แล้วก็ได้เวลาเข้าไปทายทักกับความหอมหวานแห่งอดีตกันในอินทรามูโรส (Intramuros) กันเสียที โดยเป็นเขตเมืองเก่าภายใต้การปกครองของสเปนตั้งแต่ปีค.ศ.1571 และกินเวลาต่อเนื่องอีกกว่า 3 ร้อยปี ภายในกำแพงเก่าที่ทอดยาวกว่า 4.5 กม.นี้จึงมากไปด้วยอาคารและสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่พร้อมจะบอกเล่าเรื่องราวแห่งอดีตให้ผู้มาเยือนฟัง

ไม่รู้เป็นเพราะคนไทยกับคนฟิลิปิโนหน้าเหมือนกันหรือเปล่า มาฟิลิปปินส์ครั้งนี้จึงอดจะเปรียบโน่นเปรียบนี่กับเมืองไทยไม่ได้ หากจะเปรียบกับกรุงเทพแล้ว อินทรามูโรสนี้ก็น่าจะใกล้เคียงกับย่านสามแพร่ง อันประกอบด้วย แพร่งนรา แพร่งภูธร และแพร่งสรรพศาสตร์ เพราะภายในอินทรามูโรสไม่ได้มีแต่อาคารและสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่ปราศจากชีวิต ที่ถูกเก็บรักษาไว้เพื่อเรียกเงินค่าเข้าชมจากนักท่องเที่ยว หากแต่เป็นเมืองเล็กๆที่ยังคงมีความเคลื่อนไหวของการดำเนินชีวิต สองข้างทางเราจึงไม่ได้เห็นแต่เฉพาะความเจริญหูเจริญตาของโบราณสถานที่ถูกบูรณะให้สวยงาม แต่ยังมีร้านค้า บ้านเรือนหลังคาสังกะสี เสื้อผ้าหลากสีที่ถูกตากไว้บนชายคา และคนท้องถิ่นที่ยังคงใช้ชีวิตจริงปะปนกับชีวิตชั่วครั้งชั่วคราวของเหล่านักท่องเที่ยวที่มาเยือนและจากไป

แม้จะมีร้านค้าข้างทางของชาวบ้านที่นำเสนออาหารสชาติและสัญชาติฟิลิปปินส์ แต่มากับคุณชายจุ๋ยจึงไม่อาจเอาก้นไปหย่อนนั่งบนเก้าอี้พลาสติกเพื่อลิ้มลองอาหารเหล่านั้นได้ ร้านอาหารหรูเชื้อชาติอิตาเลียนที่ตั้งอยู่หน้าโบสถ์แซนอากุสตินจึงได้รับโควต้าอาหารกลางวันมื้อนี้ไปแบบขาดลอย ซึ่งต้องยอมรับว่ารสชาติอาหารอย่างไก่นึ่งมะนาวกับแซลมอนย่างนั้นอร่อยยิ่งนัก กินไปแล้วให้ความรู้สึกตัวลอย ทั้งจากรสชาติอาหาร และราคาที่แพงลิบจนทำให้ปริมาณเงินในกระเป๋าเบาโล่งอย่างน่าใจหาย

แม้อินทรามูโรสจะไม่เสียค่าเข้า รวมถึงการเข้าโบสถ์สำคัญๆก็ไม่เสียค่าเข้าชมด้วยเช่นกัน เพราะอย่างที่บอกว่าอินทรามูโรสนั้นยังเป็นย่านที่มีคนอาศัยอยู่จริงๆ โบสถ์ต่างๆแม้จะเก่าแก่ถึงขั้นขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกก็ยังคงเป็นโบสถ์ที่มีการใช้งานจริง อย่างโบสถ์แซนอากุสติน (San Agustin Church) โบสถ์ที่สร้างจากหินที่เก่าแก่ที่สุดในฟิลิปปินส์ที่ตั้งตระหง่านใจกลางอินทรามูโรสแห่งนี้ก็เช่นกัน ในเวลานี้ภายในโบสถ์ถูกใช้เป็นที่จัดงานมงคลสมรส ที่แม้เราอยากเข้าไปชมความงดงามภายในโบสถ์มากแค่ไหน แต่แขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกทั้งยังเป็นคนต่างศาสนาเช่นเราก็ไม่สมควรเข้าไปภายในในเวลาเช่นนี้ จึงได้แต่ยืนมองความงดงามจากภายนอกประตู ที่มีรูปสลักหินที่งดงามของนักบุญอากุสติน กับนักบุญโมนิกาที่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ยิ่ง ยืนต้อนรับคริสต์ศาสนิกชนมานานกว่า 4 ร้อยปี

แม้ไม่ได้เข้าไปในโบสถ์ก็ไม่เป็นไรเพราะโบสถ์แซนอากุสตินที่ใหญ่โตแห่งนี้ ปัจจุบันแบ่งพื้นที่อาคารเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือโบสถ์ที่ยังคงใช้งานปัจจุบัน กับอีกส่วนที่ถูกปรับให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เก็บค่าเข้าชมคนละ 200 โปเซ เพื่อใช้เป็นค่าบูรณะโบสถ์ให้ยังคงยืนหยัดต่อไปได้อีกนับร้อยๆปี

โบสถ์แซนอากุสตินเป็นโบสถ์ในศานาคริสต์ นิกายโรมันคาโธลิค สร้างขึ้นโดยเซนต์อากุสติน หัวหน้านักบุญที่เดินทางมาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปีค.ศ.1571 ซึ่งเป็นสมัยที่ฟิลิปปินส์ถูกปกครองโดยสเปน โดยมะนิลานี้เป็นเหมือนจุดพักระหว่างทางในการเดินเรือจากสเปนไปยังแม็กซิโก สองเมืองขึ้นของสเปนนี้ จึงเป็นเหมือนเมืองคู่แฝด ที่แม็กซิโกมีโบสถ์แซนอากุสติน ที่มะนิลาจึงมีเช่นกัน

ครั้งแรกสร้าง โบสถ์แห่งนี้สร้างจากไม้ไผ่ แต่ได้ถูกพังทลายจากเหตุเพลิงไหม้ จนในปีค.ศ. 1586 จึงมีการก่อสร้างขึ้นใหม่โดยใช้หิน ด้วยสถาปัตยกรรมแบบกอทิกที่ดูเรียบง่าย แต่สง่างาม ถึงแม้จะสร้างใหม่ด้วยหินแต่ก็มีการบูรณะอีกนับสิบครั้งเพราะพังทลายจากเหตุแผ่นดินไหว ในปีค.ศ.1863 ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนทำให้หอระฆังฝั่งซ้ายของตัวโบสถ์พังทลายลง จากเดิมที่เคยมีหอระฆังขนาดใหญ่ทั้ง 2 ด้าน จึงเหลือเพียงหอระฆังฝั่งขวาแค่ฝั่งเดียว แต่โดยรวมแล้วโบสถ์แซนอากุสตินแห่งนี้ก็ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และยิ่งใหญ่ จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในมรดกโลกภายในเขตอินทรามูโรส

สำหรับในส่วนพิพิธภัณฑ์ ได้จัดแสดงทั้ง 2 ชั้นของตัวอาคารที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมวนรอบ พื้นที่ตรงกลางสร้างเป็นช่องรับแสง ด้านล่างเป็นสวน เชื่อมต่อกับตัวโบสถ์ โบราณวัตถุที่จัดแสดงเกี่ยวข้องกับศาสนาคริตส์ ทั้งข้าวของเครื่องใช้ รูปปั้นนักบุญ และภาพวาดที่บอกเล่าเรื่องราวในช่วงการเผยแพร่ศาสนา รวมถึงเหล่าถ้วยชาม แจกันและของมีค่าอันเกิดจากการค้าขายทางเรือกับประเทศจีนและแม็กซิโก

เดินชมเหล่าโบราณวัตถุในโบสถ์ที่สร้างด้วยหินอย่างแข็งแกร่งแห่งนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในป้อมปราการขนาดใหญ่ หรือบางทีโบสถ์แห่งนี้อาจเปรียบเสมือนป้อมปราการแห่งศาสนาคริสต์ที่ลงหลักปักฐานอย่างแข็งแกร่งในประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพฤหัสที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เวลา 15.26 น.

ความคิดเห็น