ตำรวจจราจรโบกรถประจำทางให้จอด หลังจากส่งภาษาอินโดกับคนขับจนเป็นที่เข้าใจก็บอกให้ผมขึ้นรถคันนี้ เพื่อเดินทางไปชายหาดปารังตริติส (Parangtritis) ตามที่ตั้งใจ

ถึงแม้ตลอดทางผมจะไม่พบอุโมงค์ใต้ดินที่ทอดยาวจากซูมูร์ กูมูลิงสักอุโมงค์ จนไม่แน่ใจว่าสุดปลายทางอุโมงค์จะใช่หาดปารังตริติสที่ผมกำลังจะไปหรือไม่ แต่ก็ช่างเถอะ เพราะผมไม่คิดจะไปเล่นซ่อนหากับใคร หรือแม้แต่ไปตามหาราชินีทะเลใต้ แต่ที่ผมอยากไปหาดปารังตริติสเป็นเพราะ มาเป็นชาวเกาะชวาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่ได้เห็นทะเลเลย

ระยะทาง 30 กิโลเมตรกับระยะเวลา 1 ชั่วโมงพาให้ผมมายืนตาหยีอยู่ที่หาดปารังตริติส เพราะแสงแดดที่นี่รุนแรงนัก อีกทั้งกระแสลมที่พัดประหนึ่งพายุใต้ฝุ่นกำลังเข้า พาให้ทรายเม็ดละเอียดของชายหาดปลิวว่อน จนเหมือนอยู่ท่ามกลางพายุทะเลทราย

เขียนซักขนาดนี้ อาจทำให้คิดว่าหาดนี้ไม่เห็นน่าไปเยือนเสียเลย แต่เรื่องแบบนี้มีทางแก้ง่ายๆครับ เพียงแค่หยิบแว่นกันแดดมาสวม เพียงเท่านี้ก็สามารถมองเห็นความสวยงามของชายหาดนี้ได้อย่างเต็มตา ซึ่งนอกจากเกลียวคลื่นสีครามที่โหมซัดแนวหน้าผาที่โอบล้อมแล้ว ชายหาดนี้ยังมีความแปลกตรงที่ เม็ดทรายนั้นมีสีดำ ซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก

เสียงคลื่นเคลื่อนตัวซัดชายหาดดังโครมคราม ผมทิ้งตัวนั่งบนผืนทรายนุ่มๆ เฝ้ามองพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า หนังสือประวัติศาสตร์ไม่ได้บอกว่าสุลต่านเคยหนีศัตรูโดยใช้อุโมงค์ใต้ดินเพื่อมาออกทะเลที่นี่หรือไม่ แต่ผมเชื่อว่า ท้องทะเลที่กว้างไกลสุดสายตานั้น ได้ถูกมนุษย์ใช้เป็นทางออกของความคิด เพื่อเดินทางสู่อิสรภาพมาไม่รู้กี่ยุคกี่สมัย และคงไม่แปลกอะไรที่ในเวลานี้ ผมก็เป็นอีกคนที่ใช้ความกว้างใหญ่ของท้องทะเลเพื่อการนั้น

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 14.09 น.

ความคิดเห็น