วันสุดท้ายในกรุงไคโร และวันสุดท้ายในประเทศอียิปต์ เรามีเวลาเหลืออีกประมาณครึ่งวันก่อนที่จะเดินทางไปสนามบินเพื่อกลับเมืองไทย วันนี้จึงถูกกำหนดให้เป็นวันฟรีเดย์ ที่ปล่อยให้แต่ละคนได้ไปในที่ชอบๆ ฟังดูแล้วรู้สึกไม่ค่อยดี ขอเปลี่ยนเป็น ไปในที่ที่อยากไปแทนแล้วกัน

น้อเนบ่นว่าเมื่อวานยังเดินช็อปในตลาดข่าน อัล-คาลิลีได้ไม่จุใจ โดยเฉพาะพรม อยากซื้ออีกหลายผืน เพราะคำนวณดูแล้วน้ำหนักกระเป๋าน่าจะยังไม่ถึง 30 กิโลกรัม แต่ติดที่เงินปอนด์อียิปต์ใกล้หมด จึงขอยืมเงินจากผมไปแบบชนิดที่ให้ผมพอมีเงินเหลือพอประทังชีวิตก่อนขึ้นเครื่อง พร้อมชวนน้องหมีคู่ซี้ไปด้วย ในขณะที่โอวันนี้ไม่มีแผนการใดๆ จึงเลือกที่จะตามไปด้วยเพื่อช่วยต่อรองราคา ส่วนพี่น้องทรงก่อนมาก็ไม่มีแผนการเดินทางใดๆในหัวอยู่แล้ว ในเมื่อเที่ยวจนครบทุกสถานที่ตามแผนแล้ว วันนี้จึงไม่มีที่ไป เมื่อได้รู้ว่าวันนี้ผมมีแผนที่จะนั่งรถไฟใต้ดินเที่ยวฝั่งกีซ่า จึงขอติดสอยห้อยตามไปด้วย

กรุงไคโรนั้นมีรถไฟใต้ดิน 3 สาย โดยสายสีเขียวนั้นวิ่งข้ามแม่น้ำไนล์จากฝั่งไคโรไปยังฝั่งกีซ่า เมื่อกางแผนที่ออกมาดูพบว่าบนแม่น้ำไนล์มีเกาะกลางน้ำขนาดใหญ่ นามว่า เกาะเกซิรา (Gezira Island) ซึ่งมีสถานีรถไฟใต้ดินอยู่บนเกาะนี้ด้วย โดยบนเกาะเป็นที่ตั้งของไคโรทาวเวอร์กับโอเปร่าเฮ้าส์ ในเมื่อเห็นจุดหมายที่เดินทางสะดวกเช่นนี้ แผนการเดินทางวันนี้ของผมจึงเป็นการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินเพื่อไปยังเกาะกลางแม่น้ำไนล์แห่งนี้

ผมกับพี่น้องทรงเดินจากที่พักไปยังสถานี Sadat บริเวณพิพิธภัณฑ์ไคโร บรรยากาศยามเช้ากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ร้านรวงปิดตัวเงียบเชียบไม่คึกคักเหมือนในเวลากลางคืน ด้วยความที่ผมอยากได้หนังสือเกี่ยวกับประเทศอียิปต์ เมื่อเดินผ่านร้านหนังสือจึงแวะเข้าไปในร้าน พบว่าเกือบทั้งหมดเป็นหนังสือภาษาอาหรับ เมื่อเดินออกจากร้านก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหา เขาถามว่าผมต้องการหนังสือเกี่ยวกับอียิปต์ใช่ไหม ร้านที่ผมเพิ่มเข้าไปไม่มีหรอก แต่ร้านของเขามีหนังสือที่ผมต้องการ

เราเดินตามชายผู้นั้นเข้าไปในตรอกเล็กๆซึ่งอยู่ลึกจากถนนใหญ่พอควร เขาพาเข้าไปในร้านๆหนึ่ง ดูจากด้านหน้าแล้วเดาไม่ออกเลยว่าเป็นร้านขายอะไร แต่เมื่อเข้าไปจึงพบว่าร้านนี้เป็นร้านขายของฝาก ที่มีของฝากหลายอย่างมาก แต่มีอย่างละนิดละหน่อย และจึงเข้าใจด้วยว่าทำไมชายคนนี้จึงต้องดักนักท่องเที่ยวจากภายนอก เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นคงไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนเดินเข้ามาที่ร้านของเขาซึ่งตั้งอยู่ลึกขนาดนี้

เขาพาผมไปดูหนังสือบนชั้น ซึ่งมีหนังสือไม่กี่เล่ม เหมือนเป็นชั้นวางหนังสือในบ้านมากกว่าชั้นขายหนังสือในร้าน แต่ว่ามีหนังสือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับประเทศอียิปต์หลายเล่ม เปิดดูข้างในแล้วเนื้อหาน่าสนใจและมีภาพสีประกอบที่สวยงาม แต่ติดที่ว่าทุกเล่มล้วนพิมพ์มาเป็นเวลาหลายปี จึงอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างเก่า จนบางเล่มหน้าหนังสือเริ่มหลุดออกจากสันแล้ว

ชายผู้นั้นพยามโน้มน้าวใจผมให้ซื้อหนังสือดังกล่าว อย่างน้อยสักเล่มก็ยังดี เขาพูดๆ แล้วก็พูด จนผมเริ่มใจอ่อนที่จะซื้อหนังสือดังกล่าว แต่แม้จะใจอ่อนอย่างไรผมก็ไม่สามารถซื้อหนังสือเหล่านั้นได้ แม้แต่หนังสือเล่มที่ถูกที่สุดก็ตาม เพราะเมื่อเช้านี้น้องเนได้ขอยืมเงินจากผมไปจนผมเหลือเงินติดตัวได้แค่พอประทังชีวิตเท่านั้น

หลังเดินออกจากซอย ผมก็เลิกมองหาร้านหนังสืออีกเลย แล้วมุ่งตรงไปที่สถานี Sadat ทันที

ไม่รู้จะสื่อสารกับคนขายตั๋วรถไฟอย่างไร ผมจึงใช้วิธีส่งแผนที่เส้นทางรถไฟใต้ดิน แล้วชี้ว่าจะไปลงที่สถานี Gezira ซึ่งถัดไปเพียงแค่สถานีเดียว หลังจากได้ตั๋วมาแล้วก็พากันเดินเข้าไปยังชานชลา และรู้สึกงงๆว่ามีพนักงานเก็บตั๋วจากเราไปทันทีเมื่อเราเดินผ่านแผงกั้น ทำให้เริ่มรู้ว่าที่แท้ค่าโดยสารรถไฟใต้ดินที่กรุงไคโรไม่ว่าจะเดินทางใกล้หรือไกลแค่ไหนก็ราคาเดียวทุกสถานี คือเพียงแค่ 2 ปอนด์อียิปต์ หรือแค่ 4 บาทเท่านั้น ถูกแสนถูก เมื่อเทียบกับประเทศไทย ที่ราคาเพิ่มขึ้นตามสถานี แถมเปลี่ยนสายยังต้องซื้อตั๋วใหม่อีก เฮ่อ...

หลังจากขึ้นจากสถานี เราก็ออกมายืนยิ้มหลารับแสงตะวันกันบนเกาะเกซิรา จุดหมายแรกของเราคือการเดินไปยังสะพาน Qasr al-Nil ซึ่งเป็นสะพานทอดข้ามแม่น้ำไนล์เชื่อมเกาะเกซิรากับฝั่งไคโร ด้านหน้าสะพานเป็นรูปปั้นสิงโตคู่ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายและขวาของสะพาน น่าเสียดายที่เวลานี้หมอกลงหนามาก ทำให้มองเห็นฝั่งไคโรได้ไม่ค่อยชัด แต่สำหรับแม่น้ำไนล์ที่ทอดตัวอยู่เบื้องล่างนั้น มองเห็นได้แจ่มชัดในความใสของสายน้ำสีคราม สายน้ำที่ทำให้ก่อเกิดวัฒนธรรมในดินแดนอียิปต์ตั้งแต่เมื่อ 5 พันปีก่อน

ณ ตำแหน่งนี้สามารถมองเห็นไคโรทาวเวอร์ (Cairo Tower) หอชมวิวซึ่งตั้งอยู่กลางเกาะได้ถนัดตา หอคอยแห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ.1961 โครงสร้างทำเป็นตาราง ยอดแหลม มองไกลๆคล้ายเทียนพรรษาที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีความสูงถึง 187 เมตร เคยครองตำแหน่งหอคอยที่สูงที่สุดในทวีปแอฟริกา แต่ปัจจุบันตำแหน่งนี้ตกเป็นของ Hillbrow Tower ที่แอฟริกาใต้ไปเสียแล้ว

นี่ถ้าหากมาคนเดียวผมคงเดินย่ำต๊อกไปชมหอคอยนี้ใกล้ๆ แต่พี่น้องทรงค้านหัวชนฝาว่าจะเดินไปให้เหงื่อแตกทำไม ขึ้นไปชมวิวด้านบนก็คงเห็นวิวที่ไม่ต่างจากที่มัสยิดโมฮัมหมัดอาลี แถมยังต้องเสียเงินด้วย ที่สำคัญเงินที่เหลือในกระเป๋าพอจ่ายค่าขึ้นหรือเปล่า จึงเปลี่ยนใจไปเดินเล่นที่ไคโรโอเปราเฮ้าส์ (Cairo Opera House) แทน

ไคโรโอเปราเฮ้าส์เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติกรุงไคโร (Cairo’s National Culture Center) ภายในพื้นที่กว้างใหญ่นี้จึงไม่ได้มีเฉพาะโอเปราเฮ้าส์ แต่มากไปด้วยอาคารที่จัดแสดงงานศิลปะและดนตรี โดยเฉพาะรูปปั้นแนวอาร์ตๆนั้นมีมากมายกระจายเต็มพื้นที่ 

แต่เราก็ยังไม่ได้ไปไหน เพราะอยู่ๆก็มีชายใส่แว่นดำ แต่งตัวเหมือนนายแบบ แต่ดูจากหน้าตาและรูปร่างที่ค่อนข้างอ้วนแล้วไม่น่าใช่ เข้ามาขอถ่ายรูปคู่กับพี่น้องทรง พร้อมถามว่าเรามาจากประเทศอะไร พอรู้ว่ามาจากประเทศไทย ก็ถามพี่น้องทรงว่าคุณเป็นดาราของประเทศไทยหรือเปล่า เพราะหน้าตาดีมาก ทำเอาพี่น้องทรงเคลิ้มเดินถ่ายรูปคู่กับชายแว่นดำเสียหลายใบ คนเดือดร้อนคือผมนี่แหละที่ต้องกลายเป็นช่างภาพโดยไม่รู้ตัว

ชายแว่นดำนั้นแอ๊ทท่าเต็มที่ ในขณะที่พี่น้องทรงยืนถ่ายรูปแบบงงๆว่าทำไมต้องมาถ่ายรูปกับคนแปลกหน้า แล้วไม่นานความจริงก็ปรากฎ เมื่อชายแว่นดำขอถ่ายรูปเดี่ยว ไล่พี่น้องทรงให้พ้นจากแฟรม แล้วให้ผมถ่ายรูปให้ในท่านั้น ท่านี้ มุมนั้น มุมนี้ จนรู้ว่าที่แท้เขานั้นมาคนเดียว ไม่มีคนถ่ายรูปให้ จึงมาตีสนิทเพื่อให้เป็นตากล้องถ่ายรูปให้ โดยไม่ได้คิดว่าพี่น้องทรงหน้าตาดงหน้าตาดีอะไรหรอก

หลังจากที่ปลีกตัวจากชายแว่นดำได้ เราก็เดินเที่ยวชมบรรดารูปปั้น พร้อมถ่ายรูปกันเองบ้าง และแวะเข้าไปเสพงานศิลป์จากภาพวาดสวยๆที่จัดแสดงในหอศิลป์ น่าเสียดายที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป จึงต้องใช้สายตาเก็บความสวยงามของภาพวาดไว้แทน

ท้องเริ่มหิว แต่ดูเหมือนบริเวณนี้จะไม่มีร้านอาหารสักร้าน ผมจึงชวนพี่น้องทรงโดยสารรถไฟใต้ดินต่อไปมหาวิทยาลัยไคโร ซึ่งอยู่ฝั่งกีซ่า ห่างจากที่นี่ไปอีกแค่เพียง 3 สถานีเท่านั้น

เราเดินทางไปมหาวิทยาลัยไคโร ไม่ใช่เพื่อไปดูความก้าวหน้าของสถานศึกษา ตามแบบฉบับของนักวิชาการ แต่เราไปเพื่อหาอาหารในโรงอาหารกิน เพราะอย่างไงเสีย ภายในมหาวิทยาลัยซึ่งมีนักศึกษาจำนวนมากย่อมมีร้านขายอาหารแน่ๆ อีกทั้งยังได้ดูหน้าใสๆของนักศึกษาเป็นของแถม 

แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปอย่างที่เราคิดอีกแล้ว เพราะมหาวิทยาลัยไคโรนั้นไม่เหมือนมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ที่ใครๆก็สามารถเข้าไปภายในนั้นได้ หน้ามหาวิทยาลัยไคโรมีเจ้าหน้าที่ตรวจบัตรอย่างเข้มงวด ใครไม่ใช่นักศึกษา อาจารย์ หรือเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยหมดสิทธิ์เข้า แต่เมื่อมาถึงแล้วจึงขอลองดูสักตั้ง โดยผมเดินเข้าไปสอบถามว่าเข้าไปภายในมหาวิทยาลัยได้ไหม เจ้าหน้าที่ถามกลับว่าต้องการเข้าไปทำไม ผมตอบว่าต้องการเข้าไปหาอาหารกินในนั้น เจ้าหน้าที่ทำหน้างง สักพักจึงบอกว่า ให้เดินตรงไปถึงทางแยก แล้วเลี้ยวขวา บริเวณนั้นมีร้านอาหารตั้งอยู่หน้ามหาวิทยาลัย

ไม่รู้จะทำอย่างไร ในเมื่อมาถึงแล้ว อีกทั้งบริเวณทางเข้าออกสถานีรถไฟใต้ดินก็ไม่มีร้านอาหารสักร้าน และในเวลานี้ท้องก็ร้องโอดครวญว่าเลยเวลาอาหารเช้ามานานโข เราจึงเดินไปตามที่เจ้าหน้าที่บอก ทางนั้นไม่ใช่ใกล้ๆเลย แถมอากาศยังร้อนระอุ แต่ก็เดินมาไกลแล้ว จะให้หันหลังกลับก็ใช่ที่ จนในที่สุดเราก็มาถึงประตูอีกด้านหนึ่งของมหาวิทยาลัยไคโร ซึ่งฝั่งตรงข้ามมีร้านอาหาร 2 – 3 ร้านตั้งอยู่

เราเลือกเข้าร้านที่ดูแล้วเราพอจะสั่งอาหารได้ นั่นคือร้านขายไก่ย่าง เพราะร้านที่เหลือขายอาหารท้องถิ่น ซึ่งไม่รู้ว่าจะสั่งอย่างไร อีกทั้งไม่รู้ว่าอาหารหน้าตาแปลกๆนั้นมันคืออะไร สั่งมาแล้วจะกินได้ไหม แม้ทริปนี้จะกินไก่ย่างเสียหลายมื้อ แต่ในเมื่อวันนี้คือวันสุดท้ายแล้ว กินไก่ย่างอียิปต์อีกสักมื้อจะเป็นไร เราสั่งข้าวหมกไก่ย่างกันคนละจาน พร้อมด้วยด้วยขนมปังไส้ไก่ย่างมาแบ่งกันกิน และสลัดมะเขือเทศไว้กินแก้เลียน จากนั้นก็นั่งรอ รอ แล้วก็รอ 

ทั้งๆที่เราเป็นลูกค้าเพียงโต๊ะเดียวของร้าน แต่อาหารที่สั่งก็ยังไม่มาสักที จนผมต้องเดินไปดูถึงในครัวว่าเขาเริ่มย่างไก่หรือยัง จึงได้เห็นว่าไก่ย่างนั้น ย่างโดยใช้ถ่าน ชนิดว่าไก่ที่เสียบไม้ไว้ประชิดติดกับถ่านที่กำลังลุกไหม้เลย โดยไม่ต้องมีตะแกรงกั้นใดๆ เวลาผ่านไปจาก 10 นาที เป็น 20 นาที 30 นาที จนถึง 40 นาที อาหารที่สั่งจึงยกมาเสริฟ ซึ่งนั่นทำให้ตาเราลุกโพรง เพราะหน้าตาของไก่ย่างนั้นไหม้เกรียมสุดๆ จนต้องหันส่วนที่ไหม้ทิ้งไปเกือบครึ่ง แต่รอนานขนาดนี้ ย่างไหม้ได้ขนาดนี้ ก็ไม่ทำให้เรารู้สึกเคือง เพราะรสชาตินั้นอร่อยสุดๆ

ผมกับพี่น้องทรงกลับมาย่านตลาดเฮร์บ เพื่อเจอกับเพื่อนๆ ทีแรกคิดว่าคงต้องเดินหากันนาน แต่ที่ไหนได้ เดินแค่ไม่กี่ก้าวก็เจอแล้ว เพราะทุกคนมีนัดหมายกันที่ร้านไอศครีม Sultan เพื่อกินไอศครีมแสนอร่อยก่อนกลับเมืองไทย กินไอศครีมเสร็จต่างคนก็แยกย้ายไปช็อปปิ้งของฝาก เพราะในเวลานี้ร้านรวงได้เปิดขายกันทุกร้าน ซึ่งนอกจากเสื้อผ้าแล้ว รองเท้าหนังเป็นอีกสินค้าหนึ่งที่มีร้านขายเป็นจำนวนมาก จนน่าจะติดอันดับย่านขายรองเท้าหนังที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

แล้วผมก็ถูกใจรองเท้าหนังคู่หนึ่ง แต่ต่อราคาแบบสุดๆแล้วก็ยังมีราคาสูงกว่าเงินที่เหลือในกระเป๋า ผมจึงตัดใจเดินคอตกกลับที่พัก เมื่อไปถึงน้องเนก็ทำหน้าเหมือนเด็กที่เพิ่งทำความผิดมา โดยบอกว่า เงินที่ยืมไป ที่บอกว่าจะคืนเป็นเงินบาทใช้ไม่หมดนะ จะว่าอะไรไหมถ้าจะคืน 100 ปอนด์อียิปต์ ในเวลานั้นผมยิ้มแฉ่งแล้วรีบรับเงินมาทันที เพราะ 100 ปอนด์อียิปต์คือเงินที่ขาดไปพอดีในการซื้อรองเท้า แล้วในที่สุดรองเท้าที่หมายปองก็ตกเป็นของผมจริงๆ

การเดินทางท่องอียิปต์ ตั้งแต่เหนือจรดใต้ จากทะเลทรายสู่ทะเลแดงของเราสิ้นสุดแล้ว ยังคงเป็นสัจธรรมของโลกที่ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่เว้นแม้แต่เทพเจ้า ในวันนี้วันที่เทพเจ้าที่เคยเป็นที่เคารพเมื่อหลายพันปีก่อน ได้ลาจากไปจากความเชื่อของชาวอียิปต์อย่างถาวร เหลือทิ้งไว้เพียงสิ่งก่อสร้างที่สุดแสนอัศจรรย์และอลังการอันเกิดขึ้นจากแรงศรัทธาในเทพเจ้าเหล่านั้น ซึ่งไม่ว่าจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน ก็หนีไม่พ้นสัจธรรมของโลกมนุษย์ ชีวิตนี้จึงสุดแสนจะดีใจที่ได้เดินทางไปพบเห็นความยิ่งใหญ่ของสิ่งเหล่านั้นก่อนที่มันจะดับไปอย่างถาวร

ความลับที่ปลายขอบฟ้ายังคงอยู่ เพราะไม่ว่าเราจะเดินทางไปไกลแต่ไหน เราก็ไม่มีวันเดินไปได้ถึงปลายขอบฟ้าเลยสักครั้ง แม้รู้ว่าไม่มีวันไปถึง แต่ผมก็สุขใจเสมอที่ได้ออกเดินทาง ไม่ใช่เพื่อจุดหมายที่ปลายทาง แต่เพื่อเรื่องราวระหว่างทางที่สัมผัส วันนี้ผมได้รองเท้าคู่ใหม่แล้ว การเดินทางครั้งต่อไปจะใส่รองเท้าคู่นี้ออกไปท่องโลก ณ ปลายขอบฟ้าไหนดี

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพฤหัสที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 16.24 น.

ความคิดเห็น