รถจี๊ปพาเราเลียบเลาะไปตามสันเขาที่ทอดตัวยาวโอบด้านหลังภูเขาไฟบาตอก ลงสู่ที่ราบแห่งทะเลทรายสีดำ โดยรอบไม่มีไม้ใหญ่ให้ได้เห็น นั่นเป็นเพราะความร้อนระอุของธารลาวาที่เกิดจากการระเบิดครั้งล่าสุดของภูเขาไฟโบรโม่ ดูแล้วช่างเป็นทัศนียภาพอันแปลกตาจนเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง

รถจี๊ปจอดเรียงกันเป็นแถวในตำแหน่งที่สามารถเดินไปสัมผัสภูเขาไฟบาตอกได้อย่างใกล้ๆ หากแต่ทางขึ้นสู่ภูเขาไฟโบรโม่นั้นอยู่แสนไกล จึงมีม้าไว้ให้บริการ แต่สำหรับพวกชีพจรลงเท้าอย่างเรานั้นไม่ลังเลเลยที่จะเลือกใช้สองเท้าเดินไปตามทะเลทรายสีดำที่มีภูเขาไฟโบรโม่ตั้งอยู่ที่ปลายทาง

ภาพควันสีขาวที่พวยพุ่งออกจากปากปล่องเริ่มปรากฏชัดมากขึ้นเมื่อสองเท้าพาเราเดินไปบนผืนทราย ที่มีเพียงวัดฮินดูเล็กๆตั้งอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า แล้วจากผืนทรายที่ราบเรียบก็แปรเปลี่ยนเป็นโขดหินที่มากไปด้วยร่องลึก พร้อมกับความชันของเส้นทางก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นตามลำดับ จนสุดทางเป็นขั้นบันไดที่ทอดตัวทำมุม 45 องศาจากพื้นล่างสู่ปากปล่อง ดูๆแล้วเป็นภาระหนักสำหรับปอดและขาไม่ใช่เล่น

เดินไปได้ครึ่งทางของขั้นบันไดที่ทอดยาวราว 500 ขั้น อีเมลดากับคลาร่าก็ถอดใจที่จะก้าวกันต่อไป โดยขอนั่งมองทิวทัศน์สวยๆเท่าที่กำลังกายจะไปไหว

ควันสีขาวยังคงพวยพุ่งอย่างไม่ขาดสายจากปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ (Bromo) อันเป็นการออกเสียงแบบชวาเพื่อเรียกพระพรหม (Brahma) หากเป็นเช่นนั้นควันสีขาวที่พวยพุ่งนี้ คงไม่ต่างจากลมหายใจของเทพเจ้า ที่ล่องลอยสู่แผ่นฟ้าที่แสนไกล

แล้วบันไดขั้นสุดท้ายก็สิ้นสุดลง เส้นทางเดินรอบปากปล่องนั้นทั้งแคบและชันสร้างความหวาดเสียวให้กับการย่างเท้าเหลือเกิน หากแต่ทิวทัศน์อันยิ่งใหญ่ของทิวเขาสูงที่ทอดตัวโอบล้อมทุกทิศทางกลับเป็นภาพที่ยั่วยุความอยากให้สองเท้าก้าวเดินไปตามเส้นทางนั้น

ทั้งๆที่รู้ว่า ความสุขใจนั้นไม่ได้ขึ้นกับความไกลของเส้นทาง แต่ขึ้นอยู่กับจุดที่เรายืนนั้นเป็นจุดเดียวกับที่เราพอใจหรือไม่ แต่ผมก็ยังคงใช้สองเท้าก้าวเดินต่อไป ตามเส้นทางสายนั้น

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.08 น.

ความคิดเห็น