เรากลับมาที่เรือตามเวลาที่นัดหมาย ขากลับเรายังคงต้องนั่งตากแดดล่องไปตามแม่น้ำไนล์เพื่อกลับสู่ฝั่ง สถานที่สุดท้ายที่คนขับแท็กซี่พาเราไปตั้งอยู่ใกล้เขตตัวเมืองอัสวานชนิดที่สามารถเดินทางถึง นั่นคือ เสาโอเบลิสก์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ (Unfinished Obelisk) อย่างที่บอกไปว่าเมืองอัสวานนี้เป็นแหล่งหินแกรนิตที่ดีที่สุดในอียิปต์ จึงมีการตัดหินแกรนิตเหล่านี้เพื่อนำไปใช้สร้างวิหารหลายต่อหลายหลัง รวมถึงการนำไปสร้างเป็นเสาโอเบลิสก์ ซึ่งเป็นเสาทรงสูงยอดแหลม อันเป็นสัญลักษณ์แห่งวิหารของเทพเจ้า โดยปกตินิยมการสร้างเป็นคู่ที่ประตูทางเข้าวิหาร
แล้วผมก็เป็นคนเดียวในกลุ่มอีกแล้วที่ลงจากรถแท็กซี่เพื่อเข้าไปชมเสาโบเบลิสก์ที่สร้างไม่เสร็จแห่งนี้ โดยขณะนี้เป็นเวลา 15.50 น. นั่นหมายความว่าผมมีเวลาเข้าไปเที่ยวชมในพื้นที่แห่งนี้ได้แค่เพียง 10 นาทีก่อนถึงเวลาปิด
ทีแรกคิดว่าไม่น่าต้องใช้เวลามากมายนะ เพราะแค่เดินเข้าไปชมเสาที่ยังสกัดจากหินแกรนิตไม่เสร็จเท่านั้น แต่ที่ไหนได้ เจ้าเสานี้อยู่เกือบด้านบนสุดของเนินหินแกรนิตขนาดสูงใหญ่หลายสิบเมตร ผมจึงต้องเดินไต่บันไดขึ้นไปจนจังหวะการเต้นของหัวใจเริ่มถี่มากขึ้นกว่าเดิมถึงจะได้เห็นเสาที่ว่านี้ โดยเสามีความกว้างราว 2 เมตร ส่วนความสูงไม่ต้องพูดถึงเพราะน่าจะสูงเกิน 10 เมตรแน่
กำลังหรือจะสู้สติปัญหา การสกัดเขาโอเบลิสก์จากหินแกรนิตนั้น ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้ใช้กำลังตะบี้ตะบันสกัดหินแกรนิตจนเกิดเป็นเสา หากแต่ใช้การสกัดให้เป็นร่องตามรูปร่างเสาที่ต้องการเท่านั้น จากนั้นจึงเจาะรูแล้วเสียบไม้ลงไป ทิ้งไม้ให้แช่น้ำเป็นเวลาประมาณ 10 วัน ไม้จะอมน้ำแล้วเกิดการขยายตัว จนกลายเป็นแรงดันให้ร่องที่สกัดไว้นั้นแตกออกจากกันจนกลายเป็นเสาโบเบลิสก์ที่ต้องการ ซึ่งหากสามารถทำการสลักสำเร็จ เสาหินที่นอนอยู่ตรงหน้าผมนี้น่าจะเป็นเสาโอเบลิสก์ที่มีความสูงใหญ่ที่สุดในโลก แต่น่าเสียดายที่เกิดการแตกหักเสียก่อน
และการขึ้นมายืนอยู่บนเนินหินแกรนิตขนาดใหญ่ยักษ์นี้ ก็ไม่ต่างกับการขึ้นมายืนอยู่บนจุดชมวิว ทำให้ผมสามารถมองเห็นตัวเมืองอัสวานได้ชัดเจน และได้เห็นว่าบรรดาอาคารต่างๆในอัสวานก็มีสภาพไม่ต่างกับกรุงไคโร นั้นคืออาคารเกือบทั้งหมดที่มีผู้อยู่อาศัยอยู่ในสภาพที่ปล่อยให้เห็นอิฐเปลือย โดยไม่ฉาบปูน เพื่อเหตุผลในการไม่ต้องจ่ายภาษี บางทีทางการอียิปต์อาจต้องคิดกุศโลบายในการเก็บภาษีใหม่ เพราะหากปล่อยเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เห็นทีสภาพบ้านเมืองของอียิปต์คงไม่เจริญหูเจริญตาสักเท่าไหร่ และกลายเป็นเมืองที่สร้างไม่เสร็จ เหมือนกับเสาโบเบลิสก์ต้นนี้
รถแท็กซี่พาเรากลับมาส่งหน้าทางเข้าโรงแรม โดยก่อนจากลาเขาสอบถามว่าพรุ่งนี้เราจะไปอบูซิมเบลไหม ถ้าไปเขาคิดค่ารถไปกลับ 1500 ปอนด์ เรายังไม่ได้ตอบปฏิเสธหรือตกลงอะไร โดยขอเบอร์โทรศัพท์ไว้เท่านั้น ซึ่งหากตกลงว่าจะไปจะโทรไปบอก
หลังจากลงจากรถ เรายังไม่สามารถเข้าโรงแรมได้ทันที เพราะถูกสกัดไว้ด้วยเจ้าของร้านค้าปากทาง เขาสอบถามแผนการเดินทางในวันพรุ่งนี้ว่าเราจะไปไหน เพราะร้อยทั้งร้อยของคนที่มาอัสวาน นอกจากเที่ยวในตัวเมืองและบริเวณใกล้เคียงแล้ว ทุกคนล้วนมีจุดหมายที่จะไปอบูซิมเบลกันทั้งนั้น และพวกเราก็เช่นกัน
ในเมื่อเขาก็อยากขายทัวร์ไปอบูซิมเบล และเราก็มีแผนจะไปที่แห่งนั้น จุดหมายจึงตรงกัน เจ้าของร้านค้าบอกว่าค่ารถไปกลับไม่รวมค่าเข้าชมวิหารอยู่ที่คนละ 200 ปอนด์ แต่ถ้าไปทั้ง 5 คนเขาลดเหลือ 950 ปอนด์ เราหารือกันไม่นานก็ตอบตกลง เพราะราคานี้ถูกกว่าราคาที่คนขับแท็กซี่บอกเรา อีกทั้งระยะทางที่ค่อนข้างไกลถึง 280 กิโลเมตร กับราคาไปกลับคนละไม่ถึง 200 ปอนด์ก็น่าจะโอเค
เจ้าของร้านค้าบอกว่าพรุ่งนี้รถจะมารอรับเราเวลาตี 4 โดยวันนี้ให้เราจ่ายค่ามัดจำ 500 ปอนด์ ส่วนอีก 450 ปอนด์ที่เหลือค่อยไปจ้างพรุ่งนี้บนรถ เงินมัดจำ 500 ปอนด์นั้นไม่ใช่น้อยๆ หากถูกโกงคงคิดหนัก ในระหว่างที่เขากำลังเขียนใบรับเงินและรายละเอียด น้องเนจึงถ่ายวีดีโอเอาไว้ด้วย เผื่อถูกโกงขึ้นมาจะได้มีหลักฐานไปแจ้งความ
หลังจากชำระล้างร่างกายจากคราบไคล้อันเกิดแสงแดดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเดินทอดน่องชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอัสวาน ด้วยการเดินเลียบแม่น้ำไนล์ ซึ่งตลอดทางเราได้พบกับผู้มาชักชวนให้เราซื้อบริการนั่งเรือเฟลุกก้า ซึ่งเป็นเรือโบราณ หน้าตาคล้ายเรือใบ ชาวอียิปต์ใช้เรือแบบนี้ล่องแม่น้ำไนล์มานับพันปี ว่ากันว่าการล่องแม่น้ำไนล์ด้วยเรือเฟลุกก้าในช่วงเย็นที่พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้านั้นเป็นบรรยากาศที่แสนโรแมนติก หากมากับแฟนก็อาจตกลงปลงใจขอแต่งงานกันได้ง่ายๆ
ผมเองก็มีความคิดว่าอยากล่องแม่น้ำไนล์ด้วยเรือเฟลุกก้าสักครั้ง แต่เพราะวันนี้ค่อนข้างเพลีย อีกทั้งวันพรุ่งนี้เราก็จะค้างที่อัสวานอีกคืน พรุ่งนี้กลับจากอบูซิมเบลน่าจะมีเวลาช่วงเย็นมากโข ทุกคนจึงลงความเห็นกันว่าไว้ล่องเรือพรุ่งนี้แล้วกัน แต่เหมือนเป็นสัจธรรมว่าหากคิดจะทำอะไรก็ให้ทำเลย อย่าไปคิดว่าค่อยทำพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง
ตึกรามบ้านช่องที่สร้างริมแม่น้ำไนล์นี้ดูงดงามสะอาดตาดี ด้วยการโบกปูนอย่างเรียบร้อย ไม่เหมือนอาคารที่อยู่ตามตรอกซอกซอยที่ปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นอิฐเปลือยๆ การเดินทอดน่องและมองการพริ้วไหวของแม่น้ำไนล์ในบรรยากาศยามเย็นก็เพิ่มเติมความสุขให้กับชีวิตการเดินทางได้ไม่น้อย แล้วเราก็ตัดสินใจโบกมือลาแม่น้ำไนล์ชั่วคราว เพื่อพาตัวเองไปสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คนในตลาด ที่แม้พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า แต่ก็ยังคึกคักจากวิถีชีวิตของผู้คนที่เดินจับจ่ายอยู่ในนั้น
เป้าหมายของพวกเราคือการหาซื้อเสบียงสำหรับการเดินทางไปอบูซิมเบลในวันพรุ่งนี้ เพราะต้องออกเดินทางตั้งแต่ตี 4 คงไม่มีเวลาหาซื้ออะไรได้ จึงต้องจัดการเสียตั้งแต่วันนี้ ซึ่งผมว่าน่าจะซื้อพวกขนมปัง ซึ่งเป็นของแห้ง เก็บและพกสะดวกไปทานระหว่างการเดินทาง และซื้อผลไม้สักหน่อยไว้กินล้างปาก แต่น้องเนน้องหมีคิดไกลไปกว่านั้น โดยพากันไปเลือกผักสด เพื่อหมายว่าคืนนี้จะล้างและหันผักเพื่อใช้ทำสลัดผักกินในวันพรุ่งนี้ ซึ่งดูจากหน่วยก้านแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่า 2 สาวขาลุยนี้จะเป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือนกับเขาเหมือนกัน เราจึงถือทั้งขนมปัง ผลไม้ และผักถุงโตกลับโรงแรม
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2566 เวลา 14.34 น.