กระบี่เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก ส่วนแหล่งถ่านหิน ถิ่นหอยเก่า เขาตระหง่าน ธารสวย รวยเกาะ เพาะปลูกปาล์ม งามหาดทราย ใต้ทะเลสวยสด มรกตอันดามัน สวรรค์เกาะพีพี
หากท่องเป็นคำขวัญบทความข้างต้นคงชัดเจนอยู่แล้วว่า เป็นจังหวัดมี “คม” จังหวัดหนึ่งของด้ามขวานแห่งเมืองสยาม แผนและรายละเอียดถูกกำหนดการไว้อย่างคร่าว ๆ ถึงสถานที่ต่าง ๆ ตลอดตั้งแต่ขาไปจนถึงขากลับเพราะครั้งนี้ไม่ใช่ตัวคนเดียวในการออกผจญภัย แต่มีสมาชิกร่วมเดินทางไปด้วยเราเลยได้รับบทเป็นกัปตันนำทีมไปโดยปริยาย
บินแรก
หลังจากหาตั๋วราคาประหยัด เปรียบเทียบราคาโปรโมชั่นต่าง ๆ ของแต่ละสายการบินที่ทำการตลาดนำราคาเข้าประชันแข่งขันกัน เราก็จบด้วยสายการบินที่สามารถขึ้นได้ใกล้บ้าน ราคาถูกใจ และบริการที่ดีอย่าง Bangkok away (จากคำแนะนำของอาม่าแห่งVMSCR3) จากสนามบินหนองงูเห่า ใช้เวลาหนึ่งตื่นกับไฟท์เช้า ข้ามน้ำข้ามทะเลไป เที่ยงนี้เราจะไปกินข้าวที่ “กระบี่” กัน
จากสนามบินค่า taxi แบบเหมาตกแล้วคนละ 150 บาทซึ่งก็เท่ากับราคา shutter bus แต่ดีตรงที่เราไม่ต้องรอคนจนเต็มคัน เพื่อมุ่งหน้าสู่ที่พักแถวอ่าวนพรัตน์ธารากับแดดจ้าในช่วงเที่ยงวันเหมือนซ้อมแสบผิวกันก่อนออกทะเลจริง มื้อเที่ยงง่าย ๆ ด้วยอาหารถิ่นอย่างข้าวแกงปักษ์ใต้นี้ตอบโจทย์กับความเร็วและความหิวที่เข้ามาประสานกัน
First sea
หลังจากติดต่อโปรแกรมทัวร์จากโรงแรมเสร็จ ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้าเราสามารถหาดิวเองได้ มันจะถูกกว่าที่พักหาให้เสียอีก แต่ไม่เป็นไรครั้งแรกเป็นการซื้อวิชา ไม่ช้ารถรับส่งของทัวร์ที่ดิวไว้ก็มารับเราถึงหน้าที่พัก สำหรับกิจกรรมยามบ่ายเริ่มจากการลงเรือจากฝั่งออกไปยังทะเลกว้าง
จุดหมายแรกถูกขนานนามว่าเป็น Unseen Thailand (ตามป้ายที่เขียนบอก) “ทะเลแหวก” ทรายเม็ดขาวละเอียดชวนเหยียบน่าสัมผัส เมื่อเวลาน้ำลดแนวสันทรายจะโผล่เชื่อมเป็นทางเดินถึงกัน ระหว่างเกาะไก่ เกาะหม้อ และเกาะทับ ก้าวแรกที่เท้าสัมผัสน้ำทะเลใสสีครามดูสมาชิกตื่นเต้นเหมือน
โหยหาทะเลกันมานาน ชักภาพ อาบแดด (เราว่าตากแดดมากกว่า) กันพอสมควร ตลอดระยะทางที่เรือ แล่นเราจะเห็นเกาะน้อยใหญ่เป็นรูปทรงต่าง ๆ มากมาย แต่ที่ highlight ที่ถึงกับกับต้องเหลี่ยวมองดู นั้นก็คงเป็น เกาะไก่ แต่สำหรับเราดูเหมือนหัวนกกระจอกเทศมากกว่าอะนะ
เมื่อถึงจุดหมายต่อไปน้ำทะเลรอบเกาะแห่งนี้ดูจะออกสีเขียวมรกตกว่าเกาะอื่นที่ผ่านมา ลมทะเลพัดโชยเย็นสร้างบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกอย่างบอกไม่ถูก ถัดไปใกล้ ๆ เกาะ จะมีหนึ่งผาหินสูงชันยืนตั้งโดดเด่นเป็น Point of view สวยงามชวนให้หลงไหลเพิ่มขึ้นไปอีก (ตอนแรกเราเข้าใจว่าคือเขาตะปู แต่นั้นมันอยู่พังงา) Staff ประจำเรือจอดแวะให้ลูกทริปเล่นน้ำกันประมาณ 30 นาที แต่ก่อนจะขึ้นเรือก็ขอความร่วมมือจากสมาชิกทุกท่านช่วยตั้งแถวเป็นวงกลมร่วมเป็นสักขีพยาน เพราะมีสมาชิกหนุ่มชาวฟิลิปปินส์วางแผนคุกเข่าเซอไพร์ขอแฟนแต่งงาน ณ เกาะแห่งนี้
I love you , will you marry me ?
… YES !
“ที่นี่เกาะปอดะ”
อ่าวศักดิ์สิทธิ์
หลังจากชื่นมื่นกันถ้วนหน้า เราจะไปดินเนอร์กินข้าวเย็นแบบบุฟเฟ่ต์ที่อ่าวไร่เลย์ แต่ก่อนอื่นต้องแวะชม Sunset ที่หาดถ้ำพระนางกันก่อน ซึ่งที่แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของโปรแกรมทัวร์ และเป็นอีกหนึ่งจุดหมายของทริปนี้ด้วย (เขาว่าขอพรดียิ่งนัก) เมื่อเรือจอดสนิทเราก็ลงเดินตามผืนทรายไปจนสุดชายหาดก็เป็นที่ตั้งของ “ถ้ำพระนาง" เชื่อกันว่า ณ ที่แห่งนี้เป็นที่สถิตของพระนาง ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวเรือและผู้คนพื้นที่ในแถบนี้
เมื่อเข้าไปสักการะ ศาลพระนาง ที่อยู่ด้านในถ้ำแล้วมองออกมาทางโพรงปากถ้ำ เราจะเห็นหินปูนห้อยย้อยเป็นฉากระย้าสวยระรานงามตา ถัดจากผืนหาดหน้าถ้ำออกไป เป็นน้ำทะเลสีครามใสมีสีส้มเปื้อนผิวคลื่นระยิบระยับตามแรงลมที่พัดซัดเข้าฝั่ง เกาะน้อยใหญ่เรียงรายตัดขอบฟ้าในยามใกล้ย่ำสนธยา ลมทะเลพัดโชยอ่อนแผ่วเบาต้องเนื้อ ท้องฟ้าออกสีวนิลาชวนเคลิบเคลิ้มเพลินฝัน
หลังจากอาหารมื้อเย็นอิ่มหนำสำราญ กิจกรรมสุดท้ายของวันนี้แล้วแต่ความประสงค์ของสมาชิกว่าจะทำกันหรือไม่ ส่วนเรานั้นก็ว่าจะไม่เปียกแล้วนะ แต่ไหน ๆ มาแล้วก็ต้องโดดลงทะเลไปอีกครั้งเพื่อดูอีกหนึ่งไฮไลท์ของกิจกรรมในทริปนี้ คือแพลงก์ตอนเรืองแสง คนในแถบนี้บ้างเรียกกันว่า พรายน้ำ ทางวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Bioluminescence เมื่อกวักน้ำขึ้นมาแพลงก์ตอนที่อยู่ในน้ำกระทบแสง จะเกิดเป็นประกายสีเขียวอมฟ้าวิววับสวยงามให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า แหมะ! ดีนะไม่ได้เอากล้องจุลทรรศน์มาไม่งั้นจะคีย์สปีชีส์โชว์เลยทีเดียว (อันนี้พูดเล่น)
Second sea
หลังจากตื่นมาด้วยความอ่อนเพลีย ข้อตกลงของสมาชิกคือเรายังไม่จุใจกับน้ำทะเล เราจึงใช้เวลาก่อนนอนเมื่อคืนนี้เพื่อหาดิวสำหรับการออกเที่ยวต่อ และก็ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า...
เกาะแดง หรือ หินแดง เกาะที่ดูแล้วคล้ายกองหินสีน้ำตาลแดงขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่กลางทะเล แม้ไม่มีหาดทรายแต่จุดเด่นของที่นี่คือ ปะการังใต้ท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ และปลาหลากหลายชนิดให้เราได้เห็นบริเวณรอบ ๆ และพระเอกของงานอย่างเช่น ปลาการ์ตูน นับเป็นการเปิดเจิมประเดิมวันที่ดีกับการดำน้ำในวันนี้เลยทีเดียว
หลังจากเล่นน้ำดำพรุดดำว่ายจนปากซีด เราแวะกินข้าวกลางวันกันที่เกาะลาดิงหรือเกาะเหลาล่าดิง เกาะที่เหมือนถูกซุกซ่อนโดยธรรมชาติเอาไว้เพราะความเงียบสงบเป็นส่วนตัว ชายหาดเป็นทรายขาวละเอียด รอบ ๆ เกาะมีภูผาสูงชันโอบกอดห้อมล้อมพิทักษ์ไว้ และเมื่อเรือจอดเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานตามชายหาด ภาพเบื้องหน้าดูเหมือนเกาะสวรรค์สวยงามเกินจินตนา สมกับคำที่ถูกขนานนามอีกชื่อว่า
“เกาะพาราไดซ์”
หลังจากข้าวเรียงเม็ด land mark ต่อไป ถูกเปรียบให้เป็นสระน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ มีผนังเป็นผาสูงชันห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติ มีช่องทวารประตูเข้าออกได้เพียงทางเดียว เมื่อเวลาน้ำขึ้นเรือจะสามารถแล่นฝ่าผ่านเข้าไปด้านในได้ เสมือนว่าเราอยู่กลางห้องอันกว้างใหญ่โอ่โถงสวยงาม พื้นห้องคือผืนน้ำสีเขียวมรกต เราเรียกขานสถานที่แห่งนี้ว่า อ่าวห้อง หรือ (ลากูน)
และที่สุดท้าย หมู่เกาะห้อง หรือ เกาะเหลาบิเละ หนึ่งในป่าเกาะของจังหวัดกระบี่ ที่มีดีกรีเป็น 1 ใน 10 ของเกาะที่มีหาดน่าเที่ยวที่สุดในโลก เกาะแห่งนี้มีชายหาดด้านหน้าเป็น 2 อ่าวโค้งเชื่อมเข้าหากันคล้ายปีกนก น้ำทะเลใสสีมรกตชวนให้ต้องลงไปแหวกว่ายอย่างอดใจไม่ได้ คลื่นที่ดูเหมือนจะราบเรียบแต่ก็ซัดพัดพรากเอาเรี่ยวแรงของเราหายไปหมดในเวลาไม่นาน ขึ้นจากน้ำพักเหนื่อยดับกระหายด้วยน้ำแตงโมปั่นที่ราคาแอบแรงแพงไปนิด แต่อย่างว่าแหละราคาบนเกาะแหละเนอะ
ขึ้นบก
หลังจากกิจกรรมแหวกว่ายธาราจนอิ่มหนำสมใจอยากก็ได้เวลากลับขึ้นฝั่งเสียที เรากลับมาถึงที่พักเกือบบ่ายสามโมงเย็น เช่ามอเตอร์ไซค์จากโรงแรมไว้เป็นพาหนะสำหรับโปรแกรมบนบกต่อในยามเย็นหลังจากต้องพักงีบชาร์จพลังจากความเหนื่อยล้า ตลาดคนเดินคือเป้าหมายต่อไปเพราะคิดว่านอกจากที่นั่นน่าจะมีอาหารเย็นที่หลากหลายให้เราเลือกกินแล้ว เราก็น่าจะได้เห็นวิถีชีวิตของคนในพื้นที่นั้น ๆ อีกด้วย
และก็เป็นเป็นตามคาดเพราะที่นี่มีกิจกรรมสนุกให้ทำมากมาย ทั้งยิงปืน ฟังดนตรีสด ของฝาก และที่สำคัญของกินนั้นมีให้เราเลือกมากมาย “สุขจุงสบายใจ สุขใจสบายพุง” กันเลยทีเดียว แต่เหมือนฟ้าคงเห็นว่าเราสนุกสนานกันเพลิดเพลินจนเกินไป ขากลับก็ชวนเพื่อนฝนห่าใหญ่มาส่งพวกเราจนถึงหน้าที่พัก เล่นเอาข้อแขนและสายตาอ่อนล้าเพิ่มจากเดิมเข้าไปอีก (ก็ว่าจะไม่เปียกแล้วนะ) แต่คิดในแง่บวกอีกทีก็ดีนะจะได้มีเรื่องราวไว้ให้จดจำอีกหนึ่งเรื่อง ชุ่มฉ่ำกันถ้วนหน้า
เช้าสุดท้าย
อันที่จริงการมาทะเลนอกจากจะเล่นน้ำแล้ว คุณคิดว่ากิจกรรมอะไรที่ไม่ควรพลาดอีก...สำหรับเราแล้วการได้มารอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมหาด รอคอยการมาของแสงทองที่ขอบฟ้าอย่างใจเย็น หรือการเดินทอดน่องรับลมเย็นไปเรื่อย ๆ ฟังเสียงคลื่น มองหาดทราย เห็นสัตว์ตัวน้อย ๆ กำลังดำเนินชีวิตไปอย่างเงียบ ๆ เราว่ามันก็เป็นกิจกรรมที่ดีต่อใจอีกกิจกรรมหนึ่งเลยนะ เหมือนเราได้อยู่กับตัวเอง ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ทบทวนและปล่อยวางลง
หลังจากแสงแรกผ่านไปไม่นาน เมตาบอลิซึมในร่างกายก็เริ่มทำงาน เราเลือกขับมอเตอร์ไซค์ไปบนถนนของอ่าวนพรัตน์ธาราเพื่อแสวงหาของกินตามแหล่งชุมชนในพื้นที่ หวังว่าจะได้ลิ้มลองอาหารพื้นเมือง หรือของกินที่หากอยู่ที่บ้านแล้วจะไม่สามารถหากินได้จากที่นั่น และด้วยความพยายามของเราก็ได้พบที่หมายแถว ๆ บริเวณชุมชนมุสลิม สำหรับฝากท้องกับมื้อเช้าอย่างโรตีมะตะบะและข้าวยำอะไรสักอย่างจำชื่อไม่ได้ ตบท้ายล้างคอด้วยชาร้อนที่หอมกรุ่น ซึ่งรสชาติอร่อยคุ้มค่ากับการเสาะหาเข้ามาลิ้มลอง
ทดเวลาบาดเจ็บ
หลังจากเก็บสัมภาระสิ่งของพร้อมกลับบ้าน เราเลือกเช็คเอาท์ก่อนเวลาและฝากเป้เสื้อผ้าไว้กับโรงแรมก่อน เพราะกว่าจะถึงเวลาขึ้นเครื่องกลับก็เกือบช่วงเย็น เราไม่อยากเสียเวลาไปเปล่า ๆ แล้วอีกอย่างเช่ามอเตอร์ไซค์มาแล้วยังขับไปไหนไม่คุ้มเลย เลยคิดกันว่าต้องหาที่เที่ยวต่อเอาที่ไม่เปียก และเป็นที่ที่ไปแล้วสามารถกลับมาเอาของพร้อมไปสนามบินได้ทันเวลา
สถานที่แรกที่เราตกลงเลือกกันอยู่ห่างจากที่พักเพียง 30 นาทีเป็นสถานที่สำคัญทางธรณีวิทยาอีกที่หนึ่ง สถานที่เกิดจากการทับถมของซากหอยหอยขม (หอยน้ำจืด) จำนวนมากเป็นเวลานานกว่า 75 ล้านปี จนกลายเป็นฟอสซิลหินปูนหรือซากดึกดำบรรพ์ที่หาดูได้ยาก ขณะที่ขับรถไปเที่ยวด้วยจิตใจชื่นบานพวกเราลืมคิดกันไปเลยว่า ตลอดทางขากลับเราต้องนั่งตากแดดตอนเที่ยงวันที่ร้อนจ้านานกว่าครึ่งชั่วโมง
ธารทิพย์
ก็อย่างที่ลืมคิดไว้แดดเที่ยงเล่นเอาร่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกันเลย รีบเปิด GPS นำทางหาข้าวลงท้องเพิ่มพลังก่อนลมจะจับ เรายังเหลือเวลาอีกมากสถานที่สุดท้ายที่จะสามารถไปได้ก่อนกลับ “ต้องไม่ร้อนนะ” นั้นคือคำร้องขอของเหล่าสมาชิก เราจึงตกลงปลงใจเลือกสถานที่ต่อไปตามคำร้องขอ และเหตุการณ์ปกติที่แม้จะมีเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกมากเท่าไหร่ เราก็ต้อง “หลงทาง” บ้างตามเคยเพื่อเป็นสีสันของการผจญภัย เพราะแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศสถานที่ที่เราจะไปต่อคือ “คลองน้ำใส” ซึ่งมันเข้าไปค่อนข้างลึกจากถนนใหญ่พอสมควร
และอย่างที่วางแผนตั้งใจไว้ว่าจะไม่เปียก เราจึงเลือกเช่าเรือคายัคเพื่อไปพายฆ่าเวลา (ตราบใดที่เรือไม่ล่มเราก็จะผิดไปจากสิ่งที่ตั้งปฏิภาณเอาไว้) ใช่ไหม...ใช่แหละ
ตลอดเส้นทางที่คดเคี้ยวไปตามร่องน้ำที่ทอดยาวเข้าไปในป่า มีต้นไม้น้อยใหญ่ปกคลุมให้ความร่มรื่นเป็นอย่างมาก ภายใต้ผืนน้ำจืดที่นอกจากจะเย็นชุ่มฉ่ำแล้ว ผืนน้ำก็มีความใสมากจนสามารถเห็นสาหร่าย ขอนไม้ที่เรียงรายอยู่เบื้องล่างอย่างชัดเจน (แอบกลัวว่าจะเห็นอะไรที่ไม่ใช่ขอนไม้เลย) เมื่อพายเรือเข้าไปตามทางจนถึงด้านในสุดก็จะเป็นแอ่งน้ำที่มีตาน้ำผุดขึ้นมาเมื่อเราตบมือ มันช่างน่าอัศจรรย์และพิศวงอยู่ด้วยในขณะเดียวกัน ส่วนตอนขากลับเมื่อพายเรือออกมาจะเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ และจะมีเงาของภูเขามหึมาที่อยู่ใกล้ สะท้อนบนผิวน้ำเหมือนใต้บาดาลแห่งนี้มีภูเขาอีกลูกหนึ่ง บอกได้เลยว่าที่แห่งนี้เอา MVP ของทริปนี้ไปเลย ประทับใจเกินคาด
ลากระบี่
เมื่อนาฬิกายังคงเดินต่อไปเช่นเดียวกับเวลา คงต้องถึงเวลากลับไปสู่ความเป็นจริง สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่ก็มีความสวยงามเป็นปัจเจกในแต่ละสถานที่ เฉกเช่นเดียวกับคนเราก็ย่อมมีดีในแต่ละบุคคลไม่ด้อยไปกว่ากัน เช่นนั้นเราควรหาข้อดีในตัวตนให้เจอ แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องหาโทรศัพท์กดโทรตามแท็กซี่ให้มารับเราที่ที่พักเพื่อไปสนามบินได้แล้ว มิเช่นนั้นเราจะตกเครื่องไม่ได้กลับก็เป็นได้
ลาก่อนกระบี่
สวัสดี เสือซ่อนยิ้ม
เสือซ่อนยิ้ม
วันพฤหัสที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เวลา 11.17 น.