หลังจากชมเมืองไจปู้ร์ที่บ้านเรือนขึ้นอย่างหนาแน่นจากมุมมองบนแนวกำแพงเมือง ในเวลานี้ออโต้ริกซอว์พาผมมาส่งที่ป้อมนาหาร์การ์จ (Nahargarh Fort) คำว่า Nahargart นั้นมีความหมายว่า ที่อยู่ของเสือ ป้อมแห่งนี้จึงมีชื่อเล่นว่า Tiger Fort ว่าแล้วก็ถึงเวลาบุกถ้ำเสือกันสักที
แม้ภายในป้อมนาหาร์การ์จจะไม่มีพระราชวังที่ยิ่งใหญ่เหมือนเช่นป้อมแอมเบอร์ แต่ภายในป้อมปราการแห่งนี้ก็มีพระตำหนักมาดาเวนดรา บาวัน (Madhavendra Bhawan) ของมหาราชาไสว ราม สิงห์ ที่ 2
ภายในพระตำหนัก 2 ชั้นนี้แบ่งออกเป็น ห้องพักถึง 9 ห้อง สำหรับพระองค์และสมาชิกราชวงศ์ในการเสด็จแปรพระราชสถาน แม้ลวดลายภายในพระตำหนักและรูปโดมภายนอกจะแสดงถึงศิลปะแบบอินเดีย แต่สำหรับโครงสร้างโดยรวมแล้วเป็นการสร้างด้วยศิลปะผสมระหว่างอินเดียกับยุโรป เพราะช่วงเวลาที่สร้างพระตำหนักเป็นช่วงเวลาที่เหล่ามหาราชาของอาณาจักรต่างๆในราชสถานสูญเสียอำนาจการปกครองให้กับอังกฤษ จนสุดท้ายทุกอาณาจักรก็ถึงกาลล้มสลาย และก่อเกิดการรวมตัวกันเป็นรัฐราชสถานในเวลาต่อมา
แล้วเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ย้อนกลับมาเหมือนหนังที่ถูกฉายซ้ำ เมื่อเด็กหนุ่มผู้ขับออโต้ริกซอว์พาผมมาหยุดอยู่ที่ร้านขายของที่ระลึก ที่ผมเขียนว่าเหมือนฉายหนังซ้ำก็เพราะร้านนี้เป็นร้านเดียวกับที่อารี คนขับออโต้ริกซอว์ ที่ผมว่าจ้างให้พาเที่ยวไจปู้ร์เมื่อสัปดาห์ก่อน คะยั้นคะยอให้ผมเข้าไปชม แต่ผมปฏิเสธเนื่องจากเกรงว่าจะไปชมฮาวา มาฮาลไม่ทันก่อนที่พระอาทิตย์ตกดิน
เพราะไม่อยากเพิ่มน้ำหนักเป้ อีกทั้งของที่ขายภายในร้านหรูเช่นนี้มักตั้งราคาแพงเกินความเป็นจริง ผมจึงบอกเขาไปตรงๆว่าผมไม่คิดจะซื้ออะไรจากร้านนี้หรอก อย่าคะยั้นคะยอให้เสียเวลาเลย เขาตอบว่าไม่ซื้อไม่เป็นไร แต่ขอให้เข้าไปเดินเล่นสัก 5 นาทีได้ไหม เพราะแค่นั้นเขาก็จะได้เงินจากร้าน ไปกินขนมตั้ง 20 รูปี!
20 รูปีเองหรอ อยากบอกว่าเงินแค่นี้ผมให้เป็นค่าทิปก็ได้ แต่ไหนๆก็กลับมาร้านนี้เป็นครั้งที่ 2 แล้ว คงเป็นชะตาลิขิตให้เข้าไปชมภายในร้านสักครั้ง ผมจึงลองเข้าไปเดินเล่น เพราะเวลาแค่ 5 นาที คงไม่ทำให้ใจอ่อน ซื้อสินค้าราคาแพงกลับเมืองไทยหรอก
ภายในร้านหรูนี้มีของที่ระลึกสวยๆประเภทงานฝีมือมากมาย โดยเฉพาะงานสลักหินรูปเทพเจ้าในศาสนาฮินดู และพระพุทธรูปในศาสนาพุทธ โดยราคาแต่ละชิ้นนั้นสูงกว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดสำหรับทริปนี้ของผมเสียอีก ผมเดินไปจับเวลาไป ว่าเมื่อไหร่จะครบ 5 นาทีสักที แล้วเมื่อเข็มวินาทีเดินวนหน้าปัดนาฬิกาจนครบ 5 รอบ ผมก็เดินออกจากร้านทันที
แม้จะได้เงิน 20 รูปีจากร้านไปแล้ว แต่เมื่อถึงสถานีขนส่ง เจ้าเด็กหนุ่มยังขอค่าทิปจากผมอีก โดยให้เหตุผลว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขา ผมน่าจะมีของขวัญเล็กๆน้อยๆให้กับบริการที่แสนดีของเขา เฮอ...ขอกันดื้อๆอย่างนี้เลยหรอ อย่างนี้ต้องดัดหลังด้วยการขอดูบัตรประชาชนเสียดีไหม ว่าเกิดวันนี้จริงหรือเปล่า
จำได้ว่าตอนไปเนปาล ชาวเนปาลีจะดีใจมากเมื่อเราให้ปากกาลูกลื่นกับเขา เพราะปากกาที่ผลิตในเนปาลนั้นคุณภาพไม่ดี คนอินเดียก็เป็นแขกเหมือนกับชาวเนปาล อีกทั้งยังเป็นประเทศเพื่อนบ้านกัน จึงน่าจะชอบอะไรที่คล้ายๆกัน วันเกิดใช่ไหม งั้นเอานี่ไปเลย “ปากกาลูกลื่น ที่หายากที่สุดในอินเดีย” เพราะผลิตในประเทศไทย !
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เวลา 19.47 น.