ดูจากเวลาแล้วสุ่มเสี่ยงเกินไปที่เราจะไปเยือนมัสยิดอัลอัซฮาร์กันต่อ จึงบอกคุณลุงให้ไปเราไปส่งที่สถานีขนส่งเลย คุณลุงกลัวเราจะตกรถบัสจึงเหยียบคันเร่งมากกว่าตอนขามา จนใจผมกับพี่น้องทรงเต้นตุ๊มๆต่อมๆเพราะกลัวว่ากระเป๋าบนหลังคารถจะตกลงมา จึงบอกคุณลุงว่าไม่ต้องเหยียบคันเร่งขนาดนั้นก็ได้ อย่างไงเราก็เหลือเวลาอีกพอควรกว่าที่รถจะออก

เรากลับมาถึงสถานีขนส่งอีกครั้งโดยปลอดภัยทั้งผู้โดยสารและกระเป๋าเดินทาง ด้วยเหตุที่รถบัสออก 5 โมงเย็น ประกอบกับเราไม่แน่ใจว่าจะมีการจอดให้กินข้าวระหว่างทางไหม จึงคิดว่ากินมื้อเย็นกันไปเลยจะดีกว่า แต่เพราะห้าง Gateway Plaza อันเป็นที่ตั้งของสถานีขนส่งนี้แทบจะเป็นห้างร้าง จึงไม่มีร้านอาหาร จะมีก็แค่ร้านจำหน่ายเครื่องดื่มเท่านั้น โอ น้องเน น้องหมีจึงออกไปหาซื้ออาหารมื้อเย็น โดยปล่อยให้ผมกับพี่น้องทรงนั่งเฝ้ากระเป๋า

ระหว่างการนั่งรอ ผมกับพี่น้องทรงก็จัดการค้นหาที่พักในอัสวาน โดยเรามีแผนที่จะเที่ยวอัสวาน 1 วัน และจะไปที่อบู ซิมเบลอีก 1 วัน เพื่อไม่ให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เราสองคนจึงจัดแจงจองที่พักในตัวเมืองอัสวานไว้ 2 คืน ทีแรกเพราะเห็นราคาที่แสนถูกประกอบกับสภาพห้องพักที่สวยงาม เราจึงเกือบจองที่พักซึ่งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำไนล์ ดีที่เอะใจดูแผนที่อย่างละเอียด มิเช่นนั้นคงได้นั่งเรือล่องแม่น้ำไนล์เป็นว่าเล่นแน่ สุดท้ายจึงได้ที่พักบนฝั่ง ในเขตตัวเมืองริมแม่น้ำไนล์

จองโรงแรมเสร็จก็เป็นเวลาที่เพื่อนๆกลับมาพอดี น้องเนแจ้งข่าวร้ายว่าร้านค้าด้านนอกมีขายแต่อาหารที่มีเนื้อวัวเป็นส่วนผสม ไม่มีปลาหรือไก่ที่ผมพอกินได้เลย แต่ไม่เป็นไรเพราะมีแกงไก่กระป๋องที่อุตส่าห์แบกมาจากเมืองไทย เท่านั้นยังไม่พอ น้องเนยังมีข้าวสุกบรรจุกระป๋องมาด้วย มื้อนี้เรา 5 คนจึงตั้งวงกินมาม่ากับอาหารกระป๋องกันอย่างมีความสุข

กินเสร็จก็ได้เวลาที่รถใกล้ออกพอดี เราพากันเดินผ่านบันไดเลื่อนที่ไม่ทำงานสู่ชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นชานชลารถบัสประจำทาง บรรยากาศห้องพักผู้โดยสารนั้นเงียบเหงาเต็มทน ไม่รู้ว่าชาวอียิปต์หายไปไหนหมด เพราะยุคนี้คงไม่เดินทางด้วยอูฐแน่ หรือบางทีพวกเขาอาจเลือกเดินทางกันด้วยรถไฟ ซึ่งถือว่าเป็นขนส่งมวลชนระดับรากหญ้าที่ดีที่สุด

แม้ผู้โดยสารจะน้อยจนมีที่ว่างบนรถเหลือเกินครึ่ง แต่สภาพรถและที่นั่งนั้นดูดีใช่ได้ทีเดียว รถออกตามเวลาที่ระบุไว้บนตั๋ว พาผู้โดยสารฝ่าการจราจรที่ติดขัดในช่วงเลิกงานของกรุงไคโร ผมดูวิววข้างทางได้ไม่นานสุดท้ายก็หลับ มาตื่นอีกทีก็เวลา 3 ทุ่มที่รถจอดแวะที่ร้านอาหารขนาดใหญ่ข้างทาง เพื่อให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องน้ำและหาอาหารทาน ไม่ต่างจากรูปแบบการเดินทางของรถทัวร์ในบ้านเรา เวลาผ่านไปจนพระอาทิตย์โผล่ขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่ เราจึงเดินทางมาถึงอัสวาน จังหวัดใต้สุดของประเทศอียิปต์

เป็นเรื่องปกติที่เวลาลงจากรถประจำทางแล้วมักจะมีบรรดาคนขับแท็กซี่หรือมอเตอร์ไซด์รับจ้างมารุมล้อม แต่สำหรับที่อัสวาน (Aswan) กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่มีใครสนใจคนต่างถิ่นเช่นเรา โดยเราต้องไปเดินหาแท็กซี่กันเอง แต่ก็ไม่ได้ยากอะไรเพราะมีแท็กซี่ 2 – 3 คันจอดอยู่ไม่ไกล แท็กซี่ที่นี่คันใหญ่กว่าที่ไคโร ทำให้เบาะหลังที่ต้องนั่งกัน 4 คนนั้นนั่งสบายมากขึ้น แต่ทุกคนลงความเห็นว่าผมซึ่งตัวสูงที่สุดในกลุ่มสมควรไปนั่งข้างหน้าข้างคนขับ เพราะนอกจากที่นั่งไม่ชนเข่า ไม่ต้องเบียดเพื่อนๆให้ทรมานแล้ว ยังต้องทำหน้าที่บอกจุดหมายในการเดินทางกับคนขับ

แท็กซี่พามาส่งยังโรงแรมที่จองไว้ ซึ่งตั้งอยู่ในซอยที่ลึกเข้าไปจากถนนสายหลักที่เลียบแม่น้ำไนล์เพียงแค่ไม่กี่สิบเมตร เราจองห้องไว้ 2 ห้อง แยกกันอยู่ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง แต่เนื่องจากเรามาเช้าเกินไป ห้องที่จองจึงยังไม่ได้ทำความสะอาดและจัดห้องให้เรียบร้อยจากแขกที่เพิ่งเช็คเอ้าท์ แทนที่จะได้อาบน้ำให้สดชื่นตามที่คิดไว้ จึงทำได้เพียงแค่นำกระเป๋าไปทิ้งไว้ในห้อง แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เสียเวลา เพราะสถานที่เที่ยวในอัสวานนั้นมีมากเหลือเกินทั้งวิหารที่อยู่บนฝั่ง กับที่อยู่บนเกาะกลางแม่น้ำไนล์

เล่าถึงเมืองอัสวานกันสักนิด แม้เมืองนี้จะอยู่ในเขตประเทศอียิปต์ แต่เพราะเป็นเมืองชายแดนทางใต้สุด ซึ่งติดกับประเทศซูดาน ทำให้ประชากรพื้นเมืองของที่นี่ไม่ใช่ชาวอียิปต์ แต่เป็นชาวนูเบีย ซึ่งมีผิวสีดำขลับ สำหรับภูมิประเทศนั้น อัสวานเป็นแห่งหินแกรนิตคุณภาพสูง จนทำให้บรรดาวิหารต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยอียิปต์โบราณล้วนสร้างจากหินแกรนิตอัสวาน สำหรับแม่น้ำไนล์ช่วงที่ไหลผ่านเมืองนี้ต้องผ่านเกาะแก่งจำนวนมาก เกาะบางแห่งอย่างเกาะเอเลแฟนไทน์หรือแปลว่าเกาะช้างนั้นมีขนาดใหญ่โต จนแทบจะเป็นเมืองได้หนึ่งเมือง จนผมเกือบจองที่พักอยู่บนเกาะนี้

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 15.36 น.

ความคิดเห็น