มาอยู่ฟิลิปปินส์ตั้ง 8 วันแล้ว แม้จะเข้าร้าน 7 eleven อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยลองอาหารแช่แข็งของที่นี่เลย เช้าวันสุดท้ายในฟิลิปปินส์จึงขอลองสักมื้อ ซึ่งมีความแตกต่างจากเมืองไทย ที่เราสามารถหยิบกล่องอาหารแช่แข็งจากตู้แช่ได้เอง จากนั้นจึงให้พนักงานขายอุ่นให้ แต่ที่นี่จะเป็นกล่องเปล่าที่แสดงหน้าตาของอาหารวางไว้ให้เลือก เราเลือกรายการใดก็หยิบกล่องเปล่านั้นไปให้พนักงานขาย แล้วเขาจึงไปหยิบกล่องอาหารแช่แข็งจากในร้านให้ โดยร้านสะดวกซื้อทุกแห่งไม่ใช่เฉพาะ 7 eleven จะมีโต๊ะให้นั่งกินในร้านด้วย ซึ่งตอนนี้ร้าน 7 eleven ในเมืองไทยก็เริ่มมีโต๊ะเล็กๆในนั่งกินในร้านบ้างแล้ว เรียกว่านอกจากจะตีตลาดร้านโชห่วยแล้ว ยังมุ่งตีตลาดร้านอาหารริมทางอีก

นั่งรอสักครู่พนักงานก็เอาอาหารแช่แข็งที่ผ่านการอุ่นมาเสริฟ จากที่ลุ้นว่าหน้าตาอาหารจะน่ากินเพียงใด แต่พอได้เห็นของจริงน้ำย่อยก็แทบจะไหลย้อนกลับไม่ทัน เพราะเมนูข้าวหมูแดง และไข่ดาวที่ผมเลือนั้นสุดแสนจะไม่น่ากิน เมื่อกินเข้าไปก็สุดจะฝืดคอ สรุปคือไม่อร่อยเอาเสียเลย เห็นทีเมนูข้าวกล่องของ 7 eleven ในฟิลิปปินส์จะไม่สามารถตีตลาดร้านอาหารริมทางได้

เดิมทีคุณชายจุ๋ยบอกว่าวันนี้จะขอนอนเล่นอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน เพราะอีกแค่ 2 – 3 ชั่วโมงก็ต้องเดินทางไปสนามบินแล้ว แต่นายติดดินอย่างผมไม่คิดจะปล่อยเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ จึงขอออกไปเก็บสถานที่สำคัญอีก 2 – 3 แห่งเพียงคนเดียว แต่เอาเข้าจริงๆจุ๋ยก็เปลี่ยนใจไปด้วยกัน

“เมื่อวานตอนที่รถแท็กซี่มาส่งที่โรงแรม ผมเห็นโบสถ์หลังหนึ่ง สีฟ้า สวยมาก อยู่ใกล้ๆโรงแรมนี่แหละ” ผมโยนหินถามทางว่าจะไปโบสถ์นี้กันไหม

“ใช่ๆ ที่คนขับแท็กซี่บอกว่าชื่อ Sacred Heart ใช่เปล่า”

“ไม่แน่ใจ ลองบอกแท็กซี่ให้พาไปแล้วกัน”

ว่าแล้วเราก็โบกแท็กซี่ให้พาไป Sacred Heart Church ทันที เพราะหากเดินหาเองคงหลงแน่ แต่พอแท็กซี่จอด โบสถ์ที่อยู่ตรงหน้าเรานี้กลับไม่ใช่เป็นโบสถ์สีฟ้าที่สูงใหญ่ แบบที่เราเห็นเมื่อวาน กลายเป็นโบสถ์สีขาว รูปทรงแปลกตาด้วยลักษณะเป็นครึ่งวงรี เราจึงเดินไปดูป้าย โบสถ์นี้มีชื่อว่า Sacred Heart Church จริงๆด้วย หากแปลเป็นไทยน่าจะประมาณโบสถ์พระหฤทัย อะไรประมาณนี้ เอ้าไหนๆก็มาแล้ว เปลี่ยนมาเที่ยวชมโบสถ์นี้ก็แล้วกัน

ช่วงเวลาที่เรามานั้นเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก เพราะหลังจากชมสถาปัตยกรรมการสร้างภายนอกเสร็จ เราก็เข้าไปชมความงามภายในซึ่งเพดานนั้นงดงามมาก อันเกิดจากรูปทรงวงรีที่ซ้อนกันอย่างมีมิติ ในเวลานี้เป็นเวลาที่ชาวคริสต์กำลังทำพิธีพอดี ที่ผ่านมาเราพกความเกรงใจมาเต็มกระเป๋าที่จะไม่เข้าไปในโบสถ์ในขณะที่เขาทำพิธี เพราะคิดว่าเรานับถือคนละศาสนา แต่วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วขอนั่งอย่างสงบดูการทำพิธีหน่อยคงไม่เป็นไร ซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นพิธีอะไร แต่เสียงร้องเพลงและบรรยากาศที่สัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความสงบ ความสงบที่เองที่น่าจะเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของทุกศาสนาที่มนุษย์ซึ่งอยู่ในโลกที่แสนวุ่นวายปรารถนาจะไปถึง

เราเดินคุยกันว่าโบสถ์สีฟ้าที่เห็นเมื่อวานน่าจะอยู่แถวๆนี้ แต่ทำไมหาไม่เจอ แล้วเมื่อเราเดินเลี้ยวออกมาจากโบสถ์ Sacred Heart โบสถ์สีฟ้าที่สูงใหญ่ที่เห็นเมื่อวานก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เราจึงไม่รอช้าที่จะเดินไปยังจุดหมายทันที

โบสถ์สีฟ้าที่ว่านี้คือ โบสถ์ Iglesia Ni Cristo ทาสีฟ้าทั้งหลัง โดดเด่นด้วยหอระฆังยอดแหลมที่อยู่ในมุมทั้ง 4 ของตัวโบสถ์ เราคิดจะเดินเข้าไปชมความงามภายใน แต่กลายเป็นว่าแม้จะได้มาถึงโบสถ์ที่ตามหา แต่เรากลับได้ชมแค่เพียงภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ที่ยืนหน้าประตูเดินมาหาเรา พร้อมบอกว่าหากจะเข้าไปชมภายในต้องให้เขาพาเข้าชม พร้อมบอกราคาเสร็จสรรพ เรามองหน้ากันว่าไม่มีป้ายระบุราคาค่าเข้าชมโบสถ์ ชายผู้นี้น่าจะคิดหาประโยชน์จากนักท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้เป็นผู้ส่งเสริมการกระทำผิด เราจึงกล่าวปฏิเสธแล้วเดินจากมา

เรากลับไปบริเวณถนนโคลอนอีกครั้ง เพราะยังมีอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่เราเลือกให้เป็นสถานที่สุดท้ายในการไปเยือน นั่นคือ คาซาโกรโรโด (Casa Gorordo) เดิมเป็นคฤหาสน์เก่าแก่สร้างตั้งแต่ปีค.ศ.1863 ของพ่อค้าตระกูลโกรโรโดที่สืบต่อกันถึง 4 รุ่น ปัจจุบันถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้หน้าประวัติศาสตร์ของเมืองซีบู ผ่านการนำเสนอด้วยสื่อผสมหลายรูปแบบอย่างน่าสนใจ ซึ่งเราไม่สามารถเดินชมได้เองตามอำเภอใจ แต่จะมีเจ้าหน้าที่ที่อัธยาศัยดีสุดๆเป็นผู้พาชม

ความน่าสนใจเริ่มตั้งแต่ตัวคฤหาสน์ เพราะนอกจากสถาปัตยกรรมการสร้างที่เป็นแบบโคโลเนียลสเปนแล้ว ผนังยังใช้วัสดุที่พบได้เฉพาะในภูมิภาคนี้ นั่นคือหินปะการัง นอกจากความแข็งแกร่งที่พิสูจน์ได้จากอายุของคฤหาสน์ที่ยาวนานกว่าร้อยปีแล้ว หินแต่ละก้อนยังมีลวดลายที่ไม่ซ้ำกัน

นอกจากเฟอร์นิเจอร์เก่าแก่ล้ำค่าของคหบดีที่พบได้ทั่วๆไปตามพิพิธภัณฑ์ที่ถูกปรับปรุงมาจากคฤหาสน์แล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นเหมือนกระจกเงาที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตของเมืองซีบูได้ครบถ้วนและน่าสนใจมากที่สุด โดยมีจอภาพสามมิติแสดงผังเมืองซีบูในยุคอาณานิคมสเปน ซึ่งบ้านเรือนและโบสถ์ต่างๆถูกสร้างขึ้นภายใต้การวางผังเมืองที่ดีเยี่ยม พร้อมบอกเล่าเรื่องราวการเป็นเมืองท่าสำคัญในการค้าขายตั้งแต่อดีต

นอกจากนี้ยังมีการใช้สื่อภาพและเสียงเพลงในยุคอดีตบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตและวัฒนธรรมประหนึ่งย้อนเหตุการณ์ในอดีตมาฉายซ้ำให้คนยุคปัจจุบันได้เห็นอย่างมีชีวิต สถานที่แห่งนี้จึงเป็นได้ทั้งสถานที่แห่งแรกที่ควรมาเยือนเพื่อเรียนรู้เรื่องราวของเมืองซีบูตั้งแต่ยุคอดีตถึงปัจจุบัน และยังสามารถเป็นสถานที่สุดท้ายที่ควรมาเยือนเพราะเป็นเหมือนบทสรุปชั้นยอดที่ปิดฉากการเดินทางในซีบูได้อย่างครบถ้วน

การเดินทางในประเทศฟิลิปปินส์ของเราปิดฉากลงเมื่อหนังสือเดินทางได้ถูกประทับตราก่อนที่เราจะเดินขึ้นเครื่องบิน ประเทศฟิลิปปินส์หนึ่งในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยคุ้นเคยนักได้เผยสิ่งต่างๆออกมาให้เราได้เรียนรู้ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆเพียงแค่ 9 วัน แต่ผมก็รับรู้ได้ว่า นอกจากหน้าตาของผู้คนที่เหมือนกับคนไทยได้อย่างน่าอัศจรรย์ทั้งๆที่มีท้องทะเลกั้นขวางแล้ว วิถีชีวิต อาหารการกินยังแทบไม่ต่างจากคนไทย ประเทศเพื่อนบ้านที่เคยคิดว่าห่างไกลในความรู้สึก จึงไม่เป็นเพื่อนใกล้ที่ไกลห่างอีกต่อไป

แล้วสำหรับเพื่อนร่วมทางของผมหละ แม้วิถีการดำเนินชีวิตของเราจะแตกต่างกัน คนหนึ่งเลือกเดินริมถนน กินอาหารข้างทาง ในขณะอีกคนเลือกเดินในห้าง กินอาหารในร้านหรู แต่ตลอด 9 วันที่ผ่านมาแม้จะกัดกันบ้าง เกทัพกันบางหน แต่เราก็เดินบนเส้นทางเดียวกัน หากนับเป็นเพื่อนแล้ว ไม่มีคำว่า “ไกล” ให้ความเป็นเพื่อนต้อง “ห่าง” กันหรอก เพราะคำว่า “เพื่อน” มีความหมายที่กว้างและลึกกว่าคำว่า “เพื่อนบ้าน” เยอะ

ภาพการร้องเพลงของหญิงชาวบ้านริมแม่น้ำลอบ็อคเหมือนหนังที่ถูกฉายซ้ำในความทรงจำ ในขณะที่เครื่องบินพาผมเหินฟ้าอยู่เหนือท้องทะเล เสียงเพลง Bye Bye Love ดังก้องในสมองอีกครั้ง

“Bye bye love Bye bye happiness Hello loneliness I think I’m-a gonna cry”

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2565 เวลา 14.40 น.

ความคิดเห็น