เชื่อแน่ว่าหลายคนต้องสงสัยว่าจังหวัดสระแก้วมีอะไรน่าเที่ยวบ้าง นอกจากตลาดโรงเกลือ? เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ 5555 ตอนแรกเราเองก็นึกไม่ออกหรอกว่าถ้าไปเที่ยวจังหวัดสระแก้วแล้วจะไปเที่ยวที่ไหนได้บ้าง แต่พอได้ไปเที่ยวทริป “ไปสระแก้ว...แล้วจะทำไม” (ตั้งชื่อทริปได้กวนมาก >//<) แล้วก็ถือว่าจังหวัดนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเช่นเดียวกับจังหวัดอื่นเหมือนกันนะ แม้ว่าจะมีสถานที่ท่องเที่ยวไม่เยอะก็ตาม คิดซะว่าไปพักผ่อนเพื่อเปิดหูเปิดตาดูโลกกว้างหลังจาก Work From Home ล่ะกันเนอะ อารัมภบทมาเยอะแล้ว ตามเรามาเลยดีกว่าว่า...ทริปนี้ เราไปเที่ยว กิน นอนที่ไหนกันมาบ้าง? ^^
พอมาถึงจังหวัดสระแก้ว แถบอรัญประเทศแล้ว ก็ต้องแวะไปกินอาหารกลางวันเพื่อเพิ่มพลังกันก่อนที่ “ร้านอาหารเวียดนามยายเต็ม” ค่ะ ซึ่งร้านอาหารแห่งนี้บอกเลยว่ามีมุมให้ถ่ายรูปสวย ๆ เพียบ เนื่องจากมีการตกแต่งข้าวของโบราณที่ชวนให้นึกถึงวันเก่า ๆ ยุคเก่า ๆ ทำให้บรรยากาศภายในร้านมีลักษณะคล้าย ๆ พิพิธภัณฑ์มากกว่าร้านอาหารนั่นเองค่ะ
ก่อนเข้าไปกินอาหารที่ร้านก็ต้องล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์และพ่นฆ่าเชื้อโควิดกันก่อนค่ะ
พอเข้าไปในร้านแล้วก็ต้องรีบถ่ายรูปก่อนเลย เดี๋ยวจะลืม อีกอย่างไม่อยากถ่ายภาพติดคนด้วย 55555 บอกเลยว่ามุมถ่ายรูปเพียบ เหมือนมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์มากกว่ามากินอาหารอีกค่ะ 😅😅😅
หลังจากถ่ายรูปตามมุมถ่ายรูปที่เป็นของตกแต่งโบราณแล้วก็ถ่ายรูปบรรยากาศภายในร้านกันบ้างดีกว่าค่ะ
ถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็เดินไปกินอาหารกลางวันค่ะ ซึ่งอาหารที่สั่งไปรอบแรกก็มี 4 อย่างด้วยกัน คือ บั้นหอย (เส้นหมี่หน้าหมู), หยอยก๊วง (ปอเปี๊ยะสด), แหนมเนือง (หมูย่าง), บั้นแส่ว (ขนมเบื้องญวน) ค่ะ พอกินไปสักพัก รู้สึกยังไม่อิ่มมากนักก็เลยสั่ง “ยำหมูยอญวน” เพิ่ม บอกเลยว่าจานนี้เผ็ดสุด กินแล้วน้ำหูน้ำตาไหลเลย 5555 สำหรับจานที่เราคิดว่าอร่อยสุดน่าจะเป็น “บั้นแส่ว (ขนมเบื้องญวน)” ค่ะ
หลังจากกินอาหารกลางวันแล้วก็นั่งรถต่อไปยัง “อ่างเก็บน้ำท่ากระบาก” ค่ะ ซึ่งอ่างเก็บน้ำท่ากระบากเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดำริของพ่อหลวง รัชกาลที่ ๙ ที่ต้องการปรับปรุงระบบชลประทานในเขตพื้นที่ราบเชิงเขา เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้น้ำในการอุปโภค บริโภค รวมไปถึงการทำเกษตรกรรมได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปีนั่นเองค่ะ
นอกจากอ่างเก็บน้ำท่ากระบากจะเป็นแหล่งน้ำสำคัญของเกษตรกรแล้ว ที่นี่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม เนื่องจากบริเวณโดยรอบรายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ทั้งแบบที่ขึ้นเองตามธรรมชาติและปลูกเป็นไม้ยืนต้นหรือไม้ประดับ เหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจอย่างยิ่งค่ะ แถมมีกิจกรรมให้เลือกทำมากมายอีกด้วย เช่น การเล่นน้ำ, การปั่นเรือหงส์ และการนั่งกินลมชมวิวสวย ๆ ของภูเขาและอ่างเก็บน้ำอย่างชิลล์ ๆ ที่ซุ้มศาลาริมน้ำ ส่วนใครเป็นสายถ่ายรูป ต้องห้ามพลาดชมและแชะถ่ายภาพพระอาทิตย์ยามเย็นใกล้ลาลับขอบฟ้า โดยเฉพาะช่วงที่ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีทองเหนือผืนน้ำขนาดใหญ่ในอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ เรียกได้ว่าแทบอยากจะหยุดช่วงเวลานี้ไว้จริง ๆ ค่ะ 😊😊😊
จากนั้นก็นั่งรถเพื่อเดินทางต่อไปยัง “ละลุ” ค่ะ ซึ่งการเดินทางไปยัง “ละลุ” นั้นจะต้องจอดรถส่วนตัวบริเวณลานจอดรถหน้า “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว “ละลุ”” และต้องใช้รถนำเที่ยวที่เป็นรถอีแต๊กของชาวบ้านเท่านั้นค่ะ โดยคิดคันละ 200 บาทในช่วงเวลาปกติค่ะ แต่หากต้องการดูดาวในช่วงกลางคืนก็จะคิดคันละ 300 บาท (สามารถนั่งรถได้คันละประมาณ 6-10 คน) แต่จะไม่อนุญาตให้ขับรถส่วนตัวเข้าไปภายในละลุนะคะ เพราะหากขับรถส่วนตัวเข้าไปจะทำให้ชั้นดินในบริเวณนั้นเกิดการพังทลายและยุบตัวจนทำให้ละลุเกิดความเสียหายได้ค่ะ
“ละลุ” เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่น่ามหัศจรรย์ของจังหวัดสระแก้วที่ได้รับสมญานามให้เป็น “แกรนด์แคนยอนแห่งภาคตะวันออก” ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านเนินขามและบ้านคลองยาง ตำบลทัพราช อำเภอตาพระยาค่ะ
คำว่า “ละลุ” นั้นเป็นภาษาเขมรที่แปลว่า “ทะลุ” อันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากน้ำฝนกัดเซาะ ยุบตัว หรือพังทลายของดิน เนื่องจากสภาพดินแข็งจะคงอยู่ ไม่ยุบตัว เมื่อถูกลมกัดกร่อนจึงมีลักษณะเป็นรูปต่าง ๆ คล้ายกำแพงเมือง หน้าผา บ้างก็มีลักษณะเป็นแท่ง ๆ คล้าย “แพะเมืองผี” จังหวัดแพร่ แต่มีขนาดเล็กกว่าและมีพื้นที่กว้างกว่า 2,000 ไร่
พอเที่ยวชมละลุแล้วก็เดินทางต่อไปยังโรงแรม “The VELO'S Hotel and Pumptrack” เพื่อเช็กอินเข้าที่พักค่ะ ซึ่งโรงแรมแห่งนี้เป็นโรงแรมที่มีแนวคิดจักรยานเต็มรูปแบบแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ห่างจากตลาดโรงเกลือ 7 กิโลเมตร ในอำเภออรัญประเทศค่ะ โดยด้านหน้าโรงแรมก็จะเป็นลานสำหรับปั่นจักรยาน เหมาะสำหรับนักปั่นจักรยานอย่างแท้จริง แต่ถ้าใครจะนำสเกตบอร์ดมาเล่นก็ไม่ว่ากันค่ะ
เมื่อเข้ามาข้างใน Lobby ของโรงแรมเพื่อเช็กอิน หน้าประตูก็จะมีจุดวัดอุณหภูมิและเจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือค่ะ ถึงจะมาเที่ยวข้ามจังหวัด แต่เราก็ต้องการ์ดอย่าตก ป้องกันตัวสุดฤทธิ์ไม่ให้ติดโควิด เพื่อตัวเองและคนในครอบครัว หรือคนในบ้านค่ะ ^^
พอเช็กอินเสร็จแล้วก็ถ่ายรูปบริเวณ Lobby สักหน่อย ซึ่ง Lobby ของโรงแรมก็จะตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น คือ มีทั้งเคาน์เตอร์เช็กอิน-เช็กเอาท์, เก้าอี้โซฟาให้นั่งพัก, ตู้ไอศกรีม, ตัวอย่างจักรยานทั้งของเด็กและแบบ BMX ของผู้ใหญ่สำหรับตั้งโชว์ข้างโซฟาค่ะ โดยจุดเด่นอยู่ที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ที่นำ Accessories ของจักรยานมาตั้งวางโชว์ด้วย ที่สำคัญ Accessories เหล่านี้ยังสามารถใช้งานได้จริงค่ะ
ถัดจาก Lobby ของโรงแรมก็จะเป็นห้องอาหารค่ะ
ระหว่างทางเดินเข้าไปยังห้องพักก็จะมีกิมมิกเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างลายเส้นจักรยานและข้อความคำว่า “Start” กับ “Pit Stop” บริเวณหน้าห้อง เรียกได้ว่าเอาใจนักปั่นจักรยานแบบสุด ๆ เลยค่ะ ^^
พอเข้าไปในห้องพัก ห้องพักก็ยังตกแต่งด้วยธีมจักรยาน เรียบง่ายแต่ดูดีสุด ๆ แถมภายในห้องพักก็ยังกว้างขวาง มีพื้นที่ใช้สอยเยอะมาก ซึ่งห้องพักของเราเป็นแบบเตียงเดี่ยว 2 เตียง และเพิ่มเตียงเสริมอีก 1 เตียง (คิดค่าบริการเพิ่มประมาณ 500 บาทค่ะ) โดยหัวเตียงตกแต่งเป็นนักปั่นจักรยาน พร้อมโลโก้ สามารถส่องแสงสว่างได้เวลาเปิดไฟ และซี่ล้อรถจักรยานก็ดัดแปลงเป็นโคมไฟข้างเตียงด้วย นอกจากนั้นภายในห้องยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ แบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงาน, กาต้มน้ำ, ตู้เย็น, ตู้เซฟ, โทรทัศน์จอแบน, ที่วางกระเป๋า และอื่น ๆ อีกมากมายค่ะ
ที่สำคัญเลยก็คือ มีอ่างล้างหน้าแยกอยู่นอกห้อง และห้องน้ำกับห้องอาบน้ำแยกห้องกันด้วย เวลาที่จะล้างหน้าแปรงฟันก็ไม่ต้องรอคนในห้องน้ำให้เสียเวลา ส่วนห้องอาบน้ำก็มีขวดปั๊มแบบติดผนังสำหรับใส่สบู่เหลวและแชมพูแบบแยกช่องกันค่ะ แต่มีข้อตำหนินิดหนึ่งตรงที่ประตูห้องอาบน้ำกับห้องน้ำเป็นประตูบานสไลด์แบบบานเดียวกัน สุดท้ายก็ต้องใช้ห้องน้ำหรือห้องอาบน้ำทีละคนอยู่ดี 😑😑😑 (ทั้งนี้ห้องพักแต่ละห้องก็มีรูปแบบ, การตกแต่ง และราคาแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของห้องพักค่ะ)
หลังจากพักจนหายเหนื่อยแล้วก็ออกไปกินอาหารเย็นค่ะ แต่ก่อนจะไปขึ้นรถก็แวะถ่ายรูปรอบโรงแรมซะหน่อย ซึ่งโรงแรมแห่งนี้จะมีสระว่ายน้ำแบบทางยาว คือยาวตั้งแต่ Lobby ไปจนถึงระเบียงห้องพักริมสุดค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเครื่องเล่นอย่างน้ำพุเห็ดกับสไลเดอร์ให้เล่นอย่างสนุกด้วยค่ะ (ห้องพักไหนที่มีระเบียงติดขอบสระว่ายน้ำก็สามารถลงสระว่ายน้ำได้อย่างสบายเลย ดีงามสุด ๆ)
พอถ่ายรูปรอบโรงแรมแล้วก็นั่งรถไปยังร้านอาหารค่ะ ตอนแรกจะไปกินที่ร้าน “ครัวเจ๊โส่ย” เพราะตั้งใจว่าจะไปกินกระเฉดไฟแดงกับไก่ครีมมะนาวโดยเฉพาะ แต่เสียดายที่ร้านปิด เนื่องจากมีคนเหมากินทั้งร้าน น่าจะเป็นงานเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่างนี่แหละ จึงไปกินที่ร้าน “ยายต๊ามอาหารเวียดนาม” แทนค่ะ ซึ่งร้านนี้เป็นร้านอาหารเวียดนามร้านแรกในอรัญประเทศ และมีแค่ร้านเดียวไม่มีสาขานะคะ โชคดีมากที่ร้านยังไม่ปิด ได้เป็นลูกค้าโต๊ะสุดท้ายด้วย ถ่ายรูปรีวิวร้านได้อย่างสบาย ไม่ติดคนค่ะ 5555
ก่อนจะสั่งอาหารก็ถ่ายรูปบรรยากาศภายในร้าน เพื่อรีวิวร้านในแอปฯ วงในและเขียน Blog ก่อนค่ะ เดี๋ยวจะลืม 😁😁😁 ต้องบอกเลยว่าเป็นร้านอาหารเวียดนามในจังหวัดสระแก้วที่เราประทับใจที่สุด เพราะนอกจากบรรยากาศภายในร้านจะสะอาด ปลอดโปร่งโล่งสบายแล้ว อาหารยังอร่อยทุกเมนูอีกด้วย ไม่ว่าจะสั่งเมนูไหนก็อร่อยสุด ๆ ค่ะ ที่สำคัญราคาถูกจนน่าตกใจ คุ้มค่าที่ได้มากิน แถมการบริการยังดีมากอีกด้วยค่ะ 👍👍👍
อาหารที่เราสั่งไปก็จะมีจ๋าหย่อ (ปอเปี๊ยะทอด), บั๊นกัน (ก๋วยจั๊บญวน), ไข่กระทะที่เป็นอาหารชุด กินคู่กับขนมปังและโอวัลตินร้อน (เครื่องดื่มมีให้เลือกระหว่างกาแฟร้อนกับโอวัลตินร้อน), บั๊นก๊วน (ปากหม้อเวียดนาม) และกุ้งพันอ้อยค่ะ
หลังจากกินอาหารคาวแล้วก็ต้องปิดท้ายด้วยขนมหวานอย่าง “ปอเปี๊ยะกล้วยหอมชีส ดิป ช็อก” ที่เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมลูกเล็ก ๆ บอกเลยว่าอร่อยสุด ๆ
วันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าแบบ Buffet และเช็กเอาท์ที่โรงแรมแล้วก็มุ่งหน้าต่อไปยัง “อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม” หรือรู้จักกันในชื่อ “ปราสาทสด๊กก๊อกธม” ค่ะ ซึ่งปราสาทสด๊กก๊อกธมตั้งอยู่ที่บ้านหนองเสม็ด ตำบลโคกสูง อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว นอกจากปราสาทแห่งนี้จะเป็นปราสาทขอมโบราณที่สำคัญของจังหวัดสระแก้วแล้ว ยังเป็นปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกอีกด้วยค่ะ สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14-15 สำหรับใช้ในการประดิษฐานรูปเคารพและการประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดูค่ะ
แต่ก่อนชาวบ้านในท้องถิ่นเรียกว่า “ปราสาทเมืองพร้าว” แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นชื่อทางการว่า “ปราสาทสด๊กก๊อกธม” ค่ะ ซึ่งชื่อปราสาท “สด๊กก๊อกธม” นั้นเป็นชื่อที่ค่อนข้างแปลกหูและเรียกยากไปสักหน่อย เนื่องจากเป็นภาษาเขมรที่แปลว่า “ปราสาทที่มีต้นกกขึ้นรกทึบในหนองน้ำใหญ่” (สด๊ก หรือ “สด๊อก” แปลว่า รกทึบ, “ก๊อก” แปลว่า ต้นกก, “ธม” แปลว่า ใหญ่)
พอเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงทางแยกก็จะมีแท่นศิลาแลงที่วางแผงผังปราสาทสด๊กก๊อกธมค่ะ
เมื่อหันไปทางขวามือ บริเวณด้านนอกปราสาททางตะวันออก มีบันไดขึ้นไปยัง “บาราย” หรือ “แหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่” ค่ะ เราเดินขึ้นไปถ่ายรูปและก็เดินลงมา เพื่อมุ่งตรงไปยังตัวปราสาทสด๊กก๊อกธมค่ะ
“ปราสาทสด๊กก๊อกธม” เป็นปราสาทหินเก่าแก่ที่มีอายุราวหนึ่งพันปีและมีโครงสร้างที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเช่นเดียวกับปราสาทขอมแห่งอื่น ๆ ด้วยความเชื่อของขอมที่ว่าทิศตะวันออกเป็นทิศแห่งพลังแสงสว่างและสิริมงคล ส่วนทิศตะวันตกเป็นทิศแห่งความตายค่ะ
ตัวปราสาทก่อด้วยหินทรายและศิลาแลงตามลักษณะทางสถาปัตยกรรมเขมรแบบคลัง-บาปวน โดยล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว 2 ชั้น คือชั้นนอกทำด้วยศิลาแลงและชั้นในทำด้วยหินทรายค่ะ เมื่อมาถึงด้านหน้าของตัวปราสาทก็จะพบกับ “เสานางเรียง” ที่เป็นเสาหินเรียงรายไปตามทางเดินสู่ปรางค์ประธาน ส่วนบริเวณรอบ ๆ ปราสาทจะร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่มากมายเรียงรายตลอดทาง ทำให้เดินเที่ยวชมได้เพลิน ๆ อากาศไม่ร้อนมากนักค่ะ
ปราสาทสด๊กก๊อกธมมีทางเข้าหลัก คือโคปุระหรือซุ้มประตูด้านทิศตะวันออกที่สร้างด้วยหินทราย เมื่อเดินผ่านโคปุระเข้ามาก็จะพบกับคูน้ำหรือสระน้ำรูปตัวยูล้อมรอบปราสาททั้ง 4 ด้าน และระเบียงคตที่มีบรรณาลัยก่อด้วยหินทราย 2 หลังอยู่หน้าปราสาท สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นที่เก็บตำรา คัมภีร์ ส่วนปราสาทหลังกลางเป็นปรางค์ประธานค่ะ
ปรางค์ประธานมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบขอมเป็นยอดปรางค์ 5 ชั้น ซึ่งเชื่อกันว่าปรางค์ประธานเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุที่ล้อมรอบด้วยเสาเป็นปริมณฑลที่บ่งบอกว่าเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ส่วนด้านบนของยอดปรางค์มีลวดลายแกะสลักบอกเล่าเรื่องราวตามความเชื่อของศาสนาที่หน้าบัน ภายในปรางค์ประธานเดิมทีใช้เป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์ อันเป็นรูปเคารพแทนของพระศิวะ หนึ่งในเทพสูงสุดสามองค์ของศาสนาฮินดู แต่ในปัจจุบันเหลือแต่เพียงฐานโยนีเท่านั้นค่ะ
หลังจากเที่ยวชมปราสาทสด๊กก๊อกธมแล้วก็มุ่งหน้าต่อไปยัง “อุทยานแห่งชาติปางสีดา” เพื่อชมผีเสื้อค่ะ ซึ่งอุทยานแห่งชาติปางสีดาเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่ามรดกโลก “เขาใหญ่-ดงพญาเย็น” ที่ยังคงสภาพป่าไว้อย่างสมบูรณ์และธรรมชาติอันสวยสดงดงาม นอกจากนั้นยังได้รับสมญานามว่าเป็น “ดินแดนผีเสื้อแห่งผืนป่าตะวันออก” เนื่องจากเป็นแหล่งอาศัยของผีเสื้อป่าหลากหลายสีสันมากถึง 400 ชนิด หากมาเที่ยวชมที่นี่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ก็จะพบกับผีเสื้อหลากหลายชนิดมากที่สุดในประเทศเลยก็ว่าได้ค่ะ โดยเสียธรรมเนียมค่าเข้าอุทยาน (คนไทย) เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท รถยนต์ 30 บาท ส่วนชาวต่างชาติ เด็ก 100 บาท และผู้ใหญ่ 100 บาท
หากใครต้องการมาชมผีเสื้อก็สามารถชมได้ที่ 12 จุดใหญ่ ๆ แต่จุดที่นิยมชมผีเสื้อมากที่สุดมีอยู่ 3 จุดด้วยกันค่ะ คือ “โป่งผีเสื้อ” อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 1 กิโลเมตร สามารถขับรถเข้าไปเที่ยวชมได้เอง, “น้ำตกปางสีดา” ที่อยู่ก่อนถึงโป่งผีเสื้อ ต้องเดินเท้าเข้าไปยังบริเวณลานหินของน้ำตก และ “ลานหินดาด” ที่อยู่ในป่าลึก จะต้องนั่งรถกระบะของเจ้าหน้าที่เข้าไปเท่านั้น ส่วนเราเลือกชมผีเสื้อที่ “โป่งผีเสื้อ” เนื่องจากสะดวกที่สุดแล้ว อีกอย่างเรามาเที่ยวในช่วงต้นเดือนมีนาคม น้ำตกปางสีดาก็คงจะแห้ง ไม่มีน้ำค่ะ
“โป่งผีเสื้อ” เปรียบเสมือนเป็นจุดรวมตัวให้ผีเสื้อหลากสีสันนานาพันธุ์มารวมตัวกันเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวและให้นักท่องเที่ยวชมผีเสื้อและหามุมถ่ายรูปให้ได้ถ่ายรูปผีเสื้อได้อย่างเพลิดเพลินค่ะ ซึ่งทางอุทยานฯ ได้ทำโป่งเทียมขึ้นบริเวณริมทางเพื่อให้ผีเสื้อมากิน โดยโป่งผีเสื้อเป็นแหล่งอาหารเสริมที่จำเป็น มีแร่ธาตุต่าง ๆ ในการสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อที่สัตว์ป่าไม่สามารถหาทดแทนได้จากพืชนั่นเองค่ะ
โอกาสที่จะพบเห็นผีเสื้อมากที่สุดคือในช่วงฤดูฝน หรือช่วงที่มีแดดหลังฝนตกค่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ แสงแดด ความชื้น และช่วงระยะเวลาของแต่ละวัน หากวันไหนอากาศปลอดโปร่ง มีแสงแดดดี ๆ ก็จะมีผีเสื้อบินออกมาอวดโฉม โดยแต่ละช่วงฤดูกาลก็จะพบผีเสื้อแต่ละสกุลแตกต่างกัน และช่วงเวลาที่ผีเสื้อจะบินออกมามากคือตอนเช้าตั้งแต่ 09.00 - 11.00 น. แนะนำว่าให้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่กลมกลืนกับธรรมชาติ เพื่อให้ผีเสื้อมาเกาะ จะได้ถ่ายรูปกับผีเสื้ออย่างสวย ๆ ค่ะ ^^
ถ่ายรูปผีเสื้อแล้วก็ต้องถ่ายคลิปกันบ้าง ผีเสื้อบินมากินโป่ง บอกเลยว่าสวยงามสุด ๆ ^^
พอเที่ยวชมโป่งผีเสื้อแล้วก็แวะกินอาหารกลางวันที่ร้าน “ครัวร่มไทร” ค่ะ ซึ่งร้านครัวร่มไทรตั้งอยู่หน้าอุทยานแห่งชาติปางสีดา สามารถจอดรถตรงข้ามร้านได้เลย โดยเมนูอาหารที่สั่งก็จะมีตำปลาร้าไม่ใส่ปู, ขนมจีน, ไก่ย่างครึ่งตัว, ปากเป็ดทอด และเส้นใหญ่ผัดขี้เมาทะเลค่ะ บอกเลยว่าอร่อยทุกเมนู ยิ่งเมนูปากเป็ดทอดก็ยิ่งอร่อยจนต้องสั่งเพิ่มอีกจานค่ะ 5555
หลังจากกินอาหารคาวแล้วก็ต้องแวะกินของหวานที่ร้าน “Coffee Hills Café” ซึ่งร้านนี้นอกจากจะขายเบเกอรี่และเครื่องดื่มแล้วยังขายอาหารเมนูต่าง ๆ ด้วยนะคะ โดยทางร้านเปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึง 2 ทุ่มครึ่งค่ะ บรรยากาศภายในร้านก็จะชิลล์ ๆ ส่วนราคาอาหาร ของหวาน และเครื่องดื่มอาจจะสูงไปนิดหนึ่ง แต่ก็เหมาะสมกับคุณภาพ รสชาติอร่อยกำลังดีค่ะ
กินของหวานที่เป็นเค้กช็อกโกแลตรูปหมีเสร็จแล้วก็นั่งรถไปเช็กอินที่โรงแรม “HOP INN สระแก้ว” แม้ว่าโรงแรมแห่งนี้จะเป็นที่พักราคาประหยัด แต่ก็สะอาด ปลอดภัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แถมยังอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดอีกด้วยค่ะ หลังจากเช็กอินแล้วก็นั่งเล่นให้หายเหนื่อยในห้องพัก จนกระทั่งตอนเย็นก็แวะมาที่ร้าน “Wood House เขาฉกรรจ์” เพื่อชมค้างคาวออกมาทำงาน เอ้ย!!! ออกมาหากินในเวลากลางคืนค่ะ 5555
ร้าน “Wood House เขาฉกรรจ์” เป็นร้านคาเฟ่ที่ขายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และส้มตำค่ะ ซึ่งฉากหลังก็จะมีเขาฉกรรจ์ ส่วนบริเวณรอบ ๆ ร้านก็จะเป็นสวนดอกไม้สวย ๆ ที่จัดแต่งอย่างสวยงามให้ได้ถ่ายรูปกันหลากหลายมุมเลยค่ะ
หากใครแวะมาเที่ยวชมร้าน Wood House เขาฉกรรจ์ในตอนเย็นสักประมาณ 5 โมงครึ่ง - 6 โมงเย็นก็จะพบเห็นฝูงค้างคาวนับพัน ๆ ตัวบินออกมาจากถ้ำเขาฉกรรจ์ให้เราได้เห็นจากมุมไกล ๆ อีกด้วยค่ะ ถือเป็นภาพที่สวยงามและหาดูได้ยากมาก เรียกได้ว่าเป็น Unseen ของสถานที่เลยก็ว่าได้ค่ะ
ถ่ายรูปฝูงค้างคาวบินออกมาจากถ้ำเขาฉกรรจ์แล้วก็ต้องถ่ายคลิปบ้าง บอกเลยว่าค้างคาวเยอะมากจริง ๆ บินเป็นสายยาวเลยค่ะ
พอดูฝูงค้างคาวที่ร้าน Wood House เขาฉกรรจ์แล้วก็ไปกินอาหารเย็นที่ร้าน “ประเทืองข้าวมันไก่” ค่ะ ซึ่งร้านนี้ตั้งอยู่หลังธนาคารกสิกรไทย สาขาสระแก้ว ถือเป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดขายข้าวมันไก่และก๋วยเตี๋ยวไก่รสเด็ดมานานกว่า 20 ปี โดยเมนูที่เราสั่งก็จะเป็นข้าวมันไก่ผสม คือ มีทั้งไก่ต้มและไก่ทอด จริง ๆ อยากลองกินก๋วยเตี๋ยวไก่ทอดที่เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำแล้วโปะหน้าด้วยไก่ทอดเพิ่มอีกชาม แต่อิ่มท้องเกินเลยกินไม่ไหวค่ะ 5555
วันรุ่งขึ้นหลังจากทำธุระส่วนตัวแล้วก็แวะมากินอาหารเช้าที่ร้าน “Coffee Hills Café” เช่นเดิมค่ะ ซึ่งอาหารเช้าที่เราสั่งก็จะมีก๋วยจั๊บญวน, ข้าวหน้าปลาไหล, กาแฟคาปูชิโน่ และซุปเห็ดทรัฟเฟิลที่เสิร์ฟพร้อมขนมปัง 2 ชิ้นค่ะ
พอกินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็กลับมาเก็บกระเป๋าและเช็กเอาท์โรงแรม จากนั้นก็นั่งรถกลับเข้ากรุงเทพฯ แต่ก่อนจะถึงกรุงเทพฯ ก็แวะกินอาหารกลางวันในจังหวัดฉะเชิงเทรากันก่อนค่ะ ซึ่งตอนแรกตั้งใจว่าจะไปกินราดหน้าที่ร้าน “เล้งกี่” แต่พอไปถึงแล้ว ปรากฏว่าคนแวะมากินร้านนี้เยอะมาก ๆ ต่อคิวไม่ไหว เลยเปลี่ยนมากินที่ร้าน “ครัวแม่ส้มเกลี้ยง” แทนค่ะ เนื่องจากอ่านเจอในแอปฯ วงในว่าอาหารรสเด็ด บรรยากาศดี ติดริมแม่น้ำบางปะกงค่ะ
เมนูที่เราสั่งไป ได้แก่ ส้มตำไทย, ต้มยำกุ้งน้ำใส, ข้าวผัดปู, ออส่วนกระทะร้อน, ผัดเรือโป๊ะ และหอยเชลล์ย่างเนยค่ะ บอกได้ว่าไม่ผิดหวังจริง ๆ เพราะอาหารอร่อยหลายอย่างมาก โดยเฉพาะเมนู “ต้มยำกุ้งน้ำใส” บอกเลยว่าน้ำต้มยำเข้มข้นมาก เผ็ด จัดจ้านถึงใจสุด ๆ แถมยังมีกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่มากตั้ง 3 ตัวในราคาแค่ชามละ 150 บาทเท่านั้น ส่วนอีกเมนูที่เด็ดไม่แพ้กันก็คือ "ออส่วนกระทะร้อน" เพราะหอยใหญ่แบบพอดีคำ ผัดได้เข้าเนื้อ ยิ่งจิ้มซอสพริกก็ยิ่งอร่อยค่ะ
ในที่สุดก็รีวิวทริปเที่ยว “ไปสระแก้ว...แล้วจะทำไม” จบแล้ว สำหรับใครที่อยากลองมาเที่ยวจังหวัดสระแก้วก็สามารถแวะมาเที่ยวชมกันได้ทุกเมื่อเลยนะคะ เพราะนอกจากจะมีตลาดโรงเกลือที่เป็นสถานที่ยอดนิยมให้เลือกซื้อของแล้ว ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกตั้งหลายแห่งด้วยค่ะ 😊😊😊
Windy_love_Travel หญิงสาวผู้รักการท่องเที่ยว
วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565 เวลา 16.08 น.