เคยไหม อยากลองไปเที่ยวในดินแดนแฟนตาซี นิทานอาหรับราตรี ที่ฟังมาตั้งแต่เด็กๆ
เคยไหม อยากลองไปนอนในทะเลทราย ดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า และมีอูฐเป็นพาหนะ
เคยไหม อยากเห็นว่าโอเอซิสมีจริงหรือเปล่า
ความเคยไหมเหล่านี้ เราไปมาละนะ ^^ โอมาน ดินแดนตะวันออกกลาง ธรรมชาติที่ยังคงสวยงาม โอเอซิสที่อุดมสมบูรณ์ ท้องทะเลสีฟ้าเข้ม ภูเขาตระการตา ต้นอินทผาลัมสูงตระหง่าน และคำว่า "ฟ้าจรดทราย" น่าจะบรรยายประเทศนี้ได้ดี ท้องฟ้าแจ่มๆ ตัดกับทะเลทรายสีส้มทอง มันช่างสวยอะไรเยี่ยงนี้
คิดไม่ผิดเลยที่มาเที่ยวที่นี่ต่อ หนีความศิวิไลซ์จากดูไบ มาเจอธรรมชาติที่โอมาน ช่างต่างกันลิบลับจริงๆ
ทริปนี้ เราไปกัน 2 คนค่ะ Road Trip กันไปแบบชิลล์ๆ ใช้ชีวิต Slow Life แต่แพลนแม่นเป๊ะเช่นเดิม
อากาศ
เดือนธันวาคม เป็นฤดูหนาวของโอมานแล้ว เหมือนประเทศซีกโลกเหนือทั่วไป อากาศเย็นสบายมากๆ แต่ก็แดดแรงมากเช่นกัน เอาเป็นว่า อากาศดีกว่าประเทศไทยบ้านเราเยอะเลยล่ะ ไม่มีเหงื่อ ลมเย็น แต่สิ่งที่ห้ามขาด คือ แว่นกันแดด และครีมกันแดดจ้า
สกุลเงิน
ที่นี่ใช้สกุลเงิน OMR หรือ โอมานเรียล ตอนเราไป 1 OMR = 78.50 บาท แลกจากไทยไปได้เลยนะคะ แต่จะต้องโทรถามก่อนว่า สาขาที่จะไปมีให้แลกมั้ย เพราะไม่ใช่สกุลเงินที่นิยมมากมายเนอะ
ซิมการ์ด
เราซื้อซิมการ์ดที่สนามบินค่ะ เพราะต้องมีใช้โทรศัพท์โทรออกติดต่อกับที่พักที่จองไว้ด้วย และเผื่อต้องโทรหาประกันนั่นนี่ ถ้าใช้ sim2fly มันมีแต่อินเตอร์เน็ตน่ะจิ ได้ซิมมาที่ เน็ต 8GB โทรภายในโอมาน 50 นาที ราคา 5 OMR ใช้ได้ 10 วัน
เช่ารถ
รถที่โอมาน พวงมาลัยซ้ายนะคะ ทำใบขับขี่อินเตอร์มาจากไทยจ้า สำหรับรถเช่า เราเดินเลือกที่สนามบินมัสกัตเลยค่ะ มีหลายแบรนด์ ไม่ได้จองล่วงหน้า เพราะทริปนี้เรานั่งรถบัสจากดูไบมาโอมาน เกรงว่าเวลาจะดีเลย์ แล้วจะกลายเป็น No Show ซะงั้น เราเช่า Mazda3 ค่าา วันละ 20 OMR รวมประกันแบบ Full ไม่ต้องจ่ายเพิ่มใดๆ (ยกเว้นยางล้อ และกระจก) แต่มี limit ขับได้วันละ 200 กม. เช่ากี่วันก็คูณไปค่ะ ถ้าขับเยอะ แล้วเกินจาก limit ก็คิดตังค์เพิ่มจ้า
อาหาร
อาหารที่โอมานอร่อยมากมาย จะขอรีวิวไว้ให้ด้วยในแต่ละวันนะคะ ตามได้เลย แต่อาหารกลางวันเนี่ยสิ ถ้าเรา Road Trip ออกไปนอกเมืองแล้วเนี่ย จะหายากมาก อย่าหวังว่าจะเจอ Fast Food ที่เราคุ้นชินนะคะ ให้สังเกตุร้านที่มีป้าย Coffee Shop จะมีเบอร์เกอร์ และน้ำ smoothie อร่อย ไม่แพง หรือตุนขนมจาก supermarket ในปั๊มน้ำมันก็ได้ วันแรกเราไม่รู้ คิดว่าจะเหมือนอเมริกา ออกจากไฮเวย์ยังไง ก็ต้องเจอร้านอาหาร แต่นี่ไม่มีเลย แม่เจ้า กินขนมกันไป 55
Day 1 Muscat
เมื่อถึงสนามบินมัสกัต ประเทศโอมานแล้ว ทำการเช่ารถ และซื้อซิมการ์ดให้เรียบร้อย จากนั้นเราก็ได้เวลาออกเดินทางกันแล้ว
วันนี้เราแค่ขับรถชมเมือง พักผ่อน และทานอาหารโอมานค่ะ Dinner วันนี้ เราจะพาไปร้านนี้นะ อยู่ในเมืองมัสกัตเลย
Kargeen
พิกัด https://maps.app.goo.gl/cXHLJzxb7cUHb5qT6
ร้านอาหารโอมานเลยค่ะ บรรยากาศดี สวยๆ เหมือนนั่งในสวนที่เต็มไปด้วยตะเกียง ราวกับจะมียักษ์จินนี่โผล่ออกมายังไงยังงั้นเลย อาหารที่เราสั่ง เลือกจากความสวยงามเป็นหลักจ้า เพราะไม่รู้จักสักอย่าง ขออลังการไว้ก่อน ขนาดเลือกมั่วๆ เพราะไม่เคยลิ้มลองอาหารโอมานมาก่อน แต่รสชาติ คือ ดีงามมากๆๆๆๆ ร้านนี้ต้องไม่พลาดนะค้าาา
Day 2 Muscat -> Sur
Sultan Qaboos Grand Mosque
พิกัด https://maps.app.goo.gl/QE3Dt4aT1Y1xUXvv5
เริ่มต้นเช้าวันนี้ด้วยการไปมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดของโอมาน มาที่นี่ต้องแต่งตัวเรียบร้อยมิดชิดนะคะ ผู้หญิงต้องมีผ้าคลุมผมด้วยนะ เรากับแฟนเลยจัดเต็มมาเลย เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ^^ แต่ถ้าใครแต่งตัวมาไม่เรียบร้อย หรืออยากใส่ชุดท้องถิ่น สามารถเช่าได้ค่ะ
สถานที่นี้เข้าฟรีค่าาา ไม่มีค่าใช้จ่าย และแนะนำให้มาเช้าหน่อยนะ ตอนเรามาถึง 9.00 ไม่มีคนเลย พอ 9.30 ทัวร์ลงจ้าาา ก้อต้องหลบคนกันไป
มัสยิดที่นี่สวยดีนะคะ ไม่ยิ่งใหญ่อลังการแบบดูไบ แต่จุดถ่ายรูปสวยอ่ะ แค่ซุ้มทางเดินก็สวยแล้วล่ะ เห็นฟ้าแจ่มๆ แบบนี้ ก็แอบร้อนแดดเหมือนกันนะ แต่มีลมเย็นพัดมาตลอด ส่วนพื้นเย็นสบายค่ะ ถอดรองเท้าเดินได้
Bimmah Sinkhole
พิกัด https://maps.app.goo.gl/8cqMsmthKnQG4N228
หลังจากออกจากมัสยิด เราก็ร่ำลาเมือง Muscat เดินทางออกนอกเมืองค่ะ ปลายทาง คือ เมือง Sur แต่ระหว่างทาง ก็จะแวะเที่ยวไปตามทาง ที่แรก เราจะแวะหลุมน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ Bimmah Sinkhole ที่เกิดจากแผ่นดินทรุด และน้ำทะเลซึมเข้ามาค่ะ เพราะตรงนี้อยู่ใกล้ทะเลมากๆ หลังจากออกจาก Highway ก็็ขับเลียบทะเลมาเลย สวยสุดๆ เลยล่ะ สักพัก เราก็ไปถึงตาม GPS ก็งงๆ ว่า หลุมน้ำอยู่ที่นี่เหรอ อะไร ยังไง นี่สวนสาธารณะธรรมดาๆ เลยนะ พอเดินเข้าไปเรื่อยๆ เราก็จะเห็นหลุมขนาดใหญ่มาก น้ำใสสีเขียวมรกต มีคนเล่นน้ำกันเยอะแยะ สวยธรรมชาติ บรรยายไม่ถูก ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ
White Beach, Fins
พิกัด https://maps.app.goo.gl/Z6Lr3SCVB2tzR26x8
ออกมาจาก Bimmah Sinkhole ขับตรงไปหน่อย ก็จะเป็นหมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้ค่ะ ไม่ได้มีอะไรหรอกนะคะที่นี่ แต่แวะถ่ายรูปทะเลหน่อยละกัน ทะเลสวย ไม่วุ่นวาย น้ำทะเลสีฟ้าเข้ม กระทบกับโขดหิน เหมาะแก่การมาถ่ายทำ MV จริงๆ ^^
ณ จุดนี้ เราหิวมากแล้วอ่ะ แต่ๆๆๆ ไม่มีร้านอาหารอะไรเลย ตลอดทาง มีแต่ทะเลเงียบๆ ที่ไร้ผู้คน ต้นไม้ และถนนโล่งๆ เสบียงอะไรในรถ ก็จัดเข้าไปค่ะ ประทังความหิวไว้ก่อน พยายามคิดว่า เดี๋ยวใกล้เมืองขึ้นเรื่อยๆ น่าจะมีร้านอาหารบ้างแหละ อดทนไว้ 555 ใครจะมารูทนี้ ตุนอาหาร เบอร์เกอร์ อะไรก็ได้ตั้งแต่ก่อนออกจาก Muscat ไว้เลยนะคะ
Wadi Shab
พิกัด https://maps.app.goo.gl/t7oRoqAiVnHC6wDUA
หลังจากอัดขนมเข้าไป เราก็ไปที่ถัดไปค่ะ นั่นคือ โอเอซิส นั่นเอง สมัยเด็กๆ เคยเข้าใจว่า โอเอซิส คือ บ่อน้ำเล็กๆ กลางทะเลทราย แต่จริงๆ แล้ว ที่นี่เป็นธารน้ำขนาดใหญ่เลย เพราะ Wadi แปลว่า ธารน้ำในดินแดนแห้งแล้ง นั่นก็คือ โอเอซิส นั่นเอง
ที่นี่ค่ะ พอจอดรถเสร็จ เราจะต้องจ้างเรือไปกลับ 1 OMR/คน เพื่อข้ามฟากค่ะ นั่งแป๊บเดียว และต้องกลับมาขึ้นเรือกลับให้ทัน 17.00 ด้วยนะคะ ไม่งั้นคงต้องนอนในโอเอซิสละ ^^
เมื่อออกจากเรือเรียบร้อย คราวนี้ถึงขั้นตอนเดินจ้า เดินเยอะมาก ไกลมาก ทางเดินมีทั้งกรวด หิน ดิน ทราย ขอบอกไว้ก่อนเลยนะคะ ให้ใส่รองเท้าที่ปกป้องเท้าเราที่สุด เห็นนักท่องเที่ยวบางคนเดินสวนทางออกมา รองเท้าขาดก็มี เราใส่รองเท้าลุยน้ำโดยเฉพาะค่ะ สบายมาก ซื้อไปเพื่อการนี้เลยค่ะ
ตลอดทางเดินสวยมากนะ ธรรมชาติ ต้นอินทผาลัม โขดหิน ลำธารน้ำ แต่ไม่มีป้ายบอกทางใดๆ เดินตามๆ กันเข้าไปค่ะ นึกภาพตามนะคะ เหมือนเดินในสวนผลไม้ประมาณนั้น เป็นดิน บางจุดก็เป็นทางเดินที่เดินได้ทีละคนบ้าง ถ้ามีคนเดินสวนออกมา ก็ต้องหลบกันค่ะ แต่ประเด็น คือ คนไม่ได้เยอะไง เดินไปเดินมา เอ๊ะ คนข้างหน้าเราหายไปไหนแล้วอ่ะ ต้องเดินไปซ้าย หรือขวานะ กว่าจะถึงจุดเล่นน้ำ ต้องเดินเข้าไปประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ถ้างงๆ กับทาง อาจจะใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่งค่ะ และเดินกลับอีก 1 ชั่วโมง เราเดินจนท้อ กลัวจะออกมาไม่ทันขึ้นเรือกลับด้วยดิ
เอาเหอะ เราไม่ได้ว่ายน้ำอยู่แล้ว มาได้ครึ่งทางละ พักตรงนี้แหละ แค่ตรงนี้ก็สวยมากๆๆๆๆ แล้ว ใครเดินต่อไม่ไหว พักจุดนี้ได้เลยนะคะ ^^ ตรงนี้น้ำจะตื้นค่ะ ว่ายน้ำไม่ได้ แต่แค่ลงไปเดินเล่นได้นะ
ตอนเดินออก ใช้เวลาน้อยกว่าเดินเข้านะ เพราะรู้ทางละ 55 แล้วก้อนั่งเรือข้ามฝั่งมาที่ลานจอดรถเช่นเดิม จากจุดนี้ เราก็ตรงเข้าเมือง Sur ค่ะ เป็นเมืองน่ารักๆ ริมทะเล และคืนนี้เราจะทานอาหารทะเลกันค่าา เอาล่ะสิ ร้านไหนดีนะ เลยเปิดเน็ต ถามอากู๋โดยด่วน จนเจอร้านนึง เห็นอาหารหน้าตาดี เอาร้านนี้แหละ
Barbeque Nation Sur
พิกัด https://maps.app.goo.gl/Kks6prDtZoi2jjbS7
ตอนเปิดประตูร้านเข้าไป คือ ไม่มีคนเลย เอาแล้ว จะอร่อยมั้ยนะ หรือไม่ก็แพงมากจนคนไม่เข้า แล้วพนักงานก็พาเราไปที่โต๊ะ คือ มันเป็นห้องส่วนตัวจ้า แม้จะมากันแค่ 2 คนก็ตาม ปิดประตู มีกิ่งให้กรดเรียกพนักงาน มิน่าล่ะ เลยไม่เห็นใครเลย 555 ถึงขั้นตอนสั่งอาหาร เราเลือกจากรูป เน้นความอลังการของภาชนะไว้ก่อน เพราะยังไงก็ไม่รู้ว่า อะไรอร่อย ไม่อร่อยอยู่ดี และเดินไปชี้ของสดที่ตู้ค่ะ อาหารที่นี่จะเน้นย่างแบบบาร์บีคิวตามชื่อร้านเลย ได้มาแบบนี้ อลังการจริงๆ รสชาติดีใช้ได้ และเยอะมาก อิ่มมาก เพราะมาพร้อมแผ่นแป้งที่ไม่ได้คิดตังค์ คงรวมในเมนูไหนสักอย่าง เราก็อ่านไม่ออกอ่ะนะ ^^
Day 3 Sur -> Wahiba Sands
เช้าวันนี้ เราจะถ่ายรูปเมือง Sur กันค่ะ เมืองนี้เป็นเมืองริมทะเล บ้านเรือนสีขาวตัดกับทรายสีเหลือง และทะเลสีฟ้าใส มันช่างสวยงามจริงๆ ซึ่งจุดถ่ายรูปยอดฮิตที่จะเห็นเมือง Sur แบบ panorama นั้น ก็คือ เนินเขาเล็กๆ หลังโรงแรม Al Ayjah Plaza Hotel
พิกัด https://maps.app.goo.gl/zVmfUtuWJtfctvLW9
โรงแรมนีี้จะค่อนข้างเก่าหน่อยนะคะ แต่ด้วยความสะดวกที่ตื่นเช้ามา ก็เดินขึ้นเนินถ่ายรูปได้เลย เราเลยพักที่นี่ ทางเดินขึ้นเนินจะเป็นหิน เป็นดินนิดนึงนะคะ และสูง เดินยากหน่อย แต่ไม่ได้ลำบากอะไร ตอนพระอาทิตย์ขึ้นแฟนเราไปวิ่งด้วยนะ คือ วิวดีงามจริงๆ
Wadi Bani Khalid
พิกัด 22.620133, 59.091038
เราเดินทางต่อไปโอเอซิสอีกแห่งค่ะ คือ Wadi Bani Khalid ที่ี่นี่ขับรถเข้าไปลึกมากค่ะ ข้ามเขาหลายลูกเลย (มั้งนะ) และที่สำคัญ คือ GPS ใน google map มันผิดที่นะจ๊ะ คือ ตาม GPS มันยังไปไม่ถึงค่ะ ขาดอีกหลาย กม. ต้องขับเข้าไปอีกสักระยะ และไม่มีสัญญาณ GPS แล้วจ้าาา ใช้วิธีถามคนแถวนั้น ซึ่งก็หายากมาก นานๆ จะเจอสักคนนึง แล้วก็ขับเข้าไปเรื่อยๆๆๆ จนกระทั่งเจอลานจอดรถ โอ้ว ใช่แน่นอน เรารอดแล้ว 55 เราลงพิกัดที่ถูกต้องไว้ให้แล้ว ตามได้เลยค่ะ
ที่นี่เป็นโอเอซิสที่สวยมากๆ ค่ะ แต่คนละฟีลกับ Wadi Shab นะ ซึ่งที่นี่จะไม่ได้เดินเข้าไปลึกๆ แบบนั้น ที่นั่นจะธรรมชาติกว่า ถ้าถามว่าชอบแห่งไหนมากกว่า ชอบทั้ง 2 ที่เลย แต่แอบจะชอบ Wadi Shab มากกว่า ดิบๆ ดี ^^
พอออกจากโอเอซิส ครั้งนี้เราไม่พลาด จะได้ทานมื้อกลางวันละ 555 เราลองร้านที่มีป้าย Coffee Shop แต่ไม่ใช่คาเฟ่สไตล์เกาหลีนะคะ เป็นตึกแถวค่ะ 555 ก็จะมีขายเบอร์เกอร์ทั้งแบบทำสด กับแบบฟรีซ และ สมูทตี้ คือ อร่อยดี แต่รอนานมาก จากเดิมคิดว่า fast food แต่ไม่น่าใช่ละ รอเกินครึ่งชั่วโมงทีเดียว 55 (เป็นแบบนี้ทุกร้านจ้า เพราะวันถัดไป เราก็หา coffee shop แบบนี้ในมื้อกลางวันอีก)
Wahiba Sands
หลังจากนั้น เราก็ออกเดินทางเพื่อไปทะเลทราย Wahiba Sands ค่ะ จะได้เห็นทรายสีทองแล้ว อิอิ ตื่นเต้น เราจองที่พัก ชื่อ Desert Night Camp เป็นแคมป์หรู 5 ดาว กลางทะเลทรายจ้า รวมอาหารเย็น อาหารเช้า แบบบุฟเฟต์ คำว่า แคมป์ ไม่ใช่ตั้งแคมป์ลูกเสือน้าา 555 แต่ชาวทะเลทรายจะเรียกที่พักว่าแคมป์ค่ะ จริงๆ แล้วที่นี่แพงมากๆ ราคาปกติ คืนนึง ห้องแบบถูกสุด 180 OMR ประมาณ 15,000 บาท (ไม่รวม tax) แต่โชคดีมาก เราเข้าไปดูเว็บจองเรื่อยๆ จนได้ราคาลด 50% เลยรีบกดจองโดยไว ^^ และที่พิเศษทำให้เราเลือกที่นี่ คือ เค้ารวมกิจกรรมบางอย่างฟรีด้วย ที่อื่นต้องจ่ายเพิ่มนะคะ เช่น จะมีรถมารับเข้าแคมป์ถ้าไม่ได้ขับ 4WD หรือ การขึ้น Sand Dune ไปดูพระอาทิตย์ตก และการขี่อูฐในทะเลทราย เราส่ง message ไปถามแคมป์อื่นที่ราคาถูกกว่า แต่กิจกรรมต่างๆ ต้องบวกเพิ่ม รวมๆ แล้ว ก็ไม่ต่างจากราคาที่เราได้เท่าไร
การจะเข้าทะเลทราย จะต้องขับ 4WD เข้าไปนะคะ เพราะต้องลุยเข้าไปกลางทะเลทราย แต่เราเช่ารถธรรมดา ก็จะมีจุดนัดพบที่ปั๊มน้ำมัน แล้วโทรแจ้งทางแคมป์ เค้าจะออกมารับฟรีค่าา พอไปถึงก็เดินเล่น รอเวลาไปดูพระอาทิตย์ตก ที่นี่สวยจริง ไม่น่าเชื่อว่าจะมีแคมป์สวยๆ แบบนี้กลางทะเลทรายด้วย
และแล้วก็ถึงเวลานัดพบ 16.00 ที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกบนเนินทราย ตอนแรกเราคิดว่าต้องปีนขึ้นไปเองซะอีก แต่ที่นี่มีรถ 4WD มารับ ขับขึ้นเนินไปรอดูพระอาทิตย์ตกค่ะ ถ้ามองลงมาก็จะเห็นแคมป์ที่พัก อยู่ตรงนี้ยาวๆ ประมาณ 1 ชั่วโมง พระอาทิตย์ก็เริ่มตก คือ ดีมาก สวยมาก ทรายที่นี่ละเอียดสุดๆ และแสงส่องลงมาเป็นสีทองเลย ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าแจ่มๆ ช่างเหมาะกับคำว่า "ฟ้าจรดทราย" จริงๆ ค่ะ
การมาเดินทะเลทราย ใส่รองเท้าแตะนะคะ อย่าใส่รองเท้าผ้าใบเด็ดขาด เพราะทรายจะเข้ารองเท้า และอย่าลืมแว่นตาเป็นอันขาด เราอาจตาบอดได้เลยทีเดียว เพราะแดดจ้ามาก แต่มาช่วงนี้ อากาศไม่ร้อนจ้า ระหว่างที่เดินเล่นกันบนเนินทราย รอพระอาทิตย์ตก ทางแคมป์ก็มีชา กาแฟ และอินทผาลัม ขึ้นมาบริการบนเนินทรายด้วยนะ เฮ้ย คือ ดีงาม จะกินเท่าไรก็ได้ จัดไปค่ะ
พระอาทิตย์ตกไปเรียบร้อย เราจะนั่งรถ 4WD กลับลงไป หรือจะเดินลงไปก็ได้ เราเลือกเดินลงไปค่ะ ไถๆ ลงไป สนุกไปอีกแบบ 55 รีบอาบน้ำโดยไวค่ะ เม็ดทรายละเอียดๆ เต็มหน้า เพราะลมทะเลทรายพัดแรงมากจริงๆ แล้วก็ถึงเวลาทานอาหารเย็น อาหารดีอีกแล้ว มาโอมาน มื้อเย็น นี่คือสวรรค์จริงๆ นะ ^^ โซนทานอาหารที่นี่ดีมาก จะมีกระจกกั้นล้อมรอบทั้งหมด ป้องกันทรายพัดเข้าอาหารค่ะ ทางรีสอร์ทจะระบุโต๊ะให้เราเลย ว่าพักห้องไหน จำนวนกี่คน นั่งโต๊ะไหน อาหารจะเป็นบุฟเฟต์ เน้นบาร์บีคิว สเต็กต่างๆ เครื่องดื่มรวมแค่น้ำเปล่าเท่านั้น อากาศตอนค่ำ ถือว่าค่อนข้างหนาวเลยทีเดียว ขนาดฝรั่งผมทองที่มาพัก ใส่เสื้อขนเป็ดกันหมด เราเอามาแค่ heattech และถุงร้อนประคบมือ ประคบตัวที่ซื้อมาจากเกาหลี ก็ถือว่าอุ่นสบาย ถ้าใครจะไป เราแนะนำที่นี่เลยนะ รอราคานิดนึง คุ้มจริงๆ ค่ะ
Day 4 Wahiba Sands -> Jabal Shams
ไฮไลท์ของเช้านี้ คือ ขี่อูฐค่ะ หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ เราสามารถเดินออกไปด้านหน้าแคมป์ จะมีเจ้าของอูฐพาอูฐ 4 ตัว มานั่งรอเราเลย ช่วงเวลา 8.00 - 10.00 จะออกมาตอนไหนก็ได้ ขี่อูฐฟรี ดีงามที่สุดของที่นี่ เราชอบมาก มันดูแบบ private สุดๆ เลยล่ะ น้องอูฐก็น่ารักมากๆ เราอยู่ตรงนี้ 1 ชั่วโมง เริ่มสนิทกับอูฐละ ขี่จุใจเลยทีเดียว
หลังจากเช็คเอ้าท์ ทางแคมป์ก็จะพาเราออกมาที่ปั๊มน้ำมันที่เราจอดรถไว้ แล้วเราก็มุ่งต่อไปยัง Jabal Shams ซึ่งที่นี่ ต้องขับรถขึ้นเขาค่ะ เลยต้องรีบไปตั้งแต่บ่ายๆ เลย เพราะค่อนข้างไกล และถ้าดึก กลัวว่าจะอันตราย แล้วเราไม่ได้ขับ 4WD ด้วย
ระหว่างทาง เราจะเจอป้ายนี้ด้วยนะ "ระวังอูฐ" น่ารักเวอร์ 555 บ้านเรามีแต่ระวังเด็ก ระวังสัตว์เลี้ยง ไ่ม่เคยเจอป้ายระวังอูฐ อิอิ
หลังจากที่ขับรถมาสักระยะใหญ่ๆ จนกระทั่งขึ้นเขา แรกๆ ก็วิ่งฉิว ดูวิวทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ แต่อีกประมาณ 8 กม. จะถึงจุดชมวิว ถนนก็ขรุขระมากขึ้นมาทันที แล้วรถเรา คือ Mazda 3 ไง ขับเป็นเต่าเลยตอนนี้ 55 และยิ่งไปกว่านั้น ถนนที่ขรุขระตลอด 8 กม. ไม่มีที่กั้นจ้า ด้านนึงเป็นเขา อีกด้านก็คือเหว แถมบางจุดก็ชันมาก เหมือนจะขับขึ้นก้อนเมฆ แล้วทางก็แคบมากด้วย เวลามีรถวิ่งสวนทางมา เรากับแฟนจะรีบมองเห็นแต่ไกล แล้วพยายามหาทางจอดหลบฝั่งที่เป็นเขา เพื่อให้เค้าขับผ่านไปก่อน ไม่กล้าไปเสี่ยงเบียดกันค่ะ กลัวตกเหว
ผ่านไป 8 กม. ก็จะเข้าเขตจุดชมวิว ถนนก็กลับมาดีเหมือนเดิม ค่อยยังชั่ว ^^ เราจองที่พัก คือ Sama Heights Resort เพราะใกล้จุดชมวิวของ Jabal Shams และรวมบุฟเฟต์อาหารเย็น และอาหารเช้าเรียบร้อย
เราก็คิดนะ ว่าคุ้มมั้ยนะ มาที่นี่ ขับรถจากทะเลทรายมา 4 ชม. เลยนะ แล้วก็ลุ้นตกเขา และยางรถแตกมาก แต่พอเห็นวิว ก็โอเคเลยนะ อากาศข้างบนนี้เย็นมากด้วย เค้าว่ากันว่า ที่นี่คือ แกรนด์แคนยอนโอมาน เออ ก็คล้ายแกรนด์แคนยอนที่อเมริกาอยู่นะ เพียงแค่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการขนาดนั้น แต่นับว่าสวยใช้ได้เลยล่ะค่ะ
Day 5 Al Hamra -> Bahla Fort -> Muscat
The Ruins in Al Hamra
พิกัด https://maps.app.goo.gl/pBUEH4Dg1HdeKM789
หลังจากเช็คเอาท์ เราตรงไปเมือง Al Hamra ต่อค่ะ ที่นี่มีซากปรักหักพัก ซึ่งเป็นเมืองเก่าอายุกว่า 400 ปี เป็น unseen มากค่ะ เพราะสถานที่นี้อยู่ในหลืบเล็กๆ เราตามมาจากรีวิวของต่างประเทศค่ะ ใครอยากไป ตามพิกัดเลยนะ จอดรถแล้วเดินตรงเข้าไปนิดนึง ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ่ายรูปออกมาแล้วสวย ดูย้อนยุคไปสมัย Game of Thrones เมืองโดนมังกรเผา ^^
Bahla Fort
พิกัด https://maps.app.goo.gl/c5XT2Zgga6Syr5bg6
ที่โอมาน มีป้อมปราการ หรือที่เรียกว่า Fort เยอะมากมายค่ะ เราคงไม่ไปทุกที่แน่ๆ เลยเลือกที่นี่ Bahla Fort เนื่องจาก เป็น 1 ในป้อมปราการที่เก่าแก่ และยิ่งใหญ่ที่สุดของโอมาน ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาล และเป็นป้อมเดียวที่ในรับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 1987
ที่นี่คนน้อยมากค่ะ ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะถ่ายรูปติดคน ค่าเข้าคนละ 0.5 OMR
หลังจากตรงนี้ เราก็มุ่งหน้าเข้า Muscat แวะซื้อของฝากที่ตลาด Mutrah Souq และไปสนามบิน เป็นอันสิ้นสุดทริปธรรมชาติสวยๆ ครั้งนี้ค่ะ ^^
ราคาสำหรับทริปนี้ ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน ไม่รวมอาหารการกินต่างๆ ไม่รวมช้อปปิ้ง ซื้อของฝาก ของที่ระลึก เราขอแจกแจงไว้ให้เลยค่ะ อัตราแลกเปลี่ยน 1 OMR = 80 บาท
Visa Oman = 10 OMR (สำหรับ 2 คน)
รถเช่า 5 วัน พร้อมประกัน Full Coverage = 85 OMR (ไม่รวมระยะทางที่เกินจากกำหนด)
น้ำมัน = 20 OMR
ที่พัก Muscat = 22 OMR
ที่พัก Sur = 22 OMR
ที่พัก Desert Nights Camp = 94 OMR
ที่พัก Sama Heights Resort = 45 OMR
ค่านั่งเรือ Wadi Shab = 2 OMR (สำหรับ 2 คน)
ค่าเข้า Bahla Fort = 1 OMR (สำหรับ 2 คน)
บอกเลยว่า โอมาน ประเทศที่ดูเหมือน ไปทำไมนะ มีอะไรเหรอ นั่นสินะ เราก็งงๆ ตอนที่คิดว่าจะไป บอกไม่ถูกจริงๆ เวลามีใครถามว่าจะไปโอมานเหรอ เพียงเพราะแค่ไปดูไบแล้ว ก็ไปต่อเลยละกันแค่นั้น แต่พอได้ไปแล้ว บอกได้ว่า คุ้มมากๆ ค่ะ ธรรมชาติที่ยังคงความสวยงามแบบธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่งใดๆ ช่างสวยงามเกินบรรยายจริงๆ
Travelholic
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เวลา 23.54 น.