แล้วก็ถึงเวลาที่ 2 สาวรอคอย เพราะตลอดทริปนี้มีแต่มุดพีระมิด เดินรอดคานของมหาวิหาร เดินทางกลางทะเลทราย แต่ยังไม่มีโปรแกรมช็อปปิ้งเลยสักวัน บ่ายวันนี้จึงจัดเต็มสำหรับน้องเน น้องหมีโดยเฉพาะด้วยการไปตลาดข่าน อัล-คาลิลี (Khan el-Khalili) ซึ่งเป็นตลาดที่รวมสรรพสินค้าตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันพีระมิด โดยเฉพาะของฝาก ของที่ระลึก และงานหัตถกรรมที่ใหญ่และเป็นที่รู้จักมากที่สุดในกรุงไคโร ซึ่งเพียงแค่รถแท็กซี่วิ่งเข้าใกล้เขตตลาดก็สัมผัสได้ถึงความพลุกพล่านของผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อหา จนทำให้การจราจรบริเวณนี้ติดหนึบเป็นตังเม

บนทางเท้าที่มุ่งหน้าสู่ใจกลางตลาดนั้นเรียงรายไปด้วยชาวอียิปต์ที่นั่งสูบชิชากันอย่างสบายใจ แต่พวกเรานี่สิไม่รู้สึกสบายท้องเอาเสียเลย เพราะแม้จะอิ่มจนจุกับบรรดาโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ไคโร แต่สำหรับท้องในเวลานี้ร้องโอดครวญอย่างน่าสงสาร เพราะเวลาบ่าย 2 แล้วแต่ยังไม่มีอาหารกลางวันตกถึงท้องเลย โดยเรามั่นหมายกันว่า ตลาดข่าน อัล-คาลิลีนี่แหละที่จะช่วยเราได้ แต่เอาเข้าจริงๆตลาดแห่งนี้ไม่ใช่ตลาดขายอาหาร แต่เป็นตลาดขายของที่ระลึก จึงแทบไม่มีร้านอาหารอย่างที่คิดไว้

เดินๆๆอย่างหมดหวังจนเกือบจะซื้อพวกของทอดที่พอมีขายกินรองท้อง แต่แล้วก็เจอร้านขายไก่ย่าง ที่ยังคงย่างแบบใช้เตาถ่าน แม้ไก่จะย่างค่อนข้างไหม้ แต่ก็อิ่มอร่อยเพิ่มกำลังให้กับร่างกายในการเดินช็อปเหล่าสรรพสินค้าได้อีกหลายชั่วโมง

แล้วเราก็เกิดอาการตาลายกับสรรพสินค้าที่วางเรียงรายภายในตลาดที่มากไปด้วยซอกซอยจนเหมือนเดินอยู่ในเขาวงกต ไม่ว่าจะเป็นของฝากของที่ระลึกที่มีสารพัดแบบ ทั้งโมเดลพีระมิด สฟิงซ์ หน้ากากทองของฟาโรห์ เสาโอเบลิสก์จำลอง ตุ๊กตาแบบแขก ที่เขี่ยบุหรี่ พวงกุญแจ ตะเกียงใบน้อย ที่อาจมียักษ์จินนี่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น นอกจากนี้ยังมีเหล่าเครื่องเทศซึ่งเป็นสินค้าดั้งเดิมตั้งแต่อดีตกาลก่อนที่นักท่องเที่ยวจะมาเยือน

สำหรับสินค้าที่เป็นของขึ้นชื่อที่แสดงถึงฝีไม้ลายมือของผู้ทำ เห็นจะไม่พ้นเหล่าโคมไฟหลากสี และพรมเปอร์เซีย ที่ทำให้น้องเนได้หอบกลับเมืองไทยหลายผืนจนน้ำหนักกระเป๋าเกือบเกินลิมิต ซึ่งนอกจากการได้ของถูกใจติดไม้ติดมือกลับบ้านแล้ว การมาตลาดแห่งนี้ยังเป็นเหมือน Workshop อย่างดีสำหรับการฝึกทักษะในการต่อรองสินค้า เพราะบางทีเราต่อราคาลงถึง 50% ทีแรกคิดว่าคนขายคงไม่ยอม แต่กลายเป็นว่าคนขายตกลงแล้วใส่ถุงให้เราทันที จนเกิดความรู้สึกว่า นี่เราต่อถูกไปหรือเปล่า

แล้วโอก็พูดขึ้นว่า “อยากกินสตาร์บัคส์” แล้วก็เปิดมือถือค้นหาสาขาที่ใกล้ที่สุดทันที ซึ่งก็คือห้าง Nile City Tower ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไนล์ ตัวผมเองไม่ได้อยากกินสตาร์บัคส์หรอก แต่ในเมื่อตั้งอยู่ในห้าง มาอียิปต์ตั้งหลายวันแล้วยังไม่ได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวเมืองที่เดินตากแอร์ในห้างเลย จึงเต็มใจอย่างยิ่งที่จะไปพร้อมเพื่อนๆ

เราเรียกรถแท็กซี่ผ่าน Grab ซึ่งได้ราคาที่ได้มาตรฐาน อีกทั้งยังไม่ต้องไปต่อรองราคากับคนขับแท็กซี่ให้ปวดหัว คนขับแท็กซี่พาเราผ่านความจอแจของตลาดข่าน อัล-คาลิลี สู่เขตเมืองเก่าไคโร จากนั้นวิ่งไปตามถนนที่เลียบแม่น้ำไนล์ เพียงไม่นานก็ถึงห้าง Nile City Tower มองโดยรวมแล้วบริเวณนี้น่าจะเป็นเขตเมืองใหม่ ที่มีอาคารสูง ทันสมัยรูปทรงสวยงามตั้งอยู่ริมแม่น้ำไนล์ อย่าง Nile City Tower นี้ก็เป็นอาคารสูงที่ไฮโซไม่ใช่เล่น เพราะรถแท็กซี่ที่เรานั่งไม่สามารถเข้าไปจอดที่หน้าประตูทางเข้าห้างได้ โดยโดนรปภ.ใส่สูทไล่ให้ไปจอดที่หน้าประตูทางเข้าด้านนอก แล้วให้พวกเราเดินจากรถเพื่อเข้าห้าง จนทำให้รู้สึกงงๆว่ารถแท็กซี่ที่เรานั่งมันเกรดต่ำเกินไปหรืออย่างไง

อาคารสูงนี้พื้นที่เกือบทั้งหมดเป็นโรงแรม ในขณะที่ชั้น 1 กับ 2 เท่านั้นที่เป็นห้าง ทำให้ไม่ค่อยมีสรรพสินค้าจำหน่ายสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นร้านขายเบเกอรี่สำหรับแขกที่มาพักโรงแรม แต่ไม่เป็นไรเพราะเราตั้งใจมาเพื่อเพียงกินสตาร์บัคส์ ระหว่างต่อแถวรอสั่งเครื่องดื่ม สาวอียิปต์ที่แต่งตัวดูไฮโซก็ชวนผมคุย โดยเธอบอกว่ากาแฟร้านนี้อร่อยมาก ซึ่งก็คงแน่ เพราะร้านที่มีสาขาทั่วโลกอย่างนี้ย่อมควบคุมมาตรฐานของคุณภาพและรสชาติ รวมถึงเรื่องราคา ที่แพงอย่างเป็นมาตรฐาน แต่ดูๆแล้ว ราคาเครื่องดื่มของสตาร์บัคส์ในอียิปต์จะถูกกว่าบ้านเราค่อนข้างเยอะเหมือนกัน

ยังไม่อยากรีบกลับ อีกทั้งยังไม่ได้เดินห้างสรรพสินค้าจริงๆอย่างที่ตั้งใจไว้ เผอิญข้างๆกันเป็นห้าง Arkadia ซึ่งดูๆแล้วนี่แหละคือห้างสรรพสินค้าจริงๆ เราจึงชักชวนไปละลายเงินปอร์ดอียิปต์กันที่ห้างนี้

ห้าง Arkadia นั้นมีถึง 8 ชั้น แต่ดูเหมือนเราจะมาดึกเกินไป ร้านค้าในชั้นบนๆจึงพากันปิด จึงมีแต่ร้านค้าในชั้นล่างๆเท่านั้นที่ยังดูคึกคัก น้องเน น้องหมี ได้สินค้าพวกสบู่ กับเกลือบำรุงผิวกลับไปบำรุงผิวพรรณที่แห้งเสียจากแสงแดดในอียิปต์กลับไปคนละหอบใหญ่ ในขณะที่ผมสารวนกับการเลือกรองเท้าที่ราคาแสนถูกแต่คู่ที่ชอบก็ไม่มีไซด์ที่พอดี สุดท้ายกลายเป็นได้เสื้อกลับไปเป็นที่ระลึก 1 ตัว

เราข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเพื่อยืนชมความงามของแม่น้ำไนล์ยามค่ำคืน ในระหว่างที่รอแท็กซี่ที่กำลังวิ่งมารับจากการเรียกผ่าน Grab อยู่ๆก็มีหนุ่มขี้เมาเดินมาทักทายกับสองสาว จนเริ่มรู้สึกว่าอาจจะมีสิ่งที่ไม่ค่อยดีเกิดขึ้น อีกทั้งโดยรอบในเวลานี้ก็แทบจะปราศจากผู้คน ทั้งเปลี่ยว ทั้งมืด โชคดีที่รถแท็กซี่ที่เราเรียกวิ่งมารับเราพอดี จึงพากันรีบมุดเข้าไปเบียดกันในรถ เปล่าให้เจ้าหนุ่มขี้เมายืนมองความงามของแม่น้ำไนล์คนเดียวต่อไป

แล้วเราก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วย่านที่สุดคึกคักยามค่ำคืนในกรุงไคโรนั้นก็คือย่านตลาดเฮิร์บ ซึ่งเป็นย่านที่เราพักนั่นเอง เพราะบรรยากาศในเวลานี้แตกต่างจากเมื่อเช้าที่เรามาอย่างสิ้นเชิง เมื่อเช้าบนท้องถนนแทบปราศจากผู้คน ร้านรวงก็ปิดประตูกับเงียบเชียบ แต่ในเวลานี้บนท้องถนนนั้นรถแทบจะวิ่งไม่ได้จนเกือบกลายเป็นถนนคนเดิน ในขณะที่บนฟุตบาทก็มากไปด้วยผู้คนที่มานั่งแฮงค์เอ้าท์กินอาหาร เครื่องดื่มกันอย่างมีความสุข

ในเมื่อการจราจรที่ติดหนึบทำให้รถแทบเคลื่อนตัวไม่ได้ อีกทั้งบรรยากาศรอบข้างก็เย้ายวนให้เราลงไปดื่มด่ำ และจากจุดนี้เดินอีกแค่ไม่กี่บล็อกก็ถึงที่พักแล้ว เราจึงขอลงรถที่ตรงนี้ แต่ก็ยังคงจ่ายเงินตามราคาที่ Grab ระบุ ซึ่งแน่นอนว่ามากกว่าราคาที่ปรากฎบนมิเตอร์

ที่นี่มีร้านขายไก่ทอดชื่อดังที่คนแน่นร้าน ไม่ใช่ KFC แต่เป็น AFC อยากเข้าไปลิ้มลองเหมือนกันว่าจะอร่อยสู้ไก่ทอดของลุงเคนตั๊กกี้หรือเปล่าถึงมีลูกค้าแน่นร้านขนาดนี้ แต่ที่แน่ๆดูจากราคาแล้วเป็นมิตรต่อชาวอียิปต์มากกว่าชัวร์ แต่สุดท้ายก็ตัดใจเพราะพื้นที่ในท้องเหลือน้อยเกินไปที่จะกินของหนักๆได้ ประกอบกับได้เห็นของกินที่น่าสนใจกว่า นั่นคือไอศครีม ร้าน Sultan ที่นอกจากลูกค้าจะมากแล้ว หน้าตาของไอศครีมยังน่าทานแบบสุดๆ ทั้งไอศครีมช็อคโกแลต วนิลา คาราเมล และสารพัดผลไม้ จึงจัดการไปคนละสกู๊ป ซึ่งรสชาติไม่ผิดหวังจริงๆ จนเราต้องสอบถามว่าพรุ่งนี้ร้านเปิดกี่โมง เพื่อจะกลับมากินอีกครั้งก่อนกลับเมืองไทย

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 14.32 น.

ความคิดเห็น