ภูกระดึงปิดฤดูกาลท่องเที่ยวแล้วนะครับ พักสี่เดือน มิถุนายนถึงกันยายน จะกลับมาเปิดให้เที่ยวอีกครั้งวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเพราะกำหนดปิดภูสี่เดือนนี่เอง ผมเลยรู้สึกพิเศษว่าสักครั้งหนึ่งอยากไปเที่ยวปิดภูส่งท้ายก่อนพักเบรกให้ธรรมชาติพักฟื้นสักหน่อย เป็นทริปที่เกิดอารมณ์อยากเที่ยวปุ๊บก็แพ็คกระเป๋าปั๊บ ไม่ต้องเตรียมตัวมากมาย แค่พกใจกับกำลังขาไปเต็มๆ ก็พอ

เวลาปิดภูที่ภูกระดึงหมายถึงทางอุทยานฯ อนุญาตให้นักท่องเที่ยวทั่วไปเดินขึ้นภูวันสุดท้าย 31 พฤษภาคม ไม่เกินบ่ายสองโมง และลงจากภูวันที่ 1 มิถุนายน ก่อนบ่ายสองโมงเช่นกัน

ทริปนี้ผมเดินทางจากโคราช อาทิตย์ที่ 29 พ.ค. ความจริงมีรถทัวร์นั่งไปง่ายๆ ตามที่คนส่วนใหญ่รู้กันคือลงที่ผานกเค้า หน้าร้านเจ้กิม แล้วเหมารถสองแถวรับจ้างเข้าอุทยานฯ (300 บาท นั่งได้ประมาณสิบคน) แต่เพราะผมเดินทางคนเดียวแถมเป็นช่วงใกล้ปิดภูนักท่องเที่ยวน้อย หากลงผานกเค้าคงไม่มีใครหารค่ารถ เพราะฉะนั้นเลยเลือกเดินทางหลายต่อแต่ประหยัดกว่าแทน

ตั้งต้นยามเช้าที่สถานีรถไฟนครราชสีมา ตีตั๋วเดินทางสู่ขอนแก่น รถไฟฟรีขบวน 415 นครราชสีมา-หนองคาย เที่ยว 6.20 น. ออกตัวตรงเวลา วิ่งตามกำหนดเรื่อยๆ แทบไม่เลท มาเสียเครดิตตอนสถานีท่าพระ แค่อีกสถานีเดียวจะถึงขอนแก่นนี่แหละ เพราะจอดรอหลีกทางให้รถด่วน หนองคาย-กรุงเทพ สวนทางมาอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง คำชมว่าตรงเวลาดีเลยต้องขอยึดคืนแล้วกัน (ฮา...)

ถึงขอนแก่นใกล้สิบโมงเช้าก็รอรถสองแถวเหลืองหน้าสถานีรถไฟเพื่อไป บขส.ขอนแก่น แห่งที่หนึ่ง ขยายความสักหน่อยว่าขอนแก่นมี บขส. สามแห่ง แห่งแรกเป็นรถวิ่งใกล้ระหว่างอำเภอหรือจังหวัดย่านนี้ แห่งที่สองส่วนใหญ่เป็นวินรถตู้ แห่งที่สามเป็นรถวิ่งไกล ป.1 วีไอพี ซึ่งเราต้องนั่งรถไป บขส. แห่งแรกครับ ค่ารถจากสถานีรถไฟ 11 บาท

ถึง บขส. ปุ๊บ มองหารถ ขอนแก่น-เมืองเลย จอดรถท่าอยู่แล้ว เป็นรถ ป.2 คิดราคาตามระยะทาง ตีตั๋วลงอำเภอภูกระดึง 83 บาท รถออกถี่มาทุกยี่สิบนาทีถึงครึ่งชั่วโมง ตอนผมไปถึงก็ได้เวลาออกพอดี

รถวิ่งจากเมืองขอนแก่น ผ่านมาทางอำเภอชุมแพ (ใครจะมาต่อรถที่ บขส.ชุมแพ ได้นะ) จนเข้าเขตจังหวัดเลยที่อำเภอภูกระดึง รถจะเลี้ยวเข้าตัวอำเภอไปส่งเราที่ตลาด ตรงข้ามสถานีตำรวจภูธรภูกระดึง ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ผมขึ้นรถเที่ยวสิบโมงครึ่งมาลงรถตอนบ่ายเศษๆ

ลงรถปุ๊บฟ้าก็โปรยฝนลงมาแทบทันที เลยต้องหาร้านกินข้าวนั่งหลบฝนไปพลางๆ สอบถามคนพื้นที่ได้ความว่าปีนี้ฝนมาช้ากว่าทุกปี แต่ก็เริ่มตกหนักต่อเนื่องติดต่อกันมาสามวันแล้ว อากาศแบบนี้ถือว่าดีครับเพราะจะได้ลุ้นหมอกข้างบนภูแบบเต็มๆ

พอฝนหยุดตกค่อยเดินทางต่อไปอุทยานฯ ที่ศาลาตรงข้ามสถานีตำรวจจะมีคิวมอเตอร์ไซค์กับสามล้อเครื่อง (สกายแล็ป) สอบถามราคามาได้ว่าพี่วินคิด 60 บาท สามล้อคิดตามจำนวนคน ผมมาคนเดียวลุงสามล้อคิด 60 บาท ฝนตกแบบนี้ในราคาเท่ากัน คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมเลือกนั่งรถอะไร

แป๊บเดียวเท่านั้น ระยะทางไม่เกินสี่กิโลเมตรก็มาถึงอุทยานแห่งชาติภูกระดึง พร้อมสายหมอกบางๆ ลอยคลอเคลียภูเขาเป็นการต้อนรับ ฝนยังตกพรำๆ อากาศสดชื่นเป็นที่สุด

มองนาฬิกาบ่ายสองโมงครึ่ง อุทยานฯ ไม่อนุญาตให้ขึ้นภูแล้ว แต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะผมตั้งใจมานอนค้างข้างล่างหนึ่งคืน เขากำลังมีพิธีปิดงานปีนภูกระดึงเก็บขยะกันอยู่พอดี ท่านผู้ว่าฯ เลย มาเป็นประธานเชียวนะ ผมไม่ได้สนใจอะไรหรอกครับก็เดินเล่นเรื่อยเปื่อยไป

การกางเต็นท์พักแรมด้านล่างทางอุทยานฯ ไม่คิดค่าธรรมเนียม และด้วยความที่ฝนตกตลอดเจ้าหน้าที่เลยอนุญาตให้ผมมากางเต็นท์หลบในอาคาร สบายไปเพราะมีปลั๊กไฟเพียบเลย ส่วนเรื่องอาหารไม่ต้องห่วง มีร้านเปิดตลอดตั้งแต่เช้าถึงค่ำอยู่แล้ว

นอนสบายๆ ตัดฉับเข้าวันขึ้นภู 30 พ.ค. เลยแล้วกัน ได้ยินเสียงนักท่องเที่ยวมารอขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ส่วนผมไม่รีบร้อน อ้อยอิ่งเก็บเต็นท์ แพ็คกระเป๋า ไปติดต่อเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ 40 บาท กับจองพื้นที่กางเต็นท์ด้านบนสองคืน คืนละ 30 บาท กว่าจะมาอยู่หน้าด่านตรวจขึ้นเขาก็ลงทะเบียนเขียนเวลา 7.50 น. ผมเป็นคนที่สิบเจ็ดของวันนั้นครับ

คงไม่ต้องอธิบายว่าทางขึ้นภูกระดึงเป็นอย่างไร (มีรีวิวเป็นล้าน) งานนี้ผมท้ากำลังตัวเองด้วยการแบกสัมภาระทั้งหมด เป้หนึ่งใบ กระเป๋ากล้อง ขาตั้งกล้อง สามอย่างรวมกับน้ำดื่มครึ่งขวดใหญ่ชั่งได้สิบห้ากิโลกรัมกับสองขีด เหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวเลย (ฮา...)

ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาฝนตกหนัก แต่ตอนเช้าขึ้นภูไม่มีฝนสักหยด ทิ้งไว้เพียงอากาศสดชื่นกับไอหมอกลอยฟุ้งเป็นช่วงๆ ช่วยคลายเหนื่อยได้มาก แต่ละซำมีร้านขายของเปิดหรอมแหรมไม่เหมือนหน้าหนาว ส่วนคนที่ขึ้นไปเท่าที่สอบถามก็จะอยู่ในกลุ่มรักภูกระดึงซึ่งนัดกันมาปิดภู นักท่องเที่ยวขาจรแบบผมมีไม่เยอะครับ นับนิ้วได้เลย

เหนื่อยและหนักจนชาชิน พักมันทุกซำ จนมาถึงซำแคร่ ซำสุดท้ายตอน 11.40 น. ระยะทางจากนี้ถึงหลังแปอีก 1.3 กิโลเมตร เป็นช่วงชันที่สุดแล้วล่ะ โครงการเดินสิบก้าวพักงัดมาใช้ตอนนี้แหละครับ (ฮา...)

กระทั่งถึงบันไดนี้ บันไดแห่งผู้พิชิต ก้าวสุดท้ายก่อนถึงหลังแป มองนาฬิกา 12.55 น. เท่ากับว่าใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมง ถือว่าโอเคกับสัมภาระพะรุงพะรังที่หอบหิ้วมาเอง แถมแอบทำเนียนแวะพักถ่ายรูปเล่นตลอดทาง

พักเหนื่อยที่หลังแปสักพักแล้วก็รีบเดินต่อเพราะฟ้าอึมครึมมาก เดินทางราบอีกสามกิโลเมตรนิดๆ จึงจะถึงลานกางเต็นท์วังกวาง ผมจ้ำเร็วที่สุดเท่าที่กำลังจะเหลือ พอถึงอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวปุ๊บฝนก็เทลงมาตูมใหญ่แทบทันที เป็นอีกครั้งที่รอดตัวอย่างเหลือเชื่อ

ลานกางเต็นท์ภูกระดึงกว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่รู้กัน ฝนตกแบบนี้ประกอบกับนักท่องเที่ยวมีอยู่บนภูไม่ถึงครึ่งร้อย เจ้าหน้าที่จึงอนุโลมให้กางบนศาลาต่างๆ ผมมาได้ทำเลตรงนี้ ไม่ไกลร้านค้า ไม่ไกลห้องน้ำ

ฝนเจ้ากรรมตกๆ หยุดๆ แต่ก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไร เพราะตั้งใจพักขาอยู่แล้วล่ะ เย็นย่ำค่อยออกไปหาข้าวกินเปิดไม่ครบทุกร้านแต่ก็มีให้เลือกพอควร อาหารตามสั่งตอนนี้เริ่มต้นที่ 60 บาท น้ำขวดเล็ก 30 บาท ขวดใหญ่ 50 บาท ของอื่นๆ บวก 200-300 เปอร์เซ็นต์ ไฟฟ้าเปิดหกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม ช่วงนี้คนน้อยไปขอชาร์ตไฟตามร้านต่างๆ ได้สบาย

สารภาพเลยว่านอนสลบเหมือดตั้งแต่สองทุ่ม ตั้งนาฬิกาปลุกตีสี่นิดๆ เพื่อตื่นไปดูแสงเช้าที่ผานกแอ่น ตื่นตามเวลาครับแต่เตรียมของอยู่ฝนก็ตกลงมาซู่ใหญ่เลยว่าจะล้มตัวนอนรอฝนหยุดสักพัก... แล้วก็ตามคาด สะดุ้งตื่นอีกทีปาเข้าไปตีห้าห้าสิบ ตาเหลือกสิครับทีนี้เปิดเต็นท์ออกมาฟ้าสว่างจ้า แต่ถึงจะสายโด่งปานนั้นระหว่างเดินไปผานกแอ่น ยังอุตส่าห์อารมณ์สุนทรีย์แวะถ่ายรูปตรงโน้นทีตรงนี้ทีอีกนะ

กระทั่งเจอนักท่องเที่ยวเดินสวนกลับมาจากผานกแอ่นบอกว่าหมอกสวยมาก ผมเลยต้องรีบเดิน แล้วก็ยังโชคดีครับที่ไปทันพอเห็นภาพเหล่านี้ อาจจะสายสักหน่อยแต่ก็ไม่เลวเลยนะว่าไหม

เอาล่ะ... วันนี้ได้เวลาเดินเที่ยวบนภู สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่าน้ำตกยังน้ำไม่เยอะ ผมเลยเลือกเส้นทางเลียบผา ไล่เดินจากผาหมากดูกไปหล่มสักแล้วย้อนกลับมาทางเดียวกัน ระยะทางไป-กลับก็ราวยี่สิบกิโลเมตร เป็นมาตรฐานภูกระดึง ใครอยากเที่ยวผาหล่มสักต้องเดินประมาณนี้อยู่แล้ว

ช่วงต้นฝนคนน้อย บรรยากาศดี เดินสบาย มีอะไรหลากหลายให้ถ่ายรูปตลอดทาง จากผาหมากดูก ผาจำศีล ผาแดง ผาเหยียบเมฆ ผาแดง จนถึงผาหล่มสัก ผมเดินเรื่อยๆ พักชมวิวบ้างตามจังหวะ

ธรรมชาติรายรอบทาง สิ่งละอันพันละน้อยก็เก็บภาพกันให้ชื่นใจ

ผมเริ่มเดิน 8.50 น. กว่าจะถึงผาหล่มสักก็คล้อยบ่ายโมงสิบ มีเพื่อนร่วมทางสวนกันไปแซงกันไปบ้างนิดหน่อย เพราะแม้คนบนภูจะน้อยแต่เกือบทุกคนก็เดินมาที่นี่ในวันนี้ และเมื่อถึงแลนด์มาร์คแห่งภูกระดึงแล้วก็ถ่ายรูปกันโลด

ตามหน้าผาอื่นๆ ร้านอาหารปิดหมด มีเฉพาะผาหล่มสักนี่แหละที่เหลืออยู่หนึ่งร้าน แวะกินข้าวเติมพลังและถ่ายรูปพอสมควร กระทั่งบ่ายสองโมงครึ่งเมฆฝนเริ่มปกคลุมจึงตัดสินใจเดินย้อนกลับทางเก่า ช่วงหน้าฝนแบบนี้ไม่ต้องรอถ่ายพระอาทิตย์ตกหรอกครับเพราะมองไม่เห็น มุมดวงอาทิตย์เบี่ยงหลบผา แถมตกช้าอีกต่างหาก เมื่อบวกกับนักท่องเที่ยวน้อยมาก ลองคิดดูสิว่าถ้าเดินกลับสิบกิโลเมตรตอนค่ำๆ คนน้อยๆ หรืออาจเป็นคนเดียวจะรู้สึกอย่างไร

ขากลับก็เดินเรื่อยๆ ไม่ต่างจากขามา พอถึงผาเหยียบเมฆหมอกขาวโพลนลอยตีขึ้นมาจากหน้าผา สวยมากครับ อย่างกับอยู่ในแดนสนธยาเลยทีเดียว

ช่วงหมอกฟุ้งบางลงลองมองไปตามแนวหน้าผาก็เห็นทะเลหมอกตอนบ่ายแก่ๆ กำลังฟูนุ่มสวยงามสุดใจ ผมเดินเลาะหน้าผาถ่ายรูปแทบตลอดแนวเพียงลำพัง เป็นความรู้สึกสุดยอดไม่รู้จะบรรยายอย่างไร

กลับถึงลานกางเต็นท์ตอนเคารพธงชาติพอดี หาข้าวหาปลากินอิ่มก็ขอนอนนิ่งให้ขาได้พักบ้างแล้วกันนะ

1 มิ.ย. เช้าสุดท้ายวันปิดภู คราวนี้ไม่ยอมพลาดเหมือนเมื่อวานและฟ้าฝนก็ไม่กลั่นแกล้งแล้วด้วย ตีสี่ครึ่งเด้งตัวปุ๊บก็เตรียมตัวให้พร้อมคว้าข้าวของเดินออกมา ช่วงนี้สว่างเร็วแค่ตีห้านิดๆ ก็เริ่มเห็นเส้นทาง ท้องฟ้าไกลๆ ส่งสัญญาณสีแดงว่าวันนี้คงงดงามแน่ เห็นแบบนี้ก็ยิ่งรีบเดินให้เร็ว

และนี่คือฟ้าของภูกระดึงในวันปิดภู ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรจริงๆ

หมอกวันนี้แม้ไม่ฟูฟ่องหนาตาเท่าเมื่อวานก็แต่สวยงามสุดๆ ในอีกแบบหนึ่ง ขอพูดสั้นๆ แค่ว่าเป็นเช้าที่เพอร์เฟกต์มากสำหรับการปิดภูกระดึงในปีนี้ครับ

ฟินกับผานกแอ่นยามเช้าแล้วก็กลับมาเก็บข้าวของเพื่อลงจากภู ผมมีภารกิจนิดหน่อยต้องเดินทางเลยรีบลงใกล้เก้าโมงเช้าก็แบกสัมภาระออกจากลานกางเต็นท์วังกวางเพื่อไปหลังแป หลังจากขาวโพลนมาหลายวันถึงวันนี้ฟ้าก็เปิดให้เห็นสีฟ้าเข้มเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาถึงที่นี่เสียที ผมเดินมาไม่กี่ร้อยเมตรบังเอิญมีรถอุทยานฯ ขับมาส่งพ่อค้าแม่ค้าและเจ้าหน้าที่ซึ่งจะลงภูวันนี้เช่นกัน เลยเป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถทำเท่บนภูกระดึง (ฮา...)

นั่งรถย่นระยะจากวังกวางมาหลังแปช่วยทุ่นเวลาได้เยอะครับ และเดินขาลงย่อมเร็วกว่าขาขึ้น ผมเริ่มเดินลงจากหลังแปตอน 9.20 น. มาลงทะเบียนขาออกที่ด่านตรวจตอนเที่ยงสิบห้านาที จบภารกิจปิดภูกระดึงในปีนี้แบบประทับใจสุดๆ

ไม่เพียงแค่ภาพสวยๆ บรรยากาศดีๆ ที่ได้รับ ภูกระดึงช่วงต้นฤดูฝนยังสอนให้ผมเรียนรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับธรรมชาติ รวมทั้งการเที่ยวธรรมชาติ

ขอบอกเลยว่าการมาเที่ยวปิดภูนั้นสวยงามกว่าฤดูหนาวที่นักท่องเที่ยวเยอะแยะมากมาย ไม่แน่ครับการปิดภูกระดึงครั้งต่อๆ ไป อาจเป็นทริปประจำปีของผมเลยก็เป็นได้

เพราะผมรักภูกระดึงต้นฤดูฝนจนหมดหัวใจเสียแล้วสิ...


การเดินทางสู่ภูกระดึงด้วยรถไฟ

  • นั่งรถไฟจากที่ใดก็ตามไปลงสถานีรถไฟขอนแก่น
  • นั่งรถสองแถวเหลืองจากสถานีรถไฟขอนแก่น ไป บขส. ขอนแก่น แห่งที่หนึ่ง
  • นั่งรถโดยสาร ขอนแก่น-เมืองเลย ตีตั๋วลงที่ตัวอำเภอภูกระดึง
  • นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถสามล้อเครื่อง (สกายแล็ป) หรือฤดูท่องเที่ยวจะลุ้นโบกรถก็ตามสะดวกเพื่อเข้าสู่ที่ทำการอุทยานฯ

ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
http://www.facebook.com/alifeatraveller


นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller

 วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.10 น.

ความคิดเห็น