ชีวิตยังคงเดินทาง แม้จะหมดโอกาสที่จะไปคาวาอีเจ้น แต่แผนการเดินทางสู่ภูเขาไฟโบรโม่ที่เลื่องชื่อยังคงอยู่ หลังจากจัดการอาหารเช้าที่สุดแสนเรียบง่ายของโรงแรมแล้ว เป้ใบเก่าก็ถูกยกขึ้นหลังอีกครั้ง เราโบกรถสองแถวไปยังสถานีขนส่งเพื่อต่อรถไปเมืองโปรโบลิงโก (Probolinggo)
บนท้องถนนที่พลุกพล่านไปด้วยรถราและผู้คน พาให้ผมได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวเกาะชวาผ่านทางกระจกหน้าต่าง หากไม่ดูหน้าตาของผู้คนแล้ว สองข้างทางที่เรียงรายไปด้วยธงหลากสีทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศของอำเภอเล็กๆในต่างจังหวัดของเมืองไทย ที่ยังคงมีรถสามล้อถีบ เพียงแต่ตำแหน่งของคนถีบสามล้อที่นี่เปลี่ยนจากด้านหน้าไปอยู่ที่ด้านหลังของผู้โดยสาร แม้จะดูเหมือนให้ผู้โดยสารรับไปเต็มๆหากเกิดอุบัติเหตุ แต่ก็มีข้อดีตรงที่ไม่มีคนขับมาบังวิสัยทัศน์ในการนั่งชมเมือง
อีกสิ่งหนึ่งที่อินโดนีเซียมีคล้ายๆไทย นั่นคือเหล่าวณิพก ที่ร้องเพลงเพื่อขอเศษเงิน แต่วณิพกที่นี่เขาไม่รอให้คนใจบุญเดินมาหาตามสะพานลอยหรือริมถนน แต่จะหอบหิ้วเครื่องดนตรีขึ้นมาบรรเลงเพลงสดๆกันถึงบนรถ ส่วนใหญ่จะฉายเดี่ยวพร้อมกีต้าร์คู่ชีพ แต่บางทีก็มากันเต็มวง ทั้งเครื่องดีด สี ตี เป่า ขึ้นมาเปิดคอนเสิร์ตย่อมๆกันถึงบนรถ ทุ่มทุนกันขนาดนี้จึงเรียกเงินจากผู้โดยสารได้มากพอดู
ยังไม่ถึงเมืองโปรโบลิงโก แต่รถโดยสารก็จอดอย่างสงบนิ่งที่สถานีขนส่งเมืองเจมเบอร์ (Jember) คนขับเดินมาบอกว่ารถหมดระยะที่นี่ ให้เราไปขึ้นรถอีกคันที่กำลังจะออกเพื่อไปยังเมืองโปรโบลิงโก ความคิดในแง่ร้ายที่ถูกสร้างขึ้นจากประสบการณ์แย่ๆในการท่องโลกครั้งก่อนๆทำให้ผมคิดว่าเรากำลังถูกโกงและต้องจ่ายค่าโดยสารใหม่หรือไม่ เพราะค่าโดยสารที่จ่ายไปแล้วนั้นเป็นค่าโดยสารจนถึงเมืองโปรโบลิงโก แต่แล้วชาวอินโดก็ทำให้ผมได้รับรู้ว่า คนอินโดนั้นซื่อสัตย์ไม่แพ้ชาติไหน เพราะเมื่อคนเก็บค่าโดยสารขอดูตั๋วโดยสารที่รถคันก่อนฉีกให้ ก็เดินจากไปโดยไม่เรียกเก็บค่าโดยสารใหม่แต่อย่างใด
เรามาถึงสถานีขนส่งเมืองโปรโบลิงโกในเวลาบ่ายสอง ท้องที่ร้องจ๊อกๆทำให้เราไม่รอช้าที่จะกินก๋วยเตี๋ยวในสถานีขนส่งที่รสชาติดีกว่าที่คิดไว้ ระหว่างที่กำลังจัดการกับก๋วยเตี๋ยวอยู่นั้น มีคู่สามีภรรยาวัยกลางคนชาวฝรั่งเศสมายืนมึนๆงงๆอยู่ใกล้ๆ หลังจากที่เข้าไปทักทาย จึงได้ความว่าจุดหมายของเขาทั้งสองนี้คือภูเขาไฟโบรโม่เหมือนกับเรา ผมจึงชวนเดินทางไปด้วยกัน ตามประสาแบ็คแพ็คเกอร์ทุนน้อยเหมือนๆกัน
หมู่บ้านเคโมโร ลาวัง (Cemoro Lawang) เป็นเหมือนประตูสู่ภูเขาไฟโบรโม่ เย็นนี้เราจึงต้องไปตั้งหลักกันที่นี่ ก่อนที่จะขึ้นโบรโม่ในเวลาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
รถตู้ที่จะไปเคโมโร ลาวัง จอดอยู่หน้าสถานีขนส่งโปรโบลิงโก ในเวลานี้นอกจากเราสามคน พร้อมด้วยคู่สามีภรรยาชาวฝรั่งเศสแล้ว ยังมีสองสาวน้อย และคู่สามีภรรยาชาวอินโดที่จะเดินทางไปด้วยกัน แต่รอแล้วรอเล่ารถก็ยังไม่ออกสักที ด้วยเหตุผลที่ผู้โดยสารยังไม่ครบ 14 คน!
14 คน! พูดเป็นเล่นน่า รถตู้เล็กขนาดนี้นั่งได้เต็มที่ก็ไม่น่าจะเกิน 10 คน แต่ในเมื่อตกอยู่ในภาวะจำยอม ทำให้คนทั้ง 9 คนที่ชะตาชีวิตนำพาให้ร่วมหัวจมท้ายในการไปโบรโม่ ยอมถูกมัดมือ แล้วให้คนขับชกด้วยการจ่ายค่าโดยสารเพิ่มเพื่อชดเชยจำนวนผู้โดยสารตามที่คนขับต้องการ
รถตู้วิ่งบุเลงๆไปตามทางที่ค่อยๆสูงชันของแนวเทือกเขา เผยให้เห็นทิวทัศน์สองข้างทางที่เป็นนาข้าว แปลงมะเขือเทศ ผืนป่า และสายหมอกที่แผ่ตัวจนบดบังแนวเขาที่อยู่ไกลออกไป ธงหลากสีที่เรียงรายตามสองข้างถนนเริ่มปรากฏให้เห็นเมื่อเราเข้าเขตหมู่บ้านเคโมโร ลาวัง ด้วยการที่ผมนั่งเบาะหน้าข้างคนขับ จึงไม่รู้ว่าในเวลานี้ หน่อยกับแต๋ว สองสาวจากเมืองไทยได้ทำความสนิทสนมกับสองสาวชาวอินโดนามว่า อีเมลดา กับ คลาร่า และตกลงที่จะแชร์ค่ารถจี๊ปขึ้นโบโม่ด้วยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่รถจอดส่งเราที่หน้าบ้านพัก ซึ่งเป็นแบบโฮมสเตย์ คู่สามีภรรยาชาวฝรั่งเศสก็เดินมาต่อว่าผมยกใหญ่ ว่าชวนไปโบรโม่ด้วยกัน แต่ทำไมผมกับเพื่อนจึงไปแชร์ค่ารถจี๊ปขึ้นโบรโม่กับสองสาวชาวอินโด แทนที่จะแชร์ค่ารถกับเขา ทำให้เขาต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเหมารถจี๊ปเพิ่มขึ้น เพราะต้องไปแชร์กับสองสามีภรรยาชาวอินโด ซึ่งรวมแล้วตัวหารลดลงจาก 5 เหลือแค่ 4 !
ได้ยินเช่นนั้นผมจึงงงถึง 2 เด้ง เด้งแรกคือ หน่อยกับแต๋วแอบไปตกลงแชร์ค่ารถจี๊ปกับสองสาวชาวอินโดตั้งแต่เมื่อไหร่ เด้งที่ 2 คือ ไม่นึกว่าชาวฝรั่งเศสที่ค่าครองชีพในประเทศสูงกว่าชาวเอเชียจะคิดเล็กคิดน้อยถึงขนาดนี้ สุดท้ายผมจึงหาทางออกด้วยการรวมค่ารถจี๊ป 2 คัน แล้วเอา 9 หาร เหตุการณ์จึงกลับมาสงบ ต่างคนจึงแยกย้ายแบกเป้เข้าห้องพัก เพื่อใช้เวลาช่วงเย็นนี้ในการสัมผัสธรรมชาติที่งดงามยิ่งของหมู่บ้านเล็กในขุนเขาที่กว้างใหญ่แห่งนี้
ยอดข้าวโพดโบกไหวไปตามสายลมหนาวที่พัดผ่าน แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ผมเพิ่งเผชิญความร้อนระอุที่เมืองโปรโบลิงโก แต่ในเวลานี้กลับต้องเดินกอดอกเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ตัวเอง
ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นที่สายหมอกแผ่ตัวคลอเคลียยอดเขา ผมก้าวเดินชมหมู่บ้านเคโมโร ลาวังอย่างช้าๆ พร้อมจังหวะการเต้นของหัวใจที่แผ่วลง ไม่ใช่เพียงผืนนากับแปลงข้าวโพด แต่หน้ากระท่อมหลังน้อยที่กระจัดกระจายตามทุ่งนาเขียวชอุ่ม ต่างปลูกดอกไม้สีสดไว้มากมาย
ในเวลานี้ผมจึงชักไม่แน่ใจว่าระหว่างความสวยงามที่ยิ่งใหญ่ของภูเขาไฟโบรโม่ที่จะได้สัมผัสในวันพรุ่งนี้ กับความงามเล็กๆของดอกไม้ข้างทาง สิ่งไหนจะสร้างความสุขให้กับใจได้มากกว่ากัน
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 11.50 น.