คงกลัวว่าผมจะอินไปกับประวัติศาสตร์มากไปกว่านี้ คนขับมอเตอร์ไซค์จึงพาผมเปลี่ยนบรรยากาศจากโบราณสถานแห่งอดีต มาสู่การสัมผัสความยิ่งใหญ่และสวยงามของธรรมชาติ อันเกิดจากความร้อนใต้พิภพ เริ่มจากบ่อกำมะถันเดือด ที่กำลังเดือดอย่างปุดๆอยู่ในปล่อง ด้วยอุณหภูมิสูงกว่า 70 องศาเซลเซียส

แม้สิ่งที่เห็นจะดูแปลกตา แต่ผมก็ไม่อาจทนต่อกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงของกำมะถันได้นานนัก จึงเปลี่ยนไปผ่อนคลายลมหายใจกับการสัมผัสธรรมชาติอันใสสะอาดของทะเลสาบวาร์นา (Telaga Warna)

ซึ่งเป็นอีกผลงานของพลังงานใต้พิภพอันทำให้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ จนปากปล่องภูเขาไฟที่อยู่เบื้องหน้านี้ได้กลายสภาพเป็นทะเลสาบกว้าง โดยผิวน้ำใสได้สะท้อนเงาของแมกไม้จนเกิดเป็นทะเลสาบสีเขียวมรกตที่งามตา

ณ เนินเขาสูงอันเป็นที่ตั้งของจันทิทวารวาตี (Candi Dwarawati) ผมทอดสายตามองไปยังพื้นที่เกษตรกรรมอันอุดมสมบูรณ์เบื้องล่าง เป็นเวลายาวนานเหลือเกิน ที่เดียงพลาโทได้จมหายไปจากความทรงจำของผู้คน ก่อนที่จะมาเผยความงามให้คนยุคปัจจุบันได้เห็นอีกครั้ง

ในช่วงเวลาที่สายหมอกยังคงปกคลุมขุนเขาที่โอบล้อม ผมจากลาเดียงพลาโท ดินแดนแห่งเทพเจ้าเพื่อเริ่มต้นชีวิตการเดินทางอีกครั้ง ด้วยหวังในใจว่า สายหมอกแห่งกาลเวลา คงไม่กลืนกินศรัทธาของผู้คนให้จางหายเหมือนเช่นที่ผ่านมา

“เซมารัง ไม่ใช่ มาเกลัง”
ผมถึงกับเอ๋อไปสักพักเมื่อรู้ว่าตัวเองขึ้นรถผิด หลังจากที่รถเคลื่อนตัวออกจากตัวเมืองวอนอโซบอไปนานโข
หลังจากสื่อสารด้วยการออกเสียงเมืองอันเป็นจุดหมายจนงงกันยกใหญ่ สุดท้ายการเขียนชื่อเมืองบนกระดาษจึงทำให้ผมถึงบางอ้อว่า ผมนั่งรถผิดคัน แทนที่จะไปมาเกลัง (Magelang) เพื่อต่อรถไปยอกยาการ์ต้าเมืองทางทิศใต้ของเกาะชวาอย่างที่ตั้งใจ กลายเป็นว่าผมกำลังนั่งรถไปเมืองเซมารัง (Semarang) เมืองติดทะเล ตอนเหนือของเกาะ ซึ่งอยู่คนละทิศกับจุดหมายที่ผมต้องการไป สุดท้ายผมจึงต้องลงกลางทางที่เมืองเซซัง (Secang) พร้อมอาการมึนกับการออกเสียง “อัง” ของชื่อเมือง

 แทบไม่น่าเชื่อว่า รถที่ผมนั่งจากเมืองเซซัง จะเป็นรถคันเดียวกับเมื่อวานที่ผมนั่งจากมาเกลังสู่วอนอโซบอ บรรยากาศเสียงแตรจากรถและเสียงไซเรนจากเด็กรถจึงย้อนกลับมาให้ผมได้ปวดหัวอีกหน

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพฤหัสที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.37 น.

ความคิดเห็น