ฝาง เมืองที่อยากไปซักครั้งเหลือเกิน

จะมีกี่จังหวัดในประเทศนะที่เราจำชื่ออำเภอในจังหวัดนั้นได้เกือบหมด
เราเชื่อว่า เชียงใหม่เป็นหนึ่งในไม่กี่จังหวัดที่ คนภายนอกสามารถจำชื่ออำเภอ
ของที่นี้ได้พอๆกับเป็นบ้านตัวเองเลยมั้ง

ฝาง อำเภอที่อยู่ห่างมาจากโซนท่องเที่ยวชื่อดังของเชียงใหม่
ที่ต้องใช้เวลากว่า 4 ชม.ในการนั่งรถมา สำหรับเราที่ไม่มีรถส่วนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จู่ๆจะได้มาฝาง
หลังจากกลับมาจากปางอุ๋งซึ่งรอบนี้เรามากับวิน 2 คน และมีเวลาเหลือที่จะเที่ยวต่อ
ฝางจึงเป็นที่ๆเราอยากมาเห็นด้วยตาตัวเองเหลือเกินว่ามันเป็นยังไงกันนะ


เส้นทางการเดินทาง

ขนส่งช้างเผือก - ฝาง – ม่อนสน - บ้านขอบด้ง – สถานีเกษตรหลวงดอยอ่างขาง - ไร่ชา 2000 – ยอดดอยอ่างขาง - ม่อนสน - บ่อน้ำพุร้อนฝาง - เชียงใหม่

ปกติเวลาเราไปเที่ยวคนเดียวเราก็จะเน้นคล่องตัวที่สุด อยากไปไหนก็ไป อยากเข้าหาใครก็เข้า แต่รอบนี้เจ้าวินมาด้วย แรกๆก็กลัวนะว่าวินมันจะโอเคป่าววะ แต่ก็คุยไปแล้วแหละอยากเที่ยวแบบหนีเที่ยวนะ มันก็จะ
อิลุงตุงนังหน่อยนะ >< วินก็โอเคดีล ไม่สนอยากเที่ยวอย่างเดียว

พวกเดินทางจากเชียงใหม่โดยไปขึ้นรถตู้ที่ขนส่งช้างเผือกรอบแรกเลย เพราะมันใช้เวลานาน เลยอยากไปถึงฝางไวๆ 4 ชม.บนรถตู้เอาจริงๆไม่นานเลย เพราะเรานอนดึกเลยหลับกับแบบแทบสลบ รู้ตัวอีกทีถึงฝางแล้ว

มอเตอร์ไซค์เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้แน่นอน เราก็ได้นัดพี่อ้อมเจ้าของมอเตอร์ไซค์เช่าที่ฝางไว้ 11:00
พี่อ้อมใจดีมากอาสาขับรถมาจากไชยปราการ เพื่อเอามอเตอร์ไซค์มาให้เราที่ขนส่ง และให้ลูกสาวมารับกลับบ้าน แถมยังแนะนำเราหลายๆอย่างอีกด้วย ความรู้สึกที่ได้รับสิ่งดีๆตั้งแต่เริ่มเดินทางแบบนี้แหละ
มันทำให้เราเริ่มหลงไหลในเมืองนี้


ยิ่งสูงยิ่งชัน ยิ่งสูงยิ่งหนาว แต่ยิ่งสูงก็ยิ่งสวย

หลังจากลาพี่อ้อมพวกเราก็วนในฝางกันรอบนึงเพื่อดูเมืองรอบๆ และมุ่งหน้าไปที่ทางไปดอยอ่างขางทันที
เส้นทางขึ้นดอยอ่างขางไม่ไกลจากตัวเมืองฝางมาก ถนนก็ดี ขับไปประมาณ 15 นาทีก็ถึงปากทางขึ้นดอย
ตลอดเส้นทางนั้นถนนดีมาก ขับง่าย แต่พอเริ่มหลุดจากชุมชนเท่านั้นล่ะ การขึ้นเขาที่สูงแต่ทางมันสั้น
แน่นอนมันต้องชันแน่ๆ เราขับเกียร์ 1-2 ตลอดทางจนวินที่นั่งข้างหลังร้องทุกครั้งที่เปลี่ยนเกียร์กระชากรถขึ้นให้มีกำลัง สงสัยอิวินไม่เคยซ้อนมอไซค์ขึ้นเขาแน่ๆ 55555

อากาศตั้งแต่เริ่มขึ้นเขามันเหมือนเรากำลังเหินขึ้นไปในก้อนเมฆอ่ะ เริ่มหนาวเย็น ภูมิประเทศมันเป็นเหมือนหุบเขากับชันขึ้นอย่างเดียว ได้กลิ่นไหม้จากผ้าเบรกของรถที่ขับสวนลงไปตลอดทางเลย 

แต่ต้องยอมรับเลยว่าวิวสวยมากกก แสงแดดที่ตัดผ่านไอน้ำสลับกับถนนเส้นทางโค้งรูปปตัว U กับต้นดอกพญาเสือโคร่ง แน่นอนเราต้องจอดเลยล่ะ และนี่แหละข้อดีของมอเตอร์ไซค์ ที่มันจอดทางแบบนี้ได้ เพราะถ้าเป็นรถอื่นมันคงไม่ได้จอดในท่าที่กำลังจะไถลลงเขาได้แน่ๆ ทำให้เราได้มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศระหว่างทางขึ้นแบบเต็มๆเลยล่ะ


ถึงแล้วลานกางเต็นท์ ม่อนสน

หลังจากขับผ่านโค้งสุดชันของดอยอ่างขางมาได้ จะถึงลานกางเต็นท์ม่อนสน ของอุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก พวกเราก็ตั้งใจจะมากางเต็นท์นอนกันที่นี่แหละ แต่ด้วยสไตล์เที่ยวแบบพวกเราที่ไม่ใช่สายแคมป์ปิ้ง จึงไม่มีอะไรมานอกจากเต็นท์เลย 

ในใจเราแอบกังวลว่าคืนนี้จะรอดมั้ยเนี่ย เพราะม่อนสนเหมือนตั้งอยู่ในหน้าผาที่ปกคลุมด้วยเมฆ ลมพัดแรงตลอดเวลา มีไอหน้าวิ่งให้เห็นต่อหน้าเลย ถ้าคืนนี้เราพักที่นี่ด้วยยเต็นท์ของเรา มีหวังนอนๆอยู่น้ำท่วมเต็นท์แน่ๆ น้ำค้างที่นี่น่าจะแรงมากเลยล่ะ

เรากับวินไปจ่ายค่าบริการ สอบถามคนแถวนั้นหาอุปกรณ์ที่พอเอาตัวรอดได้ ก็โชคดีที่มีให้เช่าหลายอย่าง
รวมถึงยังมีผ้าใบที่ร้านค้าให้เช่าอีกด้วย ต้องบอกเลยว่าม่อนสนเป็นจุดกางเต็นท์ที่พร้อมจริงๆ
จุดที่พวกเราเลือกกางเต็นท์นั้นเป็นจุดที่เหมือนลานไม้ และมีที่ว่างอยู่พอดีทำให้เรา

เลือกตรงนั้นเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องพื้นเปียก แถมวิวม่อนสนตรงนั้นก็สุดยอดอีกด้วย


บ้านขอบด้ง ไร่สตรอว์เบอรี่สุดกว้าง

หลังจากเราเก็บของเสร็จพวกเราหิวมาก เลยตกลงกันว่าจะไปเที่ยวหมู่บ้านต่างๆบนดอยอ่างขาง
แล้วค่อยไปหาอะไรกิน พวกเราออกจากม่อนสนทันทีหลังจากหาที่พักพิงคืนนี้เรียบร้อยแล้ว เราขับไปต่อตามป้ายบอกทางเส้นทางบนดอยอ่างขางวิวดีมาก ต้นพญาเสือโคร่งเต็มเลยล่ะ ที่นี่คือที่แรกที่ทำให้เราเห็น
ดอกพญาเสือโคร่ง ขนาดเป็นผู้ชายนะเนี่ย ยังตื่นเต้นเลย 555

“ วินๆข้างหน้าๆสตรอว์เบอรี่เว้ย อยากกินๆ ” พวกเราเจอกับพี่ชาวมูเซอและลูกๆนั่งถักสร้อยข้อมือถักเอง
และขายสตอรว์เบอรี่ที่เก็บใหม่ๆจากสวนให้นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมา 

เราพูดคุยกับพี่เค้านานเลยอุดหนุนสตรอว์เบอรี่พี่เค้าไว้ด้วย 

แถมพี่เค้ายังให้เราชิมบัวหิมะอีก เอาจริงตอนแรกนึกว่าบัวหิมะหน้าตามันจะเป็นเม็ดอะไรๆซักอย่าง ที่ไหนได้หน้าตาเหมือนหัวมันเลย 
ลองกินดูให้ความรู้สึกเย็นได้น่าประหลาดใจสมชื่อมาก มันสดชื่นอ่ะ อร่อยดีนะ

ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ใหม่นี้นะ อุ๊ย่ะห์ (คำที่น้องชาวเขาพูดให้พวกเราฟังจนติด55555)


ร่างกายมันอยากเดิน ไปยอดเขากันวิน!

ดอยอ่างขางมีสถานที่อีกมากให้ไปเยี่ยมชมเลยแหละ ไร่ชา2000 สถานีวิจัยเกษตร บ้านนอแล
แต่ด้วยเวลาที่จำกัดพวกเราจึงตกลงกันว่าวันนี้อยากเดินขึ้นยอดดอยอ่างขาง อยากใช้เวลาตอนเย็นกับที่นั่น จึงทำให้เราเลือกเดินทางกลับไปยังจุดขึ้นยอดดอยอ่างขาง ใกล้ๆกับที่พัก พร้อมกับสตอรว์เบอรี่ที่ซื้อมา

เส้นทางขึ้นไปยอดดอยนั้นแค่ 200 m. แต่เป็น 200 m. ที่เหนื่อยจัดพอเดินพ้นป่ามาได้ซักพักจะออกมาเจอทางขึ้นแบบเดินไต่เขา ด้วยรองเท้าแตะของพวกเราที่ทำเอาเจ้าวินลื่นไปหลายนอบเลย แต่บอกเลยนะว่าตอนนั้นถึงจะเหนื่อยมากแค่ไหน หันกลับไปมองทางด้านหลังคือสวยมากก ทำเอาหายเหนื่อยเลยล่ะ


ช่วงเวลาที่มีค่า นั่งกินสตอรว์เบอรี่ดูพระอาทิตย์ตกดิน

หลังจากที่เราเหน็ดเหนื่อยกว่าครึ่งชม. เราก็มาถึงยอดดอยอ่างขาง 1928 m. จากระดับน้ำทะเล
เป็นที่แรกเลยที่ให้ความรู้สึกเราแบบยืนอยู่ในกลุ่มเมฆ 

ในเวลาไม่กี่นาที ไม่น่าเชื่อว่าวิวตรงหน้าจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนเรารู้สึกว่าเวลามันเดินไปเร็วมากและที่ทำให้เราสองคนอินยอดดอยมากๆคือ ที่นั่นไม่มีคนเลย ไม่แน่ใจเหมือนกันทำไมคนถึงไม่ขึ้นกันมาเนอะ 
เราก็นั่งกินสตรอว์เบอรี่ ที่ซื้อมาจากบ้านขอบด้ง

ดูพระอาทิตย์ตกดิน ก่อนจะลงมาหลังสิ้นแสงสุดท้ายของวันไปกับกลุ่มเมฆที่หนาคลุ้งทั้งวัน
บอกเลยว่าถ้าเราไม่ได้ขึ้นไปคนไม่รู้สึกทริปนี้ครบรสแน่นอน


แสงแรกของม่อนสนยามเช้าที่ถูกล่ำลือ

หลังจากลงมาจากยอดดอยก็ต้องมาเป็นผู้ประสบภัยหนาวต่อกันที่ม่อนสน ลมที่พัดหอบเอาไอน้ำมาตลอดคืนกับอุณหภูมิตัวเลขหลักเดียวที่ลอดผ่านเต็นท์ของเรามา ทำให้เรานอนกันแบบหลับๆตื่นๆทั้งคืน

เช้ามืดเราต้องหนีออกจากเต็นท์ไปนั่งเฝ้าเตาผิงของร้านค้าเพราะหนาวจนต้องหาอะไรอุ่นๆให้ร่างกาย
เพื่อรอเวลาที่แสงอาทิตย์จะสาดส่องมายังม่อนสนแห่งนี้ ภาพที่เคยเห็นจากรีวิวมายังไงก็ไม่เท่าดวงตาที่

มองแสงสีส้มที่ปลาขอบฟ้า ลมหนาวที่พัดเขาหน้าตลอดเวลา ณ ลานชมวิวของม่อนสน ภาพยามเช้าและช่วงเวลาที่บ่งบอกเราว่า มันกำลังเริ่มต้นวันใหม่ บรรยากาศตอนนั้นคงตราตรึงพวกเราไปอีกนาน


เรื่องราวบนดอยอ่างขาง เที่ยวกับเพื่อนแต่ก็ยังเจอเพื่อนใหม่ได้เนอะ

ทุกครั้งที่ไปเที่ยวเราจะเจอกับเหตุการณ์หลายอย่าง ทั้งจากสิ่งรอบตัว ผู้คน หรือแม้แต่เพื่อนร่วมทางเอง
คราวนี้ก็เหมือนกัน การได้ไปสัมผัสวิวยามเช้ากับพี่ๆที่พาลูกมาเที่ยวม่อนสน
แก็ง 3 แตง แตงโม แตงไท แตงกวา (เค้าบอกว่าเค้าชื่อนี้กัน ><)

ช่วงที่เราเก็บเต็นท์อยู่นั้นได้เจอกับพวกเค้า พวกเราได้พูดคุยแซวเล่นกัน จนรู้ว่าน้องๆมาฝึกงานที่นี่ กับพวกเราที่มากางเต็นท์ในจุดที่น้องบอกไม่เคยมีใครมากางแบบพวกพี่นะ
และอิวินก็สนุกใหญ่เลย ตีเนียนคุยกับน้องไม่มาช่วยเราเก็บเต็นท์ มันร้ายจริงๆ

โม้เม้นท์แบบนี้แหละที่ทำให้การเดินทางของเรามีรสชาติ บทสนทนาที่เราต่างจดจำได้ว่า ครั้งหนึ่งเราเคยเจอกัน ณ ที่แห่งนี้ เมื่อเวลาที่เรานึกถึงม่อนสนก็จะคิดถึงพวกเค้าด้วย : )


ติดใจซะแล้วสิฝาง จะต้องกลับมาอีกแน่นอน

ช่วงเวลาเที่ยวฝางเรามีจำกัด ถึงแม้ว่าจะได้มาแค่ดอยอ่างขาง แต่ก็อัดแน่นไปด้วยเรื่องสนุกๆกับวิน คนที่เราก็ไม่คิดว่าวันนึงเราจะได้มีโอกาสมาเที่ยวกันแบบนี้ เราอาจจะมีเทสบางอย่างที่ตรงกัน อินกับวิวระหว่างทางไปเรื่อยๆ ตะโกนให้กับหมอกอัดเข้าหน้าบ้าง จู่ๆไปเดินบนทุ่งของชาวบ้านบ้าง หรือแม้แต่ไปเดินขึ้นเขาเหงาๆกัน 2 คนบ้างก็ไม่เกี่ยง ก็ถ้าจะมองพวกเราเป็นปุ่มอะไรซักปุ่ม คงเป็นปุ่มที่ไว้คอยเปิดรับสิ่งใหม่ๆ หาอะไรใส่ให้ชีวิตไปเรื่อยแหละ นี่คงเป็นนิยามของเจ้าวินเวลาเดินทางกับเราล่ะมั้ง

ถึงแม้ว่าวันนี้เราจะต้องเดินทางกลับจากฝางแล้วก็ตาม แต่ใจเรายังคงปักหมุดอยู่ที่นี่ มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากจะมาซึบซับเมืองแห่งนี้ แล้ววันนึงเราจะได้กลับมาเยือนอีกแน่นอน “ฝาง”

เขียนโดย ป.ปลาตัวกลม

ติดตามเรื่องราวของพวกเราได้ที่

Facebook : เหนียวที่ พี่น้อง
Instagram : nt_phinong
youtube : https://www.youtube.com/channe...

nnatsu roll

 วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 22.33 น.

ความคิดเห็น