หว่าวาโจ ภูเขาชื่อภาษากะเหรี่ยง จุดชมวิวสำหรับสายเดินป่าที่กำลังมาแรง ฟังชื่อครั้งแรกแล้วแอบคิดว่าคงอยู่แสนไกลหรือต้องบุกป่าฝ่าเขาสักสิบลูก แต่พอรู้ความจริงว่าอยู่แค่แถวดอยปุยหลวง อำเภอเมือง แม่ฮ่องสอน ก็ถึงกับร้องอ้อว่าใกล้แค่นี้ลองดูสักทีดีกว่า

เล่าหน่อยว่าเขาดอยปุยหลวงที่พูดถึงคือเทือกเขาบริเวณอุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ ตลอดแนวมียอดและหน้าผาสวยๆ หลายแห่ง มีจุดเดินป่าชื่อติดหูอยู่แล้วอย่าง ดอยปุยหลวง ดอยหงอนไก่ สะเงาะ เลโจ๊ะ ซึ่งเส้นทางเชื่อมถึงกัน จนสักปีที่ผ่านมานี่แหละจึงเพิ่ม หว่าวาโจ เข้ามาอีกชื่อ

เส้นทางเดินดอยปุยหลวงอยู่ใน อช.น้ำตกแม่สุรินทร์ แต่ด้านการท่องเที่ยวชาวบ้านในพื้นที่ทั้งบ้านห้วยฮี้ บ้านน้ำฮูหายใจ ทำกันมานาน เพราะป่าโปร่ง เดินไม่ยาก มีถนนตัดผ่านหมู่บ้านข้างล่าง ชาวบ้านเดินกันเป็นปกติ

สองสามปีก่อนผมเคยเที่ยวดอยปุยหลวงครั้งหนึ่ง ตอนนั้นรู้จักหงอนไก่ สะเงาะ เลโจ๊ะ แล้วล่ะ แต่ไม่เคยได้ยินชื่อหว่าวาโจ ดังนั้นพอหว่าวาโจเริ่มเป็นที่รู้จักและมีเพื่อนฝูงชวนไปด้วยพอดี เลยตอบตกลงแบบแทบไม่ต้องคิด


(1)

เพราะการเดินทางไปแม่ฮ่องสอนเป็นอะไรที่ไกลและใช้เวลา เราเลยจัดเหมารถตู้ออกจาก กทม. หัวค่ำ เพื่อไปเช้าวันใหม่ที่แม่ฮ่องสอน เป็นวิธีสะดวกรวดเร็วและราคาประหยัดกว่ารถสาธารณะหากคนครบที่นั่ง

หลังเดินทางยาวนานเกือบ 15 ชั่วโมง ผ่านทั้งรถติดอุบัติเหตุกับฝนตกพรำๆ ราวสิบเอ็ดโมงเศษเราจึงมาถึงจุดนัดหมาย บ้านเคียงดอย รีสอร์ท ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนประมาณ 6 กิโลเมตร อยู่ริมถนนหาไม่ยาก

กินข้าว จัดเป้ เตรียมความพร้อมขั้นสุดท้ายให้เรียบร้อย จากนี้เราจะเปลี่ยนเป็นรถกระบะลัดเลี้ยวขึ้นเขาไปยังจุดเริ่มเดินซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านน้ำฮูหายใจ จากตรงนี้อีก 15 กิโลเมตร ใช้เวลา 30-40 นาที โดยเส้นทางเดินตามแผนของเราคือขึ้นที่หว่าวาโจ นอนคืนแรก จากนั้นเดินขึ้นทิศเหนือผ่านดอยหงอนไก่ ไปนอนดอยปุยหลวง แล้วลงเขาใกล้กับบ้านห้วยฮี้

จุดเริ่มเดินขึ้นหว่าวาโจอยู่ริมถนนเลยครับ เป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้กันประจำ ทีมไกด์และลูกหาบของเราเป็นชาวกะเหรี่ยงบ้านน้ำฮูหายใจ ชำนาญพื้นที่ชนิดหลับตาเดินยังได้ (ฮา...) พอพร้อมแล้วก็ลุยโลด มองนาฬิกาเริ่มเดินตอนเกือบบ่ายโมง

ทางไม่ถึงกับชันมากจนใจสั่นแต่ก็ขึ้นทีละน้อยไปเรื่อยๆ ป่าโปร่งเดินไม่ยาก ค่อยๆ นับทีละก้าว เห็นอะไรน่าสนใจก็แวะถ่ายรูปตามประสา

ไม่ถึงสองชั่วโมง พวกเราก็ขึ้นมาสูงพอที่จะเห็นจุดหมาย มองทางซ้ายหรือทิศเหนือเห็นยอดดอยหงอนไก่ มองทางขวาหรือทิศใต้เห็นทิวเขาหว่าวาโจ ส่วนตรงกลางระหว่างทั้งสองยอดเรียกว่าเลคุโจ ซึ่งจะเป็นจุดพักแรมคืนนี้

และหลังจากเดินกันไม่ทันครบสามชั่วโมงกับระยะทางไม่ถึงสามกิโลเมตร เราก็มาอยู่ตรงจุดพักแรมที่เลคุโจเรียบร้อย หากเดินเลี้ยวซ้ายจะไปดอยหงอนไก่ ส่วนเลี้่ยวขวาไปหว่าวาโจ เทือกเขาที่เห็นคล้ายๆ เขาช้างเผือกของเมืองกาญจน์นี่แหละ

ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดพักแรมที่เหมาะเจาะดีครับ มีพื้นที่ให้กางเต็นท์พอสมควร ข้อเสียเดียวคือไม่มีแหล่งน้ำ ดังนั้นเตรียมกันมาให้พอด้วย

เพราะเป็นเทรลเดินสั้นมาก เราเลยมีเวลาเหลือเฟือสำหรับการพักผ่อน รอสักห้าโมงเย็นโน่นแหละค่อยขยับร่างกายเดินไปยอดหว่าวาโจเพื่อชมพระอาทิตย์ตก

แนวสันเขาที่หว่าวาโจต้องใช้คำว่าตะลึงตึงตึงมาก เดินข้ามทีละเนิน มองทางไหนวิวก็สวย

โชคดีมากเพราะเมื่อเราถึงยอดหว่าวาโจ ท้องฟ้าที่เคยครึ้มก็เริ่มเปิดให้เห็นสีสันมากขึ้น ตรงนี้มีธงชาติปักไว้เป็นสัญลักษณ์ มองย้อนกลับไปเห็นดอยหงอนไก่สูงตระหง่าน หากมองเลยต่อไปอีกฝั่งจะมีจุดค้างแรมอีกแห่ง ใครมาเที่ยวหว่าวาโจแบบคืนเดียวไกด์จะพาไปนอนตรงนั้นครับ

เราอยู่ชมวิวที่หว่าวาโจจนเย็นย่ำ ผมเดินเลาะกลับมาตามแนวสันเขาเก็บภาพเรื่อยๆ กระทั่งแสงสุดท้ายลับลง

กิจกรรมชาวแคมป์เริ่มขึ้น ลูกหาบช่วยก่อไฟหุงข้าว ส่วนกับข้าวเป็นฝีมือของสาวๆ แม่ครัวประจำทีม พูดคุยสังสรรค์เฮฮาท่ามกลางสายลมซึ่งพัดพาความหนาวมาปะทะผิวกายเป็นระยะ อุณหภูมิสิบกลางๆ หนาวทีเดียวสำหรับปลายเดือนมกราคม


(2)

ไม่มีอะไรต้องรีบร้อนที่นี่ อยู่แม่ฮ่องสอนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นพ้นหลังเขาในฤดูหนาวต้องมีเจ็ดโมงเช้าเป็นอย่างต่ำ พวกเรานอนกันสบายแต่ก็ไม่พลาดตื่นมาเก็บภาพหว่าวาโจซึ่งได้แสงสีทองฉาบทั่วทั้งเขาไว้พอหอมปากหอมคอ

ไกด์ชาวกะเหรี่ยงนัดแนะเวลาเริ่มเดินสิบโมง นัดกันสายโด่งเพราะเส้นทางค่อนข้างสั้นใช้เวลาไม่นาน โดยวันนี้เราจะเดินผ่านดอยหงอนไก่ต่อไปยังดอยปุยหลวง ระยะทางแค่ 3 กิโลเมตร

บนเทือกเขาดอยปุยหลวงนี้มีเส้นทางเดินมากมายเต็มไปหมด เดินไปหงอนไก่สามารถลัดเลาะทางป่าด้านข้างก็ได้ แต่เพื่อความสุนทรีย์ทางสายตาเราก็ต้องเลือกเดินตรงที่วิวสวย นั่นคือไต่ขึ้นไปตามแนวสันเขานั่นยังไง เห็นทางเดินลางๆ ไหมครับ... เราจะไปตามทางนั้นแหละ

ถึงเวลาก็เก็บแคมป์แล้วเริ่มออกเดิน ทางเดินขึ้นล้วนๆ สวนทางกับสัมภาระที่คอยหน่วงเราลงมา เดินกันเป็นเลียงผาเป็นแพะภูเขานั่นเลยทีเดียว ไปเรื่อยๆ ช้าๆ ระมัดระวัง ไม่จำเป็นต้องทำความเร็ว

หากคิดว่าหว่าวาโจสวยแล้ว แนวสันเขาตอนเดินขึ้นดอยหงอนไก่กลับสวยยิ่งกว่าอีก มีบางช่วงเป็นสันคมมีดแคบๆ โดยส่วนตัวผมยกให้ที่นี่สวยกว่าเขาช้างเผือกครับ ซึ่งเพื่อนหลายคนก็บอกเช่นนั้น

จุดนี้คือไฮไลท์ของดอยหงอนไก่เลยก็ว่าได้ สันคมมีดแคบแค่ฟุตกว่า ซ้ายก็ร่วง ขวาก็ร่วง ตั้งสติเดินให้ดีล่ะ

พ้นสันคมมีดแล้วก็ถึงยอดดอยหงอนไก่ พักเหนื่อยสักแป๊บ เพราะเดี๋ยวเราจะเดินต่อไปดอยปุยหลวง อยู่อีกไม่ไกลหรอกครับแค่เขาอีกลูกเดียว (เอ๊งงง) ยอดหัวโล้นขวามือนั่นแหละคือจุดหมาย เราจะไปตั้งแคมป์กันบริเวณไหล่เขา

พอเดินใกล้ถึงปุยหลวง มองย้อนหลังจะเห็นยอดดอยหงอนไก่ที่เราเพิ่งผ่านมา

ปุยหลวงเป็นเขาหัวโล้น มีพื้นที่ลานโล่งตรงไหล่เขากว้างขวาง วันที่เราไปมีนักท่องเที่ยวเกินครึ่งร้อย แต่เพราะที่เยอะมากเลยหมดห่วงไม่รบกวนกันแน่นอน แถมไกด์ของเราจะนัดแนะจับจองที่ให้อยู่แล้วด้วยครับ

ใช้เวลาเดินจากแคมป์เลคุโจมาถึงปุยหลวงประมาณสี่ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเวลาเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ เป็นการหยุดถ่ายรูปซะมากกว่า

จัดการตั้งแคมป์ให้เรียบร้อย ที่นี่มีแหล่งน้ำด้านล่าง ลูกหาบเป็นคนจัดการให้เราครับ

รอเวลาสักใกล้ห้าโมง ไกด์ถึงเรียกรวมพลเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตก วันนี้พวกเรายังไม่ขึ้นยอด แต่เลือกไปตรงหน้าผาที่เรียกว่าเก้าชั้น (มองจากหมู่บ้านขึ้นมาจะเห็นชั้นหินเรียงกันลงมาตามแนวหน้าผาทั้งหมดเก้าชั้น) ตรงนี้วิวสวยไม่แพ้บนยอดเลยครับ

เก็บจนถึงแสงสุดท้ายกับบรรยากาศสบายๆ และสายลมแรงที่ดูเหมือนจะหนาวกว่าเมื่อวาน

กลับลงมาถึงแคมป์ก็ได้เวลามะรุมมะตุ้มรุมล้อมแม่ครัว ถามว่าช่วยอะไรไหม คำตอบคือช่วยให้กำลังใจครับ (ฮา...)

หลังกระหน่ำอาหารเย็นจนสำราญพุงเรียบร้อย ภารกิจค่ำนี้ของผมจึงเริ่มต้น นั่นคือการถ่ายดาว... บอกเลยครับว่าปุยหลวงเป็นที่ที่เหมาะกับการดูดาวอย่างมาก พื้นที่เปิดโล่งไม่มีต้นไม้บดบัง แถมวันนี้ฟ้าปลอดโปร่ง ถือเป็นอีกคืนที่ได้เห็นดวงดาวระยับทั้งฟ้า แค่นี้ก็คุ้มค่าแล้ว


(3)

ตั้งนาฬิกาปลุกหกโมงเช้า ตื่นมาด้วยสภาพเท้าเย็นเฉียบเพราะอากาศลดต่ำลงแทบแตะหลักเลขตัวเดียว วิธีคลายหนาวที่ดีที่สุดคือออกกำลังให้ตัวอุ่น เพราะฉะนั้นก่อนฟ้าสว่างเราจึงพากันถือไฟฉายใส่รองเท้าเดินขึ้นยอดปุยหลวง

ปุยหลวงมีความสูงมากกว่า 1,700 เมตร เป็นยอดเขาเปิดโล่งเห็นวิวรอบทิศ 360 องศา ลมแรงเกือบตลอดเวลา นั่นทำให้โอกาสเห็นทะเลหมอกมีค่อนข้างน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องความสวยของแสงเช้าและแสงเย็นคือเลิศเลอเฟอร์เฟกต์

เช้าวันอาทิตย์ ปุยหลวงค่อนข้างคึกคัก อย่างที่บอกครับว่ามีนักท่องเที่ยวค้างแรมตามจุดต่างๆ รวมกันไม่ต่ำกว่า 50 คน ตอนเช้าทุกคนต่างขึ้นมาบนยอดเกือบหมด มองอีกมุมก็น่ายินดีที่บรรยากาศการท่องเที่ยวกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

บนยอดปุยหลวงมีหมุดและป้ายของทหารเสือราชินีหลายป้าย เพราะป่าบริเวณนี้เป็นจุดฝึกของทหารเสือราชินี (กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์) มาฝึกความทรหด ยุทธวิธี และวิธีเอาตัวรอดในป่า ช่วงโควิดสองปีที่ผ่านมาภารกิจนี้ยกเลิกไป ในอนาคตไม่รู้จะมีมาฝึกกันอีกไหม

มีทะเลหมอกในหุบไกลๆ สองสามหย่อม แอบคุยกับไกด์เล่นๆ ว่าคราวหน้าพาไปตรงนั้นหน่อยสิ ไกด์บอกว่าโอเคครับไว้หาเส้นทางไปเปิดดอยใหม่ให้ (ฮา...)

มองลงไปจุดตั้งแคมป์ของเรา จะเห็นภูเขาที่อยู่ตรงกลางด้านหลังของสองยอดคู่เล็กๆ นั้นคือดอยเลอเปอเฮอ มีจุดชมวิวสวยอย่าง สะเงาะ เลโจ๊ะ เป็นอีกจุดหมายที่ผมตั้งใจมาเก็บให้ได้คราวหน้า เดินเท้าจากปุยหลวงไปนี่แหละ ปกติเดินกัน 5 วัน 4 คืน

ได้เวลาสมควรพวกเราก็โบกมือลายอดปุยหลวงกลับลงไปทำอาหารเช้า เก็บแคมป์ให้เรียบร้อย ที่นี่นักท่องเที่ยวเยอะเพราะฉะนั้นรบกวนจัดการเรื่องขยะให้เรียบร้อย อย่ามาเป็นภาระชาวบ้านที่นี่เลยนะ

สิบโมงตรงพร้อมขึ้นเป้ วันนี้เราจะเดินลงตามทางเส้นหลักที่ไปบ้านห้วยฮี้ (คราวก่อนผมขึ้นจากทางนี้) ระหว่างทางผ่านบ้านพักนักท่องเที่ยว ซึ่งชุมชนห้วยฮี้สร้างไว้ ใครอยากมาพักติดต่อทางหมู่บ้านโดยตรงเลย

ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นกับทางลงประมาณ 2 กิโลเมตร ถึงข้างล่างเห็นกำลังมีการก่อสร้างอาคารอะไรใหญ่โตเชียว สอบถามช่างได้ความว่าเป็นสำนักงานของอุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ พร้อมมีห้องน้ำ ด่านตรวจ เสร็จสรรพ

อุทยานฯ จะเข้ามาดูแลเองหรือ จะมาวางระเบียบใหม่หรือ จะมีระเบียบยังไงแบบไหน แล้วชาวบ้านล่ะจะเป็นอย่างไร... ต้องติดตามกันต่อไปแหละนะ

นั่นแหละครับทริปเดินป่าดอยปุยหลวงครั้งที่สองของผม เส้นทาง หว่าวาโจ-หงอนไก่-ปุยหลวง เวลา 3 วัน 2 คืน ถือเป็นเส้นที่สวยและเดินไม่ยาก เหมาะกับมือใหม่ เหมาะกับคนเพิ่งเริ่มแบกเป้ ที่สำคัญยังมีไกด์ชาวกะเหรี่ยงและลูกหาบคอยดูแลตลอดทริปอย่างดี

บอกตามตรงว่าไม่รู้เหมือนกันในอนาคตที่นี่จะเป็นอย่างไร หรือมีระเบียบการท่องเที่ยวเพิ่มเติมอย่างไร แต่ไม่ว่าเป็นแบบไหน ผมคงต้องหาทางกลับมาอีกครั้งแน่นอน มาให้นานขึ้น เดินให้นานขึ้น เห็นให้นานขึ้น เพื่อรู้จักที่นี่ให้มากกว่าเดิม...


ข้อมูลท่องเที่ยว หว่าวาโจ-หงอนไก่-ปุยหลวง

  • อยู่เขตอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ห่างจากตัวเมือง 30 กิโลเมตร
  • เปิดฤดูท่องเที่ยวระหว่าง ตุลาคม - กุมภาพันธ์
  • เส้นทางเดินทั้งทริปประมาณ 8 กิโลเมตร
  • มีจุดตั้งแคมป์ที่ปุยหลวง หงอนไก่ เลคุโจ หว่าวาโจ
  •  ใช้เวลา 1 คืน หรือ 2 คืน ตามความสะดวก
  • หรือเลือกเที่ยวเพียงดอยใดดอยหนึ่งก็ได้
  • มีแหล่งน้ำแห่งเดียวที่แคมป์ปุยหลวง ลูกหาบจัดการให้
  • มีสัญญาณโทรศัพท์ AIS True ทุกดอย แต่สัญญาณดีเฉพาะพื้นที่

ติดต่อท่องเที่ยว หว่าวาโจ-หงอนไก่-ปุยหลวง

  • ติดต่อคุณลอง 0840406210
  • ค่ารถกระบะ รับ-ส่ง 3,500 บาท
  • ค่าไกด์ท้องถิ่น 1,000 บาท ต่อวัน
  • ค่าลูกหาบ 800 บาท ต่อวัน
  • ค่าบำรุงหมู่บ้านคนละ 30 บาท
  • ค่าใช้สถานที่ ห้องน้ำ (บ้านเคียงดอย) คนละ 20 บาท

ติดตามเรื่องราวการท่องเที่ยวเดินทางของผมได้อีกช่องทาง
https://www.facebook.com/alifeatraveller

นายสองสามก้าว / A Life, A Traveller

 วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2565 เวลา 16.48 น.

ความคิดเห็น