เราให้รถตุ๊กตุ๊กไปส่งที่สถานีรถไฟอเล็กซานเดรีย เพื่อจองตั๋วรถไฟไปกรุงไคโรในวันพรุ่งนี้ โดยเราเลือกตั๋วรอบ 7 โมงเช้า เพื่อให้พรุ่งนี้ยังมีเวลาเที่ยวได้แบบเต็มๆในช่วงบ่าย
ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญในสมัยที่อียิปต์อยู่ใต้การปกครองของโรมัน นั่นคือ โรงละครโรมัน (Roman Amphitheatre in Alexandria) เป็นที่รู้กันว่าชาวโรมันนั้นชื่นชอบการชมละครและการต่อสู้กับสัตว์ร้ายเป็นยิ่งนัก เมื่อแผ่อำนาจการปกครองไปที่ดินแดนแห่งไหน เป็นต้องสร้างโรงละครที่เมืองนั้น ที่เมืองอเล็กซานเดรียก็เช่นกัน โดยทีแรกเราวางแผนที่จะเข้าไปชมภายใน แต่เป็นเพราะตั้งอยู่ริมถนน โดยที่ไม่มีรั้วรอบขอบชิด จึงสามารถมองเห็นโรงละครเกือบทั้งหมดได้จากภายนอก
เพื่อนๆสมัยตุรกี คือน้องเนกับพี่น้องทรงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เล็กมากไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวเมื่อเทียบกับโรงละครที่เอเฟซุส หรือแม้แต่กับเฮียราโปลิส ที่ปามุคคาเล่ ที่มีชั้นอัฒจรรย์ซ้อนลึกลงไปเกือบร้อยชั้น ในขณะที่โรงละครโรมันแห่งอเล็กซานเดรียนี้มีชั้นอัฒจรรย์เพียงแค่ 10 ชั้น ในเมื่อเห็นของใหญ่ๆมาแล้ว จึงรู้สึกเฉยๆเมื่อได้เห็นโรงละครโรมันแห่งนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของอเล็กซานเดรียที่ถูกลดบทบาทลง เพราะไม่ใช่แค่อเล็กซานเดรีย แต่อียิปต์ทั้งประเทศมีฐานะเป็นแค่เพียงจังหวัดหนึ่งเท่านั้นของจักรวรรดิโรมัน
ทีแรกเพื่อนๆคิดจะเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม แต่ผมชวนให้เดินกลับ เพราะโรงแรมอยู่ห่างออกไปไม่ไกล อีกทั้งการเดินยังทำให้เราได้ชมวิถีชีวิตของผู้คนเป็นของแถม แล้วก็เป็นจริงดังคิดเพราะเส้นทางกลับโรงแรมนั้นเป็นย่านตลาดการค้าที่มากไปด้วยร้านรวงและผู้คน แม้พื้นที่เกือบทั้งหมดของอียิปต์จะเป็นทะเลทราย แต่พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ โดยเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ อันเป็นที่ตั้งของเมืองอเล็กซานเดรีย พื้นดินช่างอุดมสมบูรณ์จากตะกอนแร่ธาตุที่มาพร้อมแม่น้ำไนล์ เราจึงได้เห็นผักผลไม้จำนวนมากวางจำหน่าย จนแทบไม่น่าเชื่อว่านี่คือตลาดในประเทศที่มีพื้นที่เป็นทะเลทรายเกือบค่อนประเทศ แล้วเราก็ได้สตอเบอร์รี่ลูกโตๆสีแดงสดติดมือกลับโรงแรมจำนวน 2 กิโลกรัม ด้วยราคาที่แสนถูกเพียงกิโลกรัมละ 10 ปอนด์อียิปต์เท่านั้น
แม้ว่าปัจจุบันประชาชนของประเทศอียิปต์เกือบทั้งประเทศจะเป็นชาวมุสลิม แต่ย้อนหลังกลับไปในช่วงที่ถูกปกครองโดยชาวโรมัน ประชาชนในดินแดนแห่งนี้เคยนับถือศาสนาคริสต์มาก่อน โดยทุกวันนี้ก็ยังมีชาวคริสต์อาศัยอยู่ แม้ว่าจะเป็นส่วนน้อย แต่เมืองอเล็กซานเดรีย อดีตเมืองหลวงในช่วงที่ถูกปกครองโดยชาวโรมันยังคงมีโบสถ์คริสต์ โดยเฉพาะย่านจัตุรัสแมจฮูลซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมที่เราพักนั้นยังคงหลงเหลือโบสถ์คริสต์อีกหลายหลัง ซึ่งดูเหมือนโบสถ์คริสต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้นตั้งอยู่ที่ปากซอยเข้าโรงแรมอันเป็นที่พักของเรานั่นเอง นั่นคือ โบสถ์เซนต์แคเธอรีน (St. Catherine’s Church) ผมกับน้องเน ซึ่งนอกจากเป็นเพื่อนสมัยทิเบตกับตุรกีแล้ว เราสองคนยังเป็นเพื่อนสมัยรัสเซียด้วย ซึ่งเป็นประเทศที่มีโบสถ์คริสต์สวยๆจำนวนมาก จึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปรื้อฟื้นความทรงจำด้วยกัน
จากเมื่อเช้าที่ฝากกระเป๋าไว้ตั้งแต่เวลาตี 5 เรากลับมาถึงโรงแรมอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปกว่า 12 ชั่วโมง ทีแรกคิดว่าจะสามารถเช็คอินแล้วเข้าห้องพักได้เลย แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นตามที่คิด เพราะห้องพักที่ผมจองไว้นั้น มีลักษณะเป็นอพาร์ตเมนท์ไม่ได้อยู่ในอาคารที่เราอยู่ในขณะนี้ แต่อยู่อีกอาคารที่ลึกเข้าไปในซอย แต่ก็ไม่ได้ห่างกันมากนัก
เมื่อพนักงานเปิดประตูให้เราเข้าสู่ภายใน เราก็รู้สึกอึ้งกับความกว้างใหญ่ของห้องพัก เพราะมีทั้งห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องอาบน้ำ และห้องนอนถึง 3 ห้อง ด้วยราคาที่แสนถูกเพียงคืนละ 1,250 บาท หากคิดราคาต่อคนแล้วก็ตกเพียงคนละ 250 บาทเท่านั้น ทุกอย่างดูสะดวกสบายไปเสียหมด เว้นเสียแต่ ลูกบิดประตู ทั้งประตูทางเข้าและประตูห้องน้ำ ที่ต้องแทบจะสวดมนต์ภาวนากันเลยถึงจะเปิดออก
แล้วก็ได้เวลาที่ตกลงกันไว้ว่าจะออกไปหามื้อเย็นทานกัน แต่เอาเข้าจริงๆเพื่อนๆแต่ละคนต่างสลบไสลบนเตียง ดีที่โอยังไม่นอน แต่เลือกที่จะดูหนังแขกไป กินสตอเบอร์รี่ไป ผมจึงโล่งใจว่าเมื่อออกไปแล้วจะสามารถกลับเข้าห้องได้ เพราะหากผมไขลูกบิดไม่สำเร็จ และเคาะประตูแล้วเพื่อนๆไม่ยอมตื่น มีหวังคืนนี้ได้นอนเฝ้าทางเดินแน่
แม้บริเวณโรงแรมที่เราพักจะค่อนข้างเงียบ แต่เมื่อเดินออกสู่ถนนใหญ่ผมจึงได้รู้ว่า โรงแรมที่เราพักนั้นอยู่ใกล้ย่านราตรีใจกลางเมือง เพราะบริเวณนี้คือจัตุรัสแมจฮูล (Maghool Square) ที่ยิ่งดึก ยิ่งคึกคัก เพราะมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร หาบเร่แผงลอย เยอะเต็มไปหมด แถมผู้คนก็เดินกันเต็มทั้งฟุตบาทจนล้นออกมาบนถนน ตั้งแต่อนุสาวรีย์โมฮาเมด อาลี (Mohamed Ali Pasha Statue) ยาวไปตามถนนอาห์เมด อูราบี (Ahmed Ourabi) จนสุดทางที่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
แม้ร้านอาหารบนถนนอาห์เมด อูราบีจะมีหลายร้าน แต่เอาเข้าจริงๆผมเกือบไม่ได้อาหารเย็น ด้วยเหตุที่อาหารที่ขายส่วนใหญ่เป็นเนื้อ แต่ผมไม่กินเนื้อ หาเมนูปลาก็ไม่มี ส่วนหมูนั้นเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะมีขายในประเทศมุสลิม จึงเหลือทางเลือกเพียงแค่ไก่ หรือไม่ก็กินมังสาวิรัติไปเสียเลย จนสุดท้ายมั่นใจแน่ชัดแล้วว่าร้านนี้ขายทั้งเคบับเนื้อ กับเคบับไก่ แต่ก็เจออุปสรรคอีกจนได้ เพราะแทนที่จะชี้ไปที่เคบับไก่ แล้วจ่ายเงินเลย ผมต้องไปจ่ายเงินอีกที่หนึ่งก่อน แล้วจึงเอาใบเสร็จมารับเคบับ และยังติดปัญหาเรื่องการสื่อสาร โชคดีที่มีลูกค้ามาสั่งเคบับไก่พอดี จึงขอใบเสร็จของลูกค้าคนนั้นมาเป็นตัวอย่าง เพื่อนำไปจ่ายเงิน
ผมยืนกินเคบับไก่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ยามค่ำเช่นนี้แสงไฟจากอาคารตลอดชายฝั่งส่องแสงสว่างไสว ในขณะที่คลื่นจากท้องทะเลสีดำยังคงซาดเข้าหาฝั่งอย่างมิจางหาย ดูแล้วช่างโรแมนติกเป็นยิ่งนัก
หนึ่งวันในอเล็กซานเดรีย อดีตเมืองหลวงช่วงฟาโรห์ราชวงศ์สุดท้าย ก่อนที่อียิปต์จะตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรหลายต่อหลายอาณาจักร คงไม่พอที่จะทำให้เห็นภาพอดีตกาลอันเรืองรุ่งของอียิปต์ได้มากนัก แต่หลังจากวันพรุ่งนี้การเดินทางที่ย้อนการไหลของแม่น้ำไนล์ เส้นเหลือดสำคัญที่หล่อหลอมอาณาจักรอียิปต์มานับพันปี จะทำให้ผมได้สัมผัสถึงอารยธรรม วิทยาการ และจิตวิญญาณของชาวอียิปต์โบราณที่ยังคงเป็นปริศนาเร้นลับได้มากยิ่งขึ้น
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 เวลา 16.19 น.