ตี 4 เราตื่นและแต่งตัวกันพร้อม โดยลงมารอคนขับแท็กซี่ที่ล็อบบี้โรงแรมตามที่นัดกันไว้ให้มารับไปดูฉลามวาฬที่ออสล๊อบ (Oslob) เวลาผ่านไป แต่ยังไม่เห็นคนขับ ถ้าไม่มารับตามที่นัดจะทำไงดี จะกลับไปนอนต่อก็ทำไม่ได้ เพราะห้องก็ Check out ไปแล้ว จุ๋ยกระวนกระวายใจ เพราะกลัวจะอดดูฉลามวาฬจุดหมายสำคัญในการเดินทางมาฟิลิปปินส์ จึงบอกให้ผมเฝ้ากระเป๋าที่ล็อบบี้ ส่วนเขาลงไปดูที่ชั้นล่าง สักพักจุ๋ยก็กลับขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่บานเต็มหน้า เพราะคนขับมารอนานแล้ว แต่แทนที่จะขึ้นมาที่ล็อบบี้ กลับนอนรอในรถ

อย่างที่คิด คนขับรถแท็กซี่นอนรอในรถตั้งแต่หัวค่ำเพราะกลัวว่าจะตื่นไม่ทันที่จะมารับเรา เมื่อเราลงไปถึงจึงต้องเคาะกระจกปลุกให้ตื่น หลังจากสลัดความงัวเงียออกไป คนขับก็กลับมาเริงร่าและชวนคุยไม่หยุดปากเหมือนเมื่อวาน แต่กลายเป็นเราสองคนกลับสลบไสลหลับต่อ จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง คนขับจึงจอดเพื่อซื้อกาแฟดื่ม เพราะกลัวว่าจะหลับเหมือนเราสองคน

การดูฉลามวาฬที่ออสล็อบถือเป็นหนึ่งในไฮไลน์ในการมาประเทศฟิลิปปินส์ เรามาถึงเวลา 6.30 น. หาดทรายนั้นมากไปด้วยนักท่องเที่ยวที่สวมชูชีพพร้อมที่จะลงเรือไปดูฉลามวาฬ โดยส่วนหนึ่งลงทุนมานอนที่ออบล็อบก่อน 1 คืน เพื่อที่จะได้มาต่อคิวขึ้นเรือตั้งแต่เช้ามืด ดูจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่เห็นนับพันคนแล้ว เราจึงไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า เราจะได้ขึ้นเรือเมื่อไหร่

เรือไม้ทรงยาวที่มีไม้ไผ่ยืนออกไปทั้งสองข้าง เพื่อประคองไม่ให้เรือยกเอียงเวลาเจอคลื่นค่อยๆลำเลียงนักท่องเที่ยวออกไปสู่ท้องทะเลทีละกลุ่ม โดยออกจากชายฝั่งไปราว 100 เมตร จากนั้นก็จอดเรือเรียงกันเป็นแถว เพื่อปล่อยให้นักท่องเที่ยวได้ดูฉลามวาฬกันอย่างเพลิดเพลินเป็นเวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นจึงพากลับมาส่งที่ฝั่ง ได้เห็นเรือจำนวนมากเป็น 10 ลำเช่นนี้ จึงค่อนข้างสะบายใจว่าเดี๋ยวเราคงได้ขึ้นเรือไปดูฉลามวาฬ แล้วกลับถึงเมืองซีบูก่อน 13.45 น. เพื่อขึ้นเรือเฟอร์รี่ไปเกาะโบโฮล โดยเราจองโรงแรมสำหรับคืนนี้ไว้บนเกาะนี้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมืองไทย

แต่ไม่มีใครเอาแน่เอานอนกับฟ้าฝนได้ จากท้องฟ้าที่สดใสก็เริ่มดำครึ้มแล้วฝนก็เทลงมาจนเจ้าหน้าที่ต้องประกาศหยุดพานักท่องเที่ยวออกไปดูฉลามวาฬอย่างไม่มีกำหนด

เงินค่าแท็กซี่ในการมาออสล็อบก็ต้องจ่ายถึง 4,000 เปโซ แล้วยังมีค่าดูฉลามวาฬที่ซื้อตั๋วไปแล้วอีก 1,150 เปโซ นี่ฟ้าฝนคงไม่ใจดำให้เราได้แค่มาเห็นท้องทะเลของซีบูกับท้องฟ้าดำๆที่เต็มไปด้วยม่านฝนแบบนี้ใช่ไหม

เวลาผ่านไปจาก 10 นาทีเป็นครึ่งชั่วโมง จากครึ่งชั่งโมงเป็น 1 ชั่วโมง และ 2 ชั่วโมง ความเครียดเริ่มเข้ามาครอบคลุมในสมองว่านอกจากค่าแท็กซีและค่าตั๋วดูฉลามวาฬที่ต้องเสียไปฟรีแล้ว เรายังมีโอกาสกลับไปไม่ทันขึ้นเรือไปโบโฮลที่ซื้อตั๋วไปแล้วอีก แต่สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไปจนเริ่มปลงว่าเราคงไม่สามารถกลับไปทันขึ้นเรือได้ทันแน่ๆ ความเครียดที่ปกคลุมในสมองก็ค่อยๆจางลง ในเวลาไล่เลี่ยกันกับก้อนเมฆดำครึ้มบนท้องฟ้า ก็ค่อยๆจางหายไป เผยท้องฟ้าสีครามให้เห็นอีกครั้ง

เจ้าหน้าที่เรียกเราสองคนให้เตรียมตัวลงเรือ โดยให้สวมเสื้อชูชีพเตรียมพร้อม เรือไม้พาเราพร้อมด้วยนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งฝ่าคลื่นลมออกไปลอยนิ่งอยู่เหนือน้ำทะเล พร้อมกับเรืออีกกว่า 10 ลำที่จอดเรียงกันเป็นแถว ไม่ต้องสังเกตอะไรก็เห็นฉลามวาฬตัวโตว่ายน้ำเข้ามาใกล้ๆแบบเต็มสองตา ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเรือลำเล็กที่เจ้าหน้าที่คอยโบยอาหารให้ เหล่าฉลามวาฬจำนวน 5 – 6 ตัวจึงว่ายวนเวียนให้นักท่องเที่ยวเห็นแบบไม่ไปไหน

จุ๋ยไม่รอช้าที่จะสวม Snorkel แล้วกระโจนลงน้ำลงไปดูฉลามวาฬแบบชิดใกล้ ฉลามวาฬนี้เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (คนละอย่างกับวาฬหรือที่คนทั่วไปเรียกว่าปลาวาฬนั้นไม่ใช่ปลา แต่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม) มีความยาวสูงสุดถึง 18 เมตร  หนักมากถึง 34 ตัน   มีปากอ้ากว้างได้ถึง 1 เมตรไว้กินปลาตัวเล็กและแพลนตอน ด้วยความใหญ่ขนาดนี้ จึงต้องบริโภคอาหารปริมาณมาก ฉลามวาฬจึงเป็นดัชนี้สำคัญในการวัดความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล

แล้วเสียงเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนเรือก็ดังขึ้น ดังขึ้น และดังขึ้น ด้วยเหตุที่คุณป้าชาวญี่ปุ่นที่ลงเรือลำด้วยกันนี้ หลังจากที่เธออุทานว่า “สุดโข่ย” เมื่อได้เห็นฉลามวาฬแล้ว เธอก็กระโจนลงน้ำเพื่อไปชมแบบใกล้ๆชนิดเผาขน จนเกือบจะเอามือไปลูบหัวฉลามวาฬอยู่หลายครั้ง เพราะแม้ฉลามวาฬจะไม่กินคน แต่หากทำให้มันโมโห ด้วยลำตัวขนาดใหญ่ และหางอันทรงพลัง มันก็อาจจะฟาดไปยังคนที่มันไม่พอใจให้ช้ำในจนถึงเสียชีวิตได้ การดำดูฉลามวาฬนอกจากในอยู่ในกรอบของไม้ไผ่เพื่อกันคลื่นซัดออกทะเลแล้ว ยังต้องอยู่ห่างจากฉลามวาฬในระยะ 5 – 6 เมตรเพื่อความปลอดภัย แต่แม้เจ้าหน้าที่เรือจะห้ามเสียงดังอย่างไร ป้าชาวญี่ปุ่นก็ทำเหมือนฟังเสียงห้ามไม่ออก จึงพยายามเข้าใกล้ฉลามวาฬอยู่ตลอดเวลา เมื่อกลับขึ้นเรือเธอก็ยังพูดว่า “สุดโข่ย” ไม่ขาดปาก นี่ถ้าโดนฉลามวาฬเอาหางฟาด คงได้ไปสุดโข่ยต่อที่โรงพยาบาลแน่

คนขับแท็กซี่พยายามทำความเร็วในสภาพการจราจรที่แสนติดขัดและฝนที่เทกระหน่ำอีกครั้ง เพื่อพาเรากลับไปยังเมืองซีบูก่อนเวลา 13.45 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เรือไปเกาะโบโฮลออก จนเราต้องบอกว่าไม่ต้องขับเร็วก็ได้เพราะคงกลับไปไม่ทันแน่ แต่เอาเข้าจริงๆในใจผมก็ยังแอบลุ้นเล็กๆ สุดท้ายรถแท็กซี่มาส่งเราที่ท่าเรือเมืองซีบูในเวลา 13.45 น. พอดี แต่เราก็ไม่สามารถขึ้นเรือที่ซื้อตั๋วไว้ เพราะเราต้อง Check in และมาถึงก่อนเวลาเรือออกครึ่งชั่วโมง

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.46 น.

ความคิดเห็น