"ครั้งหนึ่งในชีวิต เรา คือ ผู้พิชิตภูกระดึง"

ภูกระดึงคงเป็นจุดเริ่มต้นการเดินป่าของใครหลายๆคน

เราเองก็เช่นกัน และนี่คือเรื่องราวการขึ้นภูกระดึงครั้งแรกของเรา 

เตรียมตัว เตรียมใจ ฟิตร่างกายให้พร้อม แล้วไปลุยด้วยกันนะ

เมื่อถึงวันที่ 1 ตุลาคมทีไร นั่นเป็นสัญญาณว่า ฤดูท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูกระดึงได้มาถึงแล้ว โดยปีนี้อุทยานแห่งชาติภูกระดึงเปิดให้เที่ยวชมได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 31 พฤษภาคม 2564 .. การมาเที่ยวภูกระดึงควรมาอย่างน้อย 3 ครั้ง เพราะ แต่ละฤดูของภูกระดึงมีเสน่ห์แตกต่างกันออกไป 

- ช่วงปลายฝนต้นหนาว (เดือนตุลาคม - เดือนพฤศจิกายน) เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการล่าน้ำตกและล่าหมอก ธรรมชาติจะเขียวๆ สดชื่น และเจ้าทากุก็ชอบฤดูนี้มากๆด้วย
- ช่วงฤดูหนาว (เดือนธันวาคม - เดือนมกราคม) 
เป็นช่วงเวลาของการล่าใบเมเปิ้ลแดง บางช่วงอากาศหนาวจนถึงเลขตัวเดียวเลยก็มี
- ช่วงฤดูร้อน (เดือนกุมภาพันธ์ - เดือนพฤษภาคม) 
เป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการล่าทางช้างเผือก ต้นไม้ใบหญ้าจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ร้านค้าเริ่มเหลือน้อยตามนักท่องเที่ยวที่ขึ้นภ

Route Plan แพลนคร่าวๆ สำหรับทริปภูกระดึง 3 วัน 3 คืน



Day 0 การเตรียมตัวและการเดินทาง
2 พฤศจิกายน 2563

1. จองรถทัวร์ มีให้บริการหลายบริษัท ไม่ว่าจะเป็น ภูกระดึงทัวร์, บชส.999, แอร์เมืองเลย, sunbus เป็นต้นแนะนำให้ขึ้นรอบ 20.30 น. - 22.30 น. ใช้เวลาเดินทาง 7-8 ชั่วโมงจะได้มาถึงเช้าพอดี

:: เพิ่มเติมเรื่องของการเดินทาง ::

การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว

- ให้เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี เพชรบูรณ์ อำเภอหล่มสัก หล่มเก่า ด่านซ้าย ภูเรือ และ อำเภอเมืองเลย เลี้ยวเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 เลย-ขอนแก่น หลังจากนั้นก็เลี้ยวเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2019 เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

- ให้ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี จังหวัดนครราชสีมา จนไปถึง จังหวัดขอนแก่น เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 ผ่านอำเภอภูผาม่าน และ ผ่านตำบลผานกเค้า เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

- ให้เดินทางผ่าน จังหวัดสระบุรี อำเภอปากช่อง เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 201 ผ่าน จังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ หลังจากนั้นก็เดินทางเช่นเดียวกับเส้นทางที่ 2

การเดินทางโดยรถไฟ ขึ้นรถไฟที่ที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ปลายทางสถานีรถไฟขอนแก่น ต่อรถโดยสารสาย ขอนแก่น - เลย ก็จะถึงอำเภอภูกระดึงแล้วต่อรถสองแถวเข้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึง

การเดินทางโดยเครื่องบิน ขึ้นเครื่องมาลงที่สนามบินเลย (แนะนำไฟล์ทเช้าจะได้มาถึงก่อนเที่ยงเดี๋ยวจะไม่ทันเวลาขึ้นภู) ข้ามฝั่งมารอรถประจำทาง ขอนแก่น-เลย รถจะมาทุกๆ 30 นาที แล้วต่อสกายแลปหรือมอเตอร์ไซด์เข้าที่ทำการ

2. จองที่พัก สามารถจองที่พักล่วงหน้าได้ที่  http://nps.dnp.go.th จองล่วงหน้าได้ไม่เกิน 60 วัน และจองติดต่อกันได้ไม่เกิน 3 คืน หรือสำรองการเข้าไปใช้บริการได้โดยตรง ณ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง โทร 042-810833
- พื้นที่กางเต็นท์ (สำหรับคนนำเต็นท์ไปเอง) ราคา 30 บาท/คน/คืน
- เต็นท์ (นอนได้ 3 คน) ราคา 225 บาท/คืน
- หมอน ราคา 10 บาท/คืน
- แผ่นรองนอน ราคา 20 บาท/คืน
- ถุงนอน ราคา 30 บาท/คืน
- ผ้าห่มติดต่อเช่ากับเจ้าหน้าที่ด้านบนภูในวันที่เดินทางมาได้เลย (ไม่มีจองในระบบออนไลน์) ผืนใหญ่ 50 บาท/คืน ผืนเล็ก 30 บาท/คืน
หากเต็นท์อุทยานเต็มยังมีเต็นท์ของทางร้านค้าให้บริการ ราคาพอๆกับของอุทยานเลยค่ะ

3. จอง QueQ ขั้นตอนง่ายๆ ท่องเที่ยวสบายๆ สไตล์ New normal จำกัดคนเข้าพื้นที่ได้ไม่เกิน 2,000 คนต่อวัน จองการเข้าพื้นที่ล่วงหน้าผ่าน Aplication QueQ สามารถจองเข้าพื้นที่ล่วงหน้าได้ไม่เกิน 15 วัน ใน QueQ รองรับการจองได้สูงสุด 1,400 คนต่อวัน และรับนักท่องเที่ยว walk-in ที่อุทยานได้สูงสุด 600 คนต่อวัน

4. สิ่งที่สำคัญ
- ไฟฉาย สิ่งสำคัญที่ควรจะมี หรือใครจะใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์ก็ได้แต่ก็จะเปลืองแบตโทรศัพท์ ไฟฉายเอาไว้ใช้เวลาเราเดินไปเข้าห้องน้ำหรือร้านอาหาร ระหว่างทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้น-ตก
- ยาประจำตัว ยาแก้ปวด ยานวด ยาคลายกล้ามเนื้อ จำเป็นมากๆ
- หากไปหน้าฝน เสื้อกันฝน ถุงกันทาก สเปรย์กันทาก ต้องมี หากไปช่วงหน้าหนาว หาเสื้อผ้าหนาๆ ถุงเท้า เสื้อกันหนาว เสื้อกันลม เตรียมให้พร้อม เพราะ ข้างบนหนาวมาก หนาวจนถึงเลขตัวเดียวเลยก็มี
- เงิน อันนี้สำคัญที่สุด เพราะ บนภูไม่มีตู้เอทีเอ็ม ค่าอาหารจะราคาสูงตามระดับความสูง บางร้านมี QR CODE รับโอน แตกเป็นแบงก์ย่อยมาเยอะๆก็ดี บางทีลูกหาบจะไม่มีเงินทอน

5. สิ่งที่ไม่ควรทำ
- ไม่อนุญาตให้ประกอบอาหารทุกชนิดด้านบนยอดภู
- ห้ามนำสัตว์เลี้ยงทุกชนิดเข้ามาในเขตอุทยานแห่งชาติ
- ห้ามส่งเสียงดัง หลังเวลา 22.00 น.
- ไม่นำสุราและของมึนเมาเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ

การเดินทางของเราในครั้งนี้ เราเลือกเดินทางช่วงกลางคืนด้วยรถโดยสารปรับอากาศ VIP ของ Sunbus จากต้นทาง กรุงเทพ (หมอชิตใหม่ 2) - ปลายทาง จุดจอดผานกเค้า .. หลังจากเลิกงานเรารีบจัดการภารกิจส่วนตัวแล้วรีบตรงดิ่งไปยังสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) เพื่อรอเจอเพื่อนๆที่นัดกันไว้ 

รถของเราออกจาก กรุงเทพ เวลา 22.00 น. ตามเวลาเราจะถึงจุดจอดผานกเค้าตอน 05.00 น. แต่เราถึงเวลา 06.30 น. เลจไป 1.30 ชม. เนื่องจาก รถเสียไปประมาณ 5 รอบ บนรถจะมีอาหารว่างและน้ำแจกให้รองท้องเท่านั้นค่ะ

Day 1
3 พฤศจิกายน 2563


06.30 น. พวกเราก็เดินทางมาถึงที่ผานกเค้า รถก็มาจอดข้างร้านเจ้กิมเลยค่ะ .. ร้านเจ๊กิม เปรียบเสมือนจุดรวมพลคนขึ้นภูเลยค่ะ ด้านหลังร้านมีห้องน้ำให้บริการฟรี ใครจะอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน กินข้าว พักผ่อนตามอัธยาศัยได้เลยค่ะ วันที่เรามาเป็นวันธรรมดา ทำให้มีนักท่องเที่ยวขึ้นภูไม่มากนัก ..

เราก็เดินไปขึ้นสองแถวที่จอดอยู่บริเวณหน้าร้านเจ้กิม ค่าบริการคนละ 30 บาท (10 คน) หากไม่เต็มสิบคนราคาเหมาเที่ยวละ 300 บาท แต่ช่วง Covid-19 สองแถวที่ให้บริการจำกัดคนขึ้นแค่ 6 คนเท่านั้น ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที ก็ถึงบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน

ก่อนเข้าเราต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานกันก่อน ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ใครล่าตราประทับอุทยานสามารถปั๊มตรงนี้ได้หนึ่งจุด บนภูได้อีกหนึ่งจุด และที่ศูนย์ฯ มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำด้วยนะ สามารถอาบตรงจุดนี้ได้อีกหนึ่งที่


จากนั้น เราเข้ามาที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เพื่อติดต่อเช่าเต็นท์และเครื่องนอน คนที่จองออนไลน์มาแล้วก็ต้องมาติดต่อตรงนี้ก่อน
ช่อง 1 สำหรับคนที่จองผ่านระบบออนไลน์มา
ช่อง 2 สำหรับคนที่นำเต็นท์มาเอง ต้องเสียค่าพื้นที่กางเต็นท์คนละ 30 บาท/คืน
ช่อง 3,4 สำหรับคนที่ต้องการจองที่พัก (บ้านพัก/พื้นที่กางเต็นท์/เต็นท์) ส่วนเครื่องนอนไปจองด้านบน

ถัดมาเรามาซื้อประกันภัย คนละ 10 บาท หากเราเกิดอุบัติเหตุ ขาพลิกขาแพลงระหว่างทาง เดินขึ้นไม่ไหว สามารถเรียกลูกหาบระหว่างทางแบกเราได้ฟรี

จุดสุดท้ายที่เราเข้ามาติดต่อ คือ จุดบริการลูกหาบ ตรงจุดนี้แล้วแต่ความสมัครใจ แต่เรามาครั้งแรกขอตัวปลิวสักหน่อยดีกว่า เพื่อจะไม่เป็นภาระของคนอื่น .. เริ่มต้นด้วยเราต้องซื้อบัตรติดสัมภาระก่อน ใบละ 5 บาท เขียนชื่อ เบอร์โทร แล้วนำไปผูกกับสัมภาระ จากนั้น เจ้าหน้าที่จะชั่งน้ำหนักกระเป๋าทีละใบ เศษปัดขึ้นเป็น 1 กิโล ชำระเงินให้ลูกหาบกิโลกรัมละ 30 บาท ที่ด้านบนอาคารรับสัมภาระเมื่อสัมภาระของเราไปถึง .. หากมาช่วงวันหยุดหากมาช้าอาจจะเจอเหตุการณ์ลูกหาบหมดได้นะคะ

เมื่อติดต่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาขึ้นกันแล้ว ก่อนขึ้นทางด้านขวามือจะมีศาลเจ้าปู่ภูกระดึงและพระพุทธรูป แวะไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล ขึ้น-ลงภูได้อย่างปลอดภัยสักหน่อย

แช๊ะภาพเป็นที่ระทึก เอ้ย ระลึกสักภาพสองภาพ ดู Before & After สักหน่อยว่าสภาพก่อนขึ้น กลับขึ้นถึงแล้วสภาพจะเลวร้ายแค่ไหน ฮ่าๆ .. ครั้งนี้ เรามีเพื่อนร่วมทริปกันทั้งหมด 6 คนค่ะ (ขอบอกว่าทริปนี้หญิงแกร่งสุดค่ะ อิอิ) .. จุดถ่ายรูปกับป้ายแบบนี้จะมีอยู่ 3 จุดค่ะ มีก่อนขึ้นภู หลังแป และทางเข้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง (ข้อความแต่ละป้ายไม่เหมือนกัน)

ทางอุทยานฯ ไม่อนุญาตให้ขึ้นหลัง 14.00 น. เราเริ่มออกสตาร์จตอน 8.00 น. ระยะทางขึ้นเขาทั้งหมด 9 กม. แบ่งเป็น ขึ้นเขา 5.5 กม. และทางราบอีก 3.5 กม. สูงจากระดับน้ำทะเล 1,288 เมตร ฮึดไว้! นี่เพิ่งจุดเริ่มต้นเอง

ไม้ช่วยชีวิตสำคัญมากนะ ใครไม่มี trekking pole ก็หยิบติดมือไปสักหน่อย มันจะช่วยยันเราจนถึงยอดได้ดีเลยล่ะ เอาขึ้นไปแล้วก็เอากลับลงมาด้วยนะ ^^

สำหรับเส้นทางเดินขึ้นเขา จะแบ่งเป็นซำต่างๆ แต่ละซำจะมีร้านค้าและห้องน้ำไว้คอยบริการ สะดวกสบายสุดๆ เมื่อต้องเทียบกับที่อื่นๆ กว่าจะถึงด้านบนเราจะต้องผ่านอะไรบ้างมาดูภาพรวมกัน
- ปางกกค่า (800 ม.)
- ซำแฮก (200 ม.)*
- ซำบอน (700 ม.)
- ซำกกกอก (360 ม.)
- ซำกอซาง (200 ม.)*
- พร่านพรานแป (240 ม.)
- ซำกกหว้า (440 ม.)*
- ซำกกไผ่ (460 ม.)
- ซำกกโดน (300 ม.)*
- ซำแคร่ (450 ม.)*
- หลังแป (1,280 ม.)
- ศูนย์บริการวังกวาง (3,620 ม.)

ช่วงที่หนึ่ง
ที่ทำการอุทยาน > ปางกกค่า > ซำแฮก

ขอบอกเลยว่าเป็น 1 กิโลแรกที่ยาวนาน ทางค่อนข้างชันตลอด เป็นซำที่เหนื่อยสุดแล้ว ผ่านซำนี้ได้ซำอื่นสบ๊ายยย ..

เดินเรื่อยๆไม่ต้องรีบ เหนื่อยก็พัก เราใช้เวลา 1 ชั่วโมง ก็มาถึงป้าย ‘ซำแฮก’ แล้ว น้ำตาจะไหล ไม่ต้องถามเลยว่าทำไมตั้งชื่อนี้ หอบแฮกๆ แฮกสมชื่อเลยจริงๆ

ขอพักสักหน่อยก่อนที่จะเดินกันต่อ ขอจัดแตงโมสักซีกคงจะชื่นใจน่าดู ร้านค้าไม่ได้มีทุกซำนะคะ และราคาอาหารก็จะเพิ่มไปตามระดับความสูงด้วย

ช่วงที่สอง
ซำแฮก > ซำบอน > ซำกกกอก > ซำกอซาง

ถัดจากซำแฮกไป ทางเดินจะเป็นทางราบ สลับเนินเขาบ้าง ไม่ชันมาก เดินเรื่อยๆ สบายๆ หยุดพักอีกทีที่ซำกอซาง ซำนี้จัดติมหลอด 3 ไม้ 20 บาท และไอศกรีมมะพร้าว ถ้วยละ 25 บาท หวานเย็นชื่นใจ ~

ช่วงที่สาม
ซำกอซาง > พร่านพรานแป > ซำกกหว้า

ช่วงซำนี้ก็จะเดินสบายหน่อย มีทางราดปูนให้เดินมีราวเหล็กกั้น จุดแวะพักแวะต่อไปอยู่ที่ซำกกหว้า แวะกินน้ำแข็งไสเติมน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายสักหน่อย

ช่วงที่สี่
ซำกกหว้า > ซำกกไผ่ > ซำกกโดน

ก่อนถึงซำกกไผ่เราจะต้องฮึดสู้กับขั้นบันไดถี่ๆสักหน่อย แต่ยังไม่โหดเพราะมีโหดกว่านี้ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลย แล้วจะรู้ว่าอาการเกลียดบันไดเป็นยังไง

ที่ซำกกโดนเป็นจุดแวะพักอีกหนึ่งจุดที่มีร้านอาหารขาย แต่ซำนี้เราไม่ได้แวะทานอะไร ได้แต่นั่งพักให้ลมตีหน้า ให้ได้มีแรงไปต่อ

ช่วงที่ห้า
ซำกกโดน > ซำแคร่ > หลังแป

ป่าตรงจุดนี้จะค่อนข้างร่มรื่น ซำแคร่ จุดพักมีอาหารที่สุดท้าย แวะทานอาหารอาหารกลางวันที่นี่ เราสั่งเมนูง่ายๆ อย่างเมนูสิ้นคิด ผัดกระเพรา จัดไข่ปิ้งอีกหนึ่งฟองโดฟเข้าไป แรงจะได้ไม่หมด ลงภูเมื่อไหร่ชั่งน้ำหนักได้เลย ไม่มีลดมีแต่เพิ่ม กินยับขนาดนี้

ถ้าเราเห็นบันไดที่มีลักษณะตั้งฉากเกือบ 90 องศาแปลว่าใกล้จะถึงหลังแปแล้ว แต่ก็โดนหลอกว่าใกล้จะถึงทุกบันไดเช่นกัน ฮ่าๆ

ถึงแล้วก็ต้องแวะถ่ายรูปกับป้ายมหาชนสักหน่อย “ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง” เดี๋ยวจะมาไม่ถึงเอา ..

ช่วงที่หก
หลังแป > ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง

จากจุดนี้จะเป็นทางราบเดินกันยาวๆ ชมความสวยงามของต้นสนริมทางไปเรื่อยๆ .. น่าเสียดายที่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2563 ที่ผ่านมาเกิดไฟป่าครั้งยิ่งใหญ่กับสถานที่แห่งนี้ ต้นไม้แต่ละต้นใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะโตแพร่กิ่งก้านได้งดงาม ไฟป่าครั้งเดียวเสียหายจนยากที่จะคืนกลับมา

ใครที่เดินผ่านตรงนี้จะต้องมาแวะทักทายกับ ‘ต้นสนเดียวดาย’ ที่ตั้งตะหง่านอยู่กลางทางอยู่เพียงต้นเดียวลำพัง แต่ก็เป็น signature ของภูกระดึงอยู่นะ ใครผ่านตรงนี้ต้องมาแวะถ่ายรูปกับนางทุกครั้งเลย

เดินไปสักพักเราก็มาถึงจุดหมายของเราเสียที เย้! เราใช้เวลาเดินขึ้นมาทั้งหมด 7 ชั่วโมง (ไม่รีบร้อน แวะพักทุกซำ แวะถ่ายรูป แวะถ่ายวีดีโอ ไปเรื่อย) ตอนนี้ก็เป็นเวลา 15.00 น. ก็มาถึงที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง แล้วค่ะ

ตรงจุดนี้เราต้องเอาใบจองที่ได้มาจากด้านล่างไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อรับเครื่องนอน แล้วก็ไปเลือกเต็นท์กัน โดยเจ้าหน้าที่จะยึดบัตรประชาชนไว้วันกลับค่อยมารับคืน .. ที่ศูนย์บริการวังกวางรับฝากชาร์จแบตได้ (มีค่าบริการ)
- โทรศัพท์ครั้งละ 20 บาท/เครื่อง
- แบตกล้อง 20 บาท/เครื่อง
- Tablet 40 บาท/เครื่อง
- แบตสำรอง - โน๊ตบุ๊ค 40 บาท/เครื่อง

นี่คือสภาพเต็นท์ของพวกเราค่ะ ถ้าจองผ่านเว็บไซต์มาจะได้เต็นท์ลายพรางสามคนนอนแบบนี้

แต่ถ้าวอคอินจะได้เต็นท์ส้มสองคนนอน เราเลือกโซนที่เดิมไปห้องน้ำได้สะดวกหน่อย นอนรอกระเป๋าจากลูกหาบซึ่งมาถึงตอน 16.00 น. .. ระหว่างนี้ ก็พักผ่อนตามอัธยาศัย รอเวลาเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหมากดูกกัน

17.00 น. เราเริ่มออกเดินทางเพื่อไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาที ระยะทาง 2 กิโลเมตร เดินง่ายไม่ยาก หรือใครจะเช่าจักรยานปั่นมาก็ได้ ล้อเล็กปั่นมาชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก ราคา 60 บาทจ้า ช่วยทุ่นเวลาไปได้เยอะ แต่พวกเราก็ขอวัดพลังขาที่ตอนนี้เริ่มมีอาการระบมรวดร้าวไปหมด ทรมานตัวเองทำไมเนี้ย !!

จากที่เชคมา วันนี้พระอาทิตย์จะตกตอน 17.45 น. ทัน ไม่ทัน ทัน ไม่ทัน .. แต่สุดท้ายจะทันหรือไม่ทันเราก็ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกจ้า หลบหลังเมฆเฉย สงสัยจะขี้อาย ทริปนี้ไม่มีดวงกับการดูพระอาทิตย์เลย .. พวกเราอยู่ถ่ายรูปเล่นสักพัก เราก็เดินกลับที่พัก ทางค่อนข้างมืดแล้ว อย่าลืม พกไฟฉายกันไปด้วยน้า ถึงจะมีไฟส่องสว่างตามทางอยู่ แต่ระยะห่างของไฟแต่ละดวงก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไฟฉายจึงสำคัญมากนะจ้าสำหรับการมาเที่ยวภูกระดึง

สำหรับมื้อเย็นของพวกเราจะพลาดไม่ได้เลยกับเมนู ‘หมูกระทะ’ ที่ใครมาก็ต้องกินจริงๆ ทุกร้านค้าจะมีบริการชาร์จแบตฟรีแต่เต็มช้าเพราะไฟฟ้าส่วนใหญ่มาจากโซล่าร์เซลล์ .. เดินเซอร์เวย์หนึ่งรอบไม่รู้จะทานร้านไหนดี เลยจิ้มร้านหมูกระทะที่เราเดินมาหยุดตรงหน้าร้านเค้าพอดี หมูกระทะ ชุดละ 500 บาท แถมข้าวผัดไข่ฟรี 1 จาน

หลังจากเติมพลังลงท้องเรียบร้อย เราจึงเดินมาที่ The Post Card Gallery เพื่อส่งโปสการ์ดหาตัวเอาสักหน่อย ได้ยินจากพี่ที่รู้จักเค้าบอกว่า การส่งโปสการ์ดที่ภูกระดึงต้องลุ้นว่าจะส่งมาถึงเมื่อไหร่ 1 ปี 8 ปี หรือไม่ได้รับเลยยังมีมาแล้ว มาลุ้นกันสิว่าเราจะได้รับโปสการ์ดจากภูกระดึงเมื่อไหร่ ^^

ก่อนนอนคืนนี้ ยานวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ทุกอย่างที่พกมาประคบประหงมกันหน่อย พรุ่งนี้ ตื่นมาจะได้มีแรงลุยต่อ เพราะ หนทางของวันพรุ่งนี้บอกเลยไม่ต่ำกว่า 20 โล คร่อก ~*

Day 2
4 พฤศจิกายน 2563

วันนี้เราตื่นตีสี่ครึ่ง เตรียมพร้อมสำหรับการไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ตีห้าจะเป็นเวลานัดหน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่อุทยานจะเป็นคนนำทางพานักท่องเที่ยวไป ถ้าฟ้ายังมืดอยู่ห้ามเดินไปเองเพราะอาจจะเจอช้างป่าได้ จากหน้าศูนย์ไปถึงผานกแอ่นระยะทาง 2.5 กิโลเมตร เสื้อกันหนาว ไฟฉายเตรียมมาให้พร้อม เดินประมาณ 30 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ

วันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นตอน 06.15 น. แต่พระอาทิตย์ขี้อายหลบหลังเมฆ ทะเลหมอกก็ไม่เห็น โชคไม่เข้าข้างอีกแล้ว ถ่ายรูปเล่นก็ได้ สิงในกลุ่มเฟสบุ๊คคนรักภูกระดึง คนอื่นเค้าเจอทั้งทะเลหมอก เจอทั้งพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ แต่เราดันมาเจอจังหวะไม่ค่อยดี อย่างว่าแหละมันอยู่ที่ดวงด้วยแหละเน๊อะ

7.00 น. เดินกลับเพื่อไปกินข้าวเช้า เราทานที่ร้านป้าแขก เราทานเป็นไข่กระทะ ส่วนเพื่อนๆทานโจ๊กกัน ทานคู่กับน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ ตั้งใจจะซื้อข้าวเหนียวหมูเอาไว้เป็นเสบียงตอนมื้อเที่ยง แต่สุดท้ายดันลืมซื้อซะอย่างงั้น

ระหว่างเดินกลับเต็นท์ได้ยินเสียง จนท. ประกาศว่า พรุ่งนี้ใครจะลงภูถ้าจะใช้บริการลูกหาบต้องมาลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนสิบโมงเช้า จะเอาของมาฝากตอนกี่โมง น้ำหนักโดยประมาณเท่าไหร่ เพื่อที่ทางอุทยานจะจัดหาลูกหาบมาไว้ให้ เราเลยแวะไปลงทะเบียนให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางไกล .. จุดหมายปลายทางของพวกเราในวันนี้ คือ ไปดูพระอาทิตย์อัสดงที่ผาหล่มสักซึ่งเป็นไฮไลท์ของภูกระดึง .. ตอนแรกลังเลว่าจะเดินหรือปั่นจักรยานดี ลองมาคำนวณดูแล้วคิดว่า ถ้าเดินเราอาจจะใช้เวลามากกว่า เลยตัดสินใจเช่าจักรยาน

อัตราค่าเช่ารถจักรยาน ล้อใหญ่ 410 บาท ล้อเล็ก 360 บาท หลังเช่าเสร็จทางร้านจะแนะนำเส้นทางสำหรับจักรยานและทดสอบพื้นฐานการปั่นก่อนออกจากร้าน .. ช่วงวันหยุดยาว คนจะใช้จักรยานเยอะ แนะนำโทรมาจองก่อนล่วงหน้าดีที่สุด

สำหรับเส้นทางการเที่ยวของเราในวันนี้ คือ จากลานกางเต็นท์วังกวาง > ลานพระพุทธเมตตา > น้ำตกถ้ำใหญ่ > สระอโนดาต > ตัดเข้าผานาน้อย > ผ่านผาเหยียบเมฆ > ผ่านผาแดง > ถึงผาหล่มสัก ระยะทางคร่าวๆประมาณ 9 กม.

ส่วนขากลับใช้เส้นทางเลียบหน้าผา คือ ผาหล่มสัก > ผาแดง > ผาเหยียบเมฆ > ผานาน้อย > ผาจำศีล > ผาหมากดูก > ตรงเข้าลานกลางเต็นท์วังกวาง ระยะทางโดยประมาณ 9 กม.เช่นกัน ขากลับไม่อนุญาตให้เดินตัดเข้าทางสระอโนดาต เพราะ อาจจะเจอสัตว์ป่าลงมากินน้ำได้

Checkpoint 1 ลานพระศรีนครินทร์ : เป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธเมตตา สร้างขึ้นเพื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวภูกระดึง ช่วงวันที่ 18-19 เมษายนของทุกปี ชาวบ้านทั้งหลายหมู่บ้านในพื้นที่อำเภอภูกระดึงจะจัดกิจกรรมสรงน้ำพระพุทธเมตตา มีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ และเล่นน้ำสงกรานต์กันบนยอดภูด้วย น่าเสียดายที่ปีนี้ 2563 มีโรคระบาด Covid-19 ทำให้ต้องปฏิบัติตามนโยบายของทางภาครัฐ อุทยานแห่งชาติภูกระดึงจึงงดกิจกรรมนี้ไป

Checkpoint 2 น้ำตกถ้ำใหญ่ : เป็นน้ำตกที่อยู่ท่ามกลางป่าดงดิบ ความน่าสนใจของน้ำตกใหญ่นี้อยู่ที่ ‘ต้นเมเปิ้ล’ ที่ขึ้นอยู่เป็นระยะๆ หากยิ่งได้มาช่วงที่ต้นเมเปิ้ลเปลี่ยนสีเป็นสีแดงแล้วด้วยล่ะก็ ใบที่ร่วงหล่นลงมาที่โขดหินทับถมๆกันจนเป็นพรมสีแดงคงจะสวยมากทีเดียว .. ใครอยากเห็นพรมแดงต้องเป็นช่วงธันวาคม-มกราคมจะแดงเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วยค่ะ ลองติดตามในเพจคนรักภูกระดึงก็ได้ จะมีคนมาอัพเดทอยู่เรื่อยๆ

Checkpoint 3 สระอโนดาต : เป็นสระน้ำขนาดใหญ่ ที่มีน้ำตลอดทั้งปี แวะพักเหนื่อยตรงนี้ก่อน ถอดรองเท้าเอาเท้าจุ่มน้ำก็ดีไม่น้อยนะ ตรงบริเวณนี้ หลายๆคนชอบเลือกไว้เป็นที่ปิกนิก แวะพักทานอาหารกลางวันใต้ต้นสนสองใบ จุดนี้ไม่มีร้านค้าต้องเตรียมเสบียงมาเอง .. ใกล้ๆกันก็มีสวนหินธรรมชาติที่เรียกว่า ‘ลานกินรี’

Checkpoint 4 ผานาน้อย : จากสระอโนดาตสามารถเลือกตัดไปได้สองทาง คือ ผานาน้อย หรือ ผาเหยียบเมฆ เราเลยเลือกตัดไปที่ผานาน้อย เพื่อไปแวะพักทานอาหารกลางวันซึ่งมีตั้งอยู่เพียงร้านเดียว พร้อมกับชมวิวตรงผานาน้อยไปด้วยซะเลย

Checkpoint 5 ผาเหยียบเมฆ : มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงและมีลานหินกว้าง สามารถมองเห็นพื้นที่รอยต่อได้สามจังหวัด คือ เลย ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ .. บางช่วงตะมีเมฆลอยปกคลุมเป็นก้อนๆ เหมือนเรากำลังยืนอยู่บนเมฆ จึงเป็นที่มาของชื่อ ผาเหยียบเมฆ แต่ควรระวังเป็นพิเศษเพราะเบื้องหน้าเป็นหน้าผาสูงชัน

Checkpoint 6 ผาแดง : ระหว่างทางไปผาแดง เราไปแวะถ่ายรูปกับหินหัวเต่า เสมือนว่า เราอยู่ริมหน้าผา ทั้งๆที่ขาเราเหยียบถึงแล้วค่อยไปแวะพักค่อที่ผาแดง แต่ก็พักไม่นานก็ออกเดินทางกันต่อ อีกแค่ 3,200 เมตร ก็จะถึงผาหล่มสักแล้ว สู้!

Checkpoint 7 ผาหล่มสัก : จุดหมายปลายทางของเราในวันนี้ ไม่พูดพร่ำทำเพลง เรารีบตรงไปที่ร้านชมพู่มะเหมี่ยวก่อนเลย ไปรับบราวนี่ที่สั่งจองล่วงหน้าไว้ (บราวนี่ร้านนี้ต้องจองล่วงหน้ามานะจ้าทางเพจร้านได้เลย) ทานคู่กับชาเขียวเย็น อาโหร่ยยย ~ และมื้อเย็นเราก็ขอฝากท้องไว้กับที่นี่

ส่วนมุมมหาชนที่พลาดไม่ได้ มาถึงภูกระดึงทั้งทีต้องได้ภาพมุมนี้กลับไป ไม่งั้นเดี๋ยวจะมาไม่ถึง ตอนถ่ายก็ระวังๆหน่อยนะ หน้าผาล้วนๆ เกิดมามีชีวิตเดียวก็ดูแลรักษาดีดีนะ ..

เราอยู่รอจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แต่สุดท้ายก็แห้วรับประทานอีกเช่นเคย .. เอาจริงๆนะ ถ้าไม่ซีเรียสจะดูพระอาทิตย์ตกที่ผาไหนๆก็สวยเหมือนกัน สำหรับใครที่เดินมาอย่าลืมว่าป่าพอหมดแสงก็จะมืดตึบ เปลี่ยว และวังเวง ต้องเดินกลับอีก 9 โลนะ ไฟฉายต้องพร้อม เดินกลับเกาะกลุ่มกับคนอื่นๆ จะปลอดภัยกว่า อุ่นใจกว่าด้วย

ส่วนกลุ่มของเราปั่นจักรยานมา เราจะกลับเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ออกจากผาหล่มสัก จะมีเจ้าหน้าที่มาติดไฟฉายให้ที่รถจักรยาน และเป็นคนนำทางพาเรากลับ .. ขากลับเราใช้เส้นทางเลียบหน้าผากลับมา กลุ่มของพวกเราออก start 18.00 น. ถึงลานกางเต็นท์ 19.00 น. ทำเวลากลับได้ดีมากใช้เวลาไปแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น !!

ปล. ได้แผลมาเป็นของฝากจากภูกระดึง รถจักรยานล้มตรงเนินสุดท้ายก่อนถึงผาหมากดูก อยู่ดีดีรถก็ปั่นไม่ขึ้น จะลงมาเข็นก็เหมือนเหยียบพื้นไม่ถึง รถล้มไปตามระเบียบ แขนช้ำไปอาทิตย์กว่า ฮือๆๆ .. อาบน้ำ พักผ่อน เก็บของ เตรียมให้ลูกหาบขนลงพรุ่งนี้เช้าดีกว่า ~ ราตรีสวัสดิ์

Day 3
5 พฤศจิกายน 2563

เช้านี้ ตั้งใจจะตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่อ่างเก็บน้ำวังกวางซะหน่อย แต่ก็ไม่ได้ไป .. บรรยากาศบริเวณลานกางเต็นท์วันนี้หมอกลงจัดมากยังกะอยู่ในดินแดนลึกลับ

เรารีบเก็บกระเป๋าเพื่อเอามาชั่งกิโลก่อน 7 โมงเช้าตามที่ลงทะเบียนไว้เมื่อวาน เพื่อที่จะให้ทันลูกหาบรอบแรก จะได้ไม่ต้องลงไปรอกระเป๋านาน

จากนั้น เราไปเติมพลังด้วยการกินข้าวเช้าที่ร้านใบเฟิร์นกับเมนูข้าวขาหมู

กลุ่มของพวกเราเริ่มออกเดินทางตอน 8.00 น. ลงมาถึงด้านล่างเวลา 13.00 น. ใช้เวลาเดินลงมาทั้งหมด 5 ชั่วโมง

แนะนำรองเท้ารัดส้นเปิดนิ้วนะคะ เวลาเดินลงเท้าเราจะจิก ถ้าเป็นผ้าใบจะบีบนิ้วเราได้ อาจจะทำให้เดินไม่สบาย หรือเจ็บเท้าได้ ขาลงไม่เหนื่อยเท่าตอนขึ้นแต่ต้องระวังเวลาเดิน ช่วงทางชันๆอาจไถลลงไปได้

เมื่อลงมาถึง รับกระเป๋าสัมภาระจากลูกหาบเรียบร้อย เราก็พุ่งตรงไปที่ห้องอาบน้ำของอุทยานในทันที และแวะทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารในอุทยานฯ แล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องเดินทางไปสนามบินกันแล้วค่ะ เรามีกัน 6 คน เลยเลือกวิธีเหมารถสองแถวหน้าอุทยานไปสนามบินเลยในราคา 1,500 บาท ตกคนละ 250 บาท หรือใครจะนั่งสองแถวมาลงที่เสงี่ยมฟาร์ม จะมีรถสายขอนแก่น-เมืองเลย วิ่งทุกๆ 30 นาที คนละ 50 บาท มาลงที่สนามบินเลยก็ได้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1-1.30 ชม.

ขากลับเราเลือกสายการบิน Air Asia .. Flight บินของเราออกเดินทางเวลา 17.55 น. ไปถึงสนามบินดอนเมืองเวลา 18.55 น. ค่ะ ..

และนี่เป็นภาพวิวจากตำแหน่งที่นั่ง 17F ยามพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าพร้อมชานมบุกของ Air Asia

จบไปเเล้วกับทริปภูกระดึง การได้ไปภูกระดึงสักครั้งในชีวิตคุณจะไม่เสียดายเวลาที่ได้ไปเลย อยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสด้วยตัวเองให้ ‘ครั้งหนึ่งในชีวิต เรา คือ ผู้พิชิตภูกระดึง’ กันนะคะ

ขอบคุณ Sony A6500 + Lens CZ 16-70mm F4 และ Sony A7 M2 + FE 35mm f1.8
Gopro Hero 5 และ Iphone 11 ที่ทำให้เราได้ภาพสวยๆตลอดทริปนี้

แต่งภาพโดยโปรแกรม Lr

ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตาม หากผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ยินดีน้อมรับทุกคำติชม

และฝากกด LIKE และกด SUBSCRIBE เพื่อเป็นกำลังใจให้การทำวีดีโอการเดินทางของเราในครั้งต่อๆไปด้วยนะคะ
YOUTUBE : https://www.youtube.com/channel/UC8BYq-uSUDO23GYAQ-Ck3kQ

.. เจอกันการเดินทางครั้งต่อไป ..

สรุปค่าใช้จ่าย สำหรับทริปนี้ (สำหรับ 2 คน)
- ค่ารถทัวร์ 1,266 บาท
- ค่าเครื่องบิน 77 บาท (โปรโมชั่นซื้อจากในงาน ททท.)
- ค่าแท็กซี่ 136 บาท
- ค่าขนม 124 บาท
- เต็นท์และเครื่องนอน 810 บาท
- ค่ารถสองแถว 100 บาท
- ค่าเข้าอุทยาน 80 บาท
- ใบติดสัมภาระ 10 บาท
- ค่าประกันอุบัติเหตุ 20 บาท
- แตงโม 10 บาท
- ติมหลอด 20 บาท
- ค่าอาหารกลางวัน 175 บาท
- ค่าหมูกระทะ 480 บาท
- ค่าอาหารเช้า 180 บาท
- ค่าเช่าจักรยาน 820 บาท
- ค่าอาหารกลางวัน 300 บาท
- ค่าอาหารร้านชมพู่มะเหมี่ยว 260 บาท
- ค่าอาหารเย็น 110 บาท
- ค่าข้าวขาหมู 120 บาท
- ค่าน้ำแดงโซดา 65 บาท
- ไอศกรีมกะทิ 25 บาท
- น้ำหนักกระเป๋า 360 บาท
- ค่าอาหารกลางวัน 140 บาท
- ค่ารถสองแถว 500 บาท
- ค่าอาหารกลางวัน 280 บาท
- ค่าแท็กซี่ 225 บาท

รวมทั้งสิ้น 6,693 บาท (ตกคนละ 3,346.50 บาท)

In My Eye

 วันพฤหัสที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.59 น.

ความคิดเห็น