไทย-ลาวแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่สวยงามเป็นที่แรกของประเทศไทยอีกด้วยค่ะ

จุดเด่นที่น่าสนใจและห้ามพลาดชมในอุทยานแห่งชาติผาแต้มคือภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์อายุประมาณ 3,000 - 4,000 ปี กระจายอยู่ตามแนวเพิงผา ซึ่งภาพเขียนที่ยาวและหลากหลายที่สุดคือที่ผาแต้ม เพราะมีความยาวประมาณ 180 เมตร และมีไม่ต่ำกว่า 300 ภาพค่ะ โดยภาพเขียนสีที่เด่น ๆ ก็ได้แก่ ภาพช้าง, ภาพปลาบึก, ภาพตุ้มหรือเครื่องมือดักปลาที่ทำจากไม้ไผ่สาน, ภาพสัตว์ป่า และภาพฝ่ามือ เป็นต้น ทั้งนี้เราสามารถเดินลงไปเที่ยวชมภาพเขียนสีบริเวณใต้ผาแต้มด้านล่างได้อย่างเต็มที่ค่ะ

ภาพนี้พี่ถ่ายค่ะ

นอกจากนั้นยังมีจุดเด่นอื่น ๆ ที่สวยงามตามธรรมชาติมากมาย เช่น “น้ำตกสร้อยสวรรค์” น้ำตกขนาดใหญ่ที่เกิดจากห้วยสร้อยและห้วยไผ่ที่ไหลจากหน้าผามาบรรจบกันจนดูคล้ายสายสร้อย, “ภูผาขาม / ภูเขาหินทราย” หน้าผาสูงที่มีภาพเขียนสีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏเรียงรายเป็นระยะอยู่ด้านล่าง, “น้ำตกแสงจันทร์ / น้ำตกลงรู” น้ำตกที่ตกลงมาจากช่องโพรงของเพิงผา, “น้ำตกทุ่งนาเมือง” น้ำตกที่ตกลงมาจากหน้าผาและไหลหายไปจากซอกหิน, “ภูนาทาม” มีป่าดงนาทามที่เป็นป่าสนสองใบขึ้นอยู่บริเวณหน้าผา, “ถ้ำปาฏิหาริย์ / ถ้ำมืด” ถ้ำของภูเขาหินทรายที่มีความยาวมากและแบ่งเป็นหลืบเป็นห้อง และ “ทุ่งดอกไม้ป่า / ทุ่งดอกไม้งาม” อยู่ใกล้กับลานหินด้านบนของน้ำตกสร้อยสวรรค์และบานเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนมกราคมเท่านั้น เป็นต้น


📍 ปักหมุดได้ที่: อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ต.ห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี 34220

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/wvnxreMpimVVSXyV6

📞 โทร: 04-525-2581

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30 - 18.00 น.

💸 เสียค่าเข้าชม:

คนไทย >> เด็ก (อายุ 6 - 14 ปี) ราคา 20 บาท / ผู้ใหญ่ ราคา 40 บาท

ชาวต่างชาติ >> เด็ก ราคา 200 บาท / ผู้ใหญ่ ราคา 400 บาท


10. แม่น้ำสองสี

แม่น้ำสองสีเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่แม่น้ำทั้งสองสายอย่างแม่น้ำโขงและแม่น้ำมูลไหลมาบรรจบกันบริเวณปากมูลหรือดอนด่าน ซึ่งเป็นเกาะแก่งหินที่ยื่นลงไปในแม่น้ำ ทำให้สีของน้ำในบริเวณนั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนและจะผสมกลมกลืนเป็นสีเดียวกันก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงค่ะ โดยแม่น้ำมูลจะมีสีของน้ำที่ใสคล้ายสีคราม ส่วนแม่น้ำโขงจะมีสีของน้ำที่ออกขุ่น ๆ หรือเข้มคล้ายสีปูน เนื่องจากมีฝุ่นตกตะกอนและสะสมอยู่มาก หรือเรียกกันติดปากอย่างง่าย ๆ ว่า “โขงสีปูน มูลสีคราม” นั่นเองค่ะ

หากมาถูกจังหวะก็จะเห็นความแตกต่างของสีในแม่น้ำทั้งสองสายได้อย่างชัดเจนที่สุด (บ้างก็ว่าช่วงเดือนเมษายน หรือเดือนตุลาคมจนถึงเดือนมกราคม บ้างก็ว่าในช่วงฤดูฝน) โดยจุดชมแม่น้ำสองสีที่ชัดเจนที่สุดจะอยู่บริเวณริมตลิ่งหน้าวัดโขงเจียมและหมู่บ้านห้วยหมาก และนอกจากจะได้ชมแม่น้ำสองสีแล้วยังสามารถล่องเรือชมทัศนียภาพและวิถีชีวิตของผู้คนริมฝั่งแม่น้ำโขงกับแม่น้ำมูลอีกด้วยค่ะ


📍 ปักหมุดได้ที่: แม่น้ำสองสี ต.โขงเจียม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี 34220

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/hgNujbntsHJVbUtx6

📞 โทร: วัดโขงเจียม 04-538-1087

🏡 เปิด: เที่ยวชมได้ตลอดทั้งวัน


11. เขื่อนสิรินธร

ภาพนี้พี่ถ่ายค่ะ

เขื่อนสิรินธร ตั้งอยู่ที่ ต.นิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ซึ่งเขื่อนสิรินธรเป็นเขื่อนอเนกประสงค์ประเภทหินถมแกนดินเหนียวที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนในภูมิภาคนี้ใช้ประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ได้อย่างหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น “ด้านชลประทาน” ทั้งการนำพลังงานน้ำมาผลิตพลังงานไฟฟ้าและการกักเก็บน้ำในอ่างเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง, “ด้านอุทกภัย” ใช้ป้องกันปัญหาน้ำท่วม, “ด้านประมง” ใช้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดขนาดใหญ่, “ด้านคมนาคม” ใช้อ่างเก็บน้ำเป็นเส้นทางเดินเรือในการติดต่อค้าขายและขนส่งผลผลิตออกสู่ตลาด และ “ด้านการท่องเที่ยว” มีวิวทิวทัศน์ทางธรรมชาติที่สวยงามและมีจุดเด่นที่น่าสนใจอย่างสวนสิรินธรและพัทยาน้อยนั่นเองค่ะ

สวนสิรินธร ตั้งอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำฝั่งซ้ายของสันเขื่อนสิรินธรที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) เมื่อปี พ.ศ.2533 ในวโรกาสที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุครบ 3 รอบ ซึ่งภายในสวนสิรินธรจะมีบรรยากาศร่มรื่นและเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ เพราะประกอบไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานาพันธุ์, สวนน้ำพุ, ศาลาพักผ่อน และพันธุ์ไม้ดอกโทนสีม่วงประดับไว้โดยรอบพร้อมกับตัดแต่งเป็นตัวอักษร “สธ” อันเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์ ทั้งนี้สิ่งที่น่าสนใจภายในสวนแห่งนี้ ได้แก่ ประติมากรรมรูปช้างหล่อจำนวน 3 เชือกกำลังเล่นดนตรีทั้ง 3 ชนิด คือ ตีระนาด, สีซอ และเป่าขลุ่ย โดยเครื่องดนตรีทั้ง 3 ชนิดล้วนเป็นเครื่องดนตรีที่สมเด็จพระเทพฯ ทรงโปรดปรานค่ะ

ภาพนี้พี่ถ่ายค่ะ

พัทยาน้อย หรือเรียกอีกอย่างว่า “ทะเลอีสานใต้” ตั้งอยู่ภายในพื้นที่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนสิรินธร ซึ่งพัทยาน้อยนั้นเป็นจุดท่องเที่ยวที่ใช้สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ, กินอาหาร และเล่นน้ำ โดยบรรยากาศของที่นี่ก็จะมีร้านอาหารแบบเรือนแพเรียงรายเยอะแยะมากมายกันเลยทีเดียวค่ะ แถมบางแพมีเครื่องเล่นน้ำแบบสวนน้ำ หรือสระว่ายน้ำในร่ม แม้แต่เครื่องเล่นแปลก ๆ ก็ขนกันมาไว้บนแพอย่างครบครัน แต่หากใครต้องการนอนพักค้างคืน ที่พัทยาน้อยยังมีบ้านพักรับรองไว้สำหรับบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วยค่ะ แนะนำว่าให้มาพักในช่วงฤดูหนาว เพราะอากาศจะเย็นสบาย แถมยังได้มองวิวทิวทัศน์สวย ๆ แบบไม่ต้องหลบแดดหลบฝนเลยล่ะค่ะ


📍 ปักหมุดได้ที่: เขื่อนสิรินธร 30 หมู่ที่ 11 ต.นิคมสร้างตนเองลำโดมน้อย อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี 34350

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/2fQGAoXPU7wLLNZ58

📞 โทร: 04-536-6081

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 18.00 น.


12. วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว

ภาพนี้พี่ถ่ายค่ะ

วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว หรือที่รู้จักกันดีในอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดเรืองแสง” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดอุบลราชธานีอีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาดเลยล่ะค่ะ ซึ่งวัดแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ที่จำลองสภาพแวดล้อมของเขาไกรลาศหรือวัดป่าหิมพานต์นั่นเอง และสาเหตุที่เรียกขนานนามว่า “วัดเรืองแสง” เพราะต้นกัลปพฤกษ์ที่เป็นลวดลายจิตรกรรมฝาผนังด้านหลังพระอุโบสถได้ทาสารฟลูออเรสเซนต์หรือสารเรืองแสงไว้รอบ ๆ ต้น ทำให้ต้นไม้เรืองแสงสีเขียวอย่างสวยงามที่จะเห็นได้เฉพาะในช่วงเวลากลางคืน หลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้วเท่านั้น โดยสารฟลูออเรสเซนต์หรือสารเรืองแสงมีคุณสมบัติรับแสงจากพระอาทิตย์ในตอนกลางวันและฉายแสงชัดในเวลากลางคืน ทั้งนี้ต้นไม้เรืองแสงเป็นฝีมือการออกแบบของช่างคุณากร ปริญญาปุณโณ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากต้นไม้แห่งชีวิตในภาพยนตร์เรื่องอวตารค่ะ

นอกจากนั้นยังมีพระประธานตั้งไว้อยู่ตรงกลางของพระอุโบสถสีปัดทองอีกด้วย ซึ่งพระประธานคล้ายพระพุทธชินราชในจังหวัดพิษณุโลก เพียงแต่จะนำส่วนรัศมีออกไปเพื่อให้ดูกลมกลืนกันมากยิ่งขึ้น โดยฉากหลังของพระประธานทำเป็นต้นโพธิ์และติดด้วยแผ่นพระทองไว้ตรงเบื้องบนค่ะ ทั้งนี้ช่วงเวลาในการมาชมและถ่ายภาพแนะนำว่าให้มาชมในคืนเดือนมืดและช่วงเช้าเวลา 06.00 น. กับช่วงเย็นเวลา 19.30 น. เพราะยิ่งมืดมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเห็นทั้งต้นไม้เรืองแสงและดวงดาวมากมายส่องแสงสุกสกาวเต็มท้องฟ้ารายล้อมพระอุโบสถได้อย่างชัดเจนและสวยงามมากขึ้นเท่านั้นค่ะ สำหรับคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพแนะนำอีกอย่างว่าเตรียมกล้องถ่ายรูปไว้ถ่ายภาพจะดีกว่า เพราะหากถ่ายภาพจากโทรศัพท์มือถือเป็นการยากที่จะถ่ายภาพให้ได้ภาพการเรืองแสงนั้นค่ะ


📍 ปักหมุดได้ที่: วัดสิรินธรวราราม 99 ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี 34350

🚘 GPS: https://goo.gl/maps/AYDaaohpXZisbeJV7

📞 โทร: ททท.อุบลราชธานี 04-524-3770

🏡 เปิด: ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 - 21.00 น.


เมื่อทุกคนทราบข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดในจังหวัดอุบลราชธานีกันไปแล้ว หากใครมีเวลาหรือโอกาสก็อย่าลืมแวะไปเที่ยวชมกันนะคะ รับรองว่าเพื่อน ๆ จะประทับใจไม่รู้ลืมเลยล่ะค่ะ ^^

ความคิดเห็น