แม้ปากจะบอกเพื่อนๆว่าวิหารเอ็ดฟูถ้าไปทันก็เที่ยว ถ้าไปไม่ทันก็ไม่เที่ยวก็ได้ ไม่เดือดร้อนอะไร แต่จริงๆแล้วผมแอบลุ้นลึกๆไปตลอดทางว่าเราจะเดินทางฝ่าทะเลทรายถึงเอ็ดฟูก่อนเวลา 4 โมงเย็นไหม เพราะที่ผ่านมาโบราณสถานแต่ละแห่งในอียิปต์ล้วนปิดเวลา 4 โมงเย็นทั้งนั้น วิหารเอ็ดฟูก็คงจะเหมือนกัน
ทีแรกก็แอบดีใจเพราะการเดินทางตอนกลางวันนั้นไม่น่าต้องถูกตรวจจากด่านต่างๆมากมายเหมือนยามวิกาล ซึ่งบางด่านก็ปล่อยให้เราผ่านไปเลย เพราะเจ้าหน้าที่จำได้ว่าเมื่อคืนคนขับได้ให้เงินเขาไว้แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คิดอีกแล้ว เพราะเจ้าหน้าที่ประจำด่านที่เมื่อคืนตรวจแบบหลวมๆนั้น ในเวลานี้เกิดตรวจเข้มขึ้นมา กว่าจะผ่านด่านได้ หมดเวลาไปหลายสิบนาที ในขณะที่คนขับก็ต้องหมดเงินไปอีกหลายสิบปอนด์
เข็มสั้นค่อยๆเคลื่อนตัวจากเลข 11 มาที่เลข 12 เลข 1 เลข 2 และเลข 3 อย่างช้าๆ ในขณะที่ความหวังว่าจะได้ชมวิหารเอ็ดฟูก็ค่อยๆหมดลง และจากสภาพทะเลทรายที่แห้งแล้งก็เปลี่ยนมาเป็นพื้นที่ที่เขียวชะอุ่มจากบรรดาแปลงผัก นั้นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเราเดินทางมาถึงพื้นที่ริมแม่น้ำไนล์อันอุดมสมบูรณ์แล้ว และเราก็ใกล้ถึงเอ็ดฟูเข้าไปทุกที
ตัวเมืองเอ็ดฟู (Edfu) อยู่ทางทิศตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ในขณะที่สถานีรถไฟอยู่ทางฝั่งตะวันออก ขณะนี้เวลา 15.40 น. อีกแค่ 20 นาทีวิหารเอ็ดฟูก็จะปิด ในใจผมตอนนี้อยากจะบอกให้คนขับพาข้ามแม่น้ำไนล์ เพื่อไปส่งผมที่หน้าวิหารเอ็ดฟูซึ่งอยู่ในเขตตัวเมืองก่อน จากนั้นจึงค่อยมาส่งเพื่อนๆที่หน้าสถานีรถไฟ แต่ผมก็ไม่กล้าพูด จนรถแท็กซี่มาจอดหน้าสถานีรถไฟเอ็ดฟูเวลา 15.50 น. เพื่อนๆยกกระเป๋าลงจากรถ ทีแรกผมถอดใจแล้วว่าอย่างไงเสียการเดินทางครั้งนี้ผมคงไม่มีโอกาสเข้าชมวิหารเอ็ดฟูแล้ว แต่น้องหมีบอกว่าไปเถอะ ไหนๆก็ตั้งใจไว้แล้ว แค่ได้เห็นหน้าวิหารก็ยังดี ผมจึงดันกระเป๋าที่คนขับกำลังยกออกจากกระโปรงหลังให้กลับไปที่เดิมแล้วบอกให้คนขับพาผมไปวิหารเอ็ดฟูทันที
เหลืออีกแค่ไม่ถึง 10 นาที วิหารเอ็ดฟูก็จะปิด แทนที่คนขับจะรีบทันเวลา แต่กลับขอแวะเติมน้ำมัน ดูเหมือนคนขับที่ผมเคยชมว่าเป็นคนใจเย็น จะใจเย็นมากเกินไปเสียแล้ว
รถแท็กซี่พาผมข้ามแม่น้ำไนล์สู่ตัวเมืองเอ็ดฟูที่มองไปทางไหนก็มีแต่ความวุ่นวายของรถรา ซึ่งไม่แน่ใจนักว่ารถที่นี่วิ่งกันขวักไขว้จริงๆ หรือเป็นเพราะใจผมในขณะนั้นว้าวุ่นและลุ้นจนตัวโก่งกันแน่ จึงมองเห็นทุกสรรพสิ่งดูวุ่นวายไปหมด
รถแท็กซี่มาถึงทางเข้าวิหารเอ็ดฟูเวลา 15.59 น. ผมรีบลงจากรถแล้วบอกให้คนขับรอ โดยทิ้งกระเป๋าเดินทางไว้เป็นตัวประกัน ว่าอย่างไงผมก็ต้องกลับมา
ผมตรงไปที่ช่องจำหน่ายบัตร พร้อมถามเจ้าหน้าที่ว่า ผมมาถึงเวลานี้ยังพอเข้าชมวิหารเอ็ดฟูได้หรือไม่ เจ้าหน้าที่ดูนาฬิกาข้อมือ พร้อมทำหน้างงๆและบอกผมว่า เวลานี้โอเค เพราะแท้จริงแล้ว แม้สถานที่ท่องเที่ยวในอียิปต์ส่วนใหญ่จะปิดเวลา 4 โมงเย็น แต่สำหรับวิหารเอ็ดฟูนั้นไม่ใช่ เพราะสถานที่แห่งนี้ปิดเวลา 5 โมงเย็น นั่นหมายความว่าผมมีเวลาเดินเที่ยวชมวิหารได้อย่างสบายใจถึง 1 ชั่วโมง!
เฮ้อ...หากรู้คงไม่ต้องลุ้นจนตัวโก่งอย่างที่ผ่านมา
วิหารเอ็ดฟูเมื่อมองจากด้านหน้าเหมือนป้อมปราการขนาดใหญ่ ซึ่งวิหารแห่งนี้ยังคงเหลือซุ้มประตูทางเข้าขนาดใหญ่และสมบูรณ์กว่าวิหารใดๆในอียิปต์ โดยมีความสูงถึง 34 เมตร สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ปโตเลมี ประมาณ 237 ปีก่อนคริสตกาล เช่นเดียวกับวิหารต่างๆในเมืองอัสวาน โดยมีจุดประสงค์เพื่อถวายแด่เทพฮอรัส ซึ่งมีศีรษะเป็นเหยี่ยว เราจึงพบเห็นภาพสลักของเทพฮอรัสได้ทั่ววิหาร ภาพฟาโรห์กำลังถวายเครื่องสักการะแด่เทพฮอรัส รวมถึงรูปสลักหินลอยตัวของเหยี่ยว 2 ตัว ยืนอยู่ทางฝั่งซ้ายและขวาของซุ้มประตูทางเข้า
อย่างที่บอกไปว่าชาวอียิปต์มีความเชื่อว่าฝั่งตะวันออกเป็นฝั่งของคนเป็น ในขณะที่ฝั่งตะวันตกเป็นฝั่งของคนตาย บรรดาวิหารต่างๆจึงสร้างขึ้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไนล์ จะมีก็แต่วิหารเอ็ดฟูแห่งนี้ที่สร้างขึ้นทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ สาเหตุเพราะ สถานที่แห่งนี้ ชาวอียิปต์เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ที่เทพฮอรัสต่อสู้กับเทพเซท เทพแห่งความชั่วร้าย ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ผลจากการต่อสู้เทพฮอรัสเป็นฝ่ายชนะและได้ปกครองอาณาจักรอียิปต์ต่อมา โดยฉากการต่อสู้ที่เร้าใจนี้สามารถพบเห็นได้จากภาพสลักที่วิหารเอ็ดฟูที่เดียวเท่านั้น
แล้วเทพทั้งสองนี้คือใคร มีความแค้นอะไรกัน ทำไมถึงต้องต่อสู้กันด้วย ประวัตินั้นผูกเป็นเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ จนกลายเป็นตำนานศึกแห่งเทพเจ้ากันเลยทีเดียว
เริ่มจากเทพรา หรือสุริยเทพ ซึ่งชาวอียิปต์ยกย่องให้เป็นเทพเจ้าสูงสุด ได้สร้างโลกมนุษย์ขึ้น โดยพระองค์มีโอรสและธิดา 5 พระองค์คือ เทพโอซิริส เทพฮามาคิส เทพเซท เทพไอซีส และเทพเนฟทิส โดยโอรสกับธิดาแต่งงานกันเอง ซึ่งการปฏิบัตินี้ก็สืบต่อมาถึงฟาโรห์ที่จะแต่งกันกันเองระหว่างพี่น้อง
เทพโอซิริสแต่งงานกับเทพไอซิส เทพเซทแต่งงานกับเทพเนฟทิส เหลือเพียงเทพฮามาคิสที่ครองตนเป็นโสด กาลเวลาพ้นผ่านจนเทพราสละราชสมบัติ และให้เทพโอซิริสซึ่งเป็นบุตรคนโตขึ้นครองราชย์ ซึ่งตำนานของชาวอียิปต์ถือว่าเทพโอซิริสคือฟาโรห์พระองค์แรก ทำให้ฟาโรห์พระองค์ต่อๆมาคือร่างอวตารของเทพเจ้าทุกพระองค์ ซึ่งส่งผลให้ประชาชนเกิดความยำเกรง
การยกราชสมบัติให้เทพโอซิริสนี่เอง ทำให้เทพเซทไม่พอใจ และวางแผนสังหารเทพโอซิริส โดยวางอุบายให้เทพโอซิริสเข้าไปอยู่ในหีบ จากนั้นทำการปิดหีบอย่างแน่นหนา แล้วนำไปทิ้งลงแม่น้ำไนล์
เมื่อเทพไอซีสรู้ในมหรกรรมของสามีก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอันมา เทพไอซีสซึ่งกำลังตั้งครรถ์ได้เดินทางอย่างรันทดเพื่อตามหาหีบใบนั้น ระหว่างการตามหานั้นเอง นางได้ให้กำเนิดบุตรนามว่า ฮอรัส ซึ่งมีศีรษะเป็นเหยี่ยว เมื่อเทพฮอรัสเติบใหญ่และรู้เรื่องราวในอดีตที่พระบิดาถูกสังหารโดยน้องตัวเอง จึงรู้สึกโกรธแค้น ซึ่งนั่นเป็นที่มาของสมรภูมิแห่งเทพเจ้า ระหว่างเทพฮอรัสกับเทพแซท ณ เมืองเอ็ดฟูแห่งนี้
ฉากการต่อสู้ของสมรภูมิแห่งเทพเจ้านี้ถูกสลักไว้อย่างดุเดือด โดยเป็นฉากที่เทพเซทได้กลายร่างเป็นฮิปโปโปเตมัสยักษ์เพื่อเข้าเล่นงานเทพฮอรัส แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเทพฮอรัสได้ อีกทั้งยังโดนเทพฮอรัสปักฉมวกแทงลงไปในศีรษะของเทพเซทซึ่งอยู่ในร่างฮิปโป ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่า ฮิปโปที่ดูอุ้ยอายและน่ารักเหมือนที่เคยเห็นอยู่ในสวนสัตว์ จะมีความน่ากลัวได้ขนาดนี้
ผมเดินผ่านซุ้มประตูด้านหน้าเข้าสู่พื้นที่ด้านในของวิหาร ภายในยังมีซุ้มประตูกั้นอีกชั้น แต่มีความสูงไม่มากเหมือนด้านนอก แต่สองฝั่งยังคงมีรูปสลักลอยตัวของเหยี่ยว วิหารด้านในเรียงรายไปด้วยเสาขนาดใหญ่ เนื่องจากสร้างในสมัยราชวงศ์ปโตเลมี ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาวกรีก เสาแต่ละต้นจึงสร้างขึ้นโดยมีศิลปะแบบกรีกผสมในสัดส่วนที่เห็นได้ชัด แต่ที่มีความเป็นอียิปต์ก็คงเป็นการสลักบนผืนผิวเสา ที่ปรากฎอักษรภาพฮีโรกลีฟิค กับรูปสลักเทพเจ้าของชาวอียิปต์ แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเทพฮอรัส เสาทุกต้นสร้างขึ้นเพื่อรองรับคานและหลังคาด้านบน ซึ่งยังคงอยู่ในสภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ทำให้ได้สัมผัสซึ่งบรรยากาศภายในวิหารจริงๆเมื่อครั้งอดีต ที่แสงส่องผ่านน้อยมาก บรรยากาศจึงผสมกันอย่างลงตัวระหว่างความศักดิ์สิทธิ์กับความลึกลับ
ภาพในวิหารแบ่งซอยเป็นห้องบูชาขนาดเล็กหลายห้อง โดยห้องที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในสุดเป็นที่ตั้งของเรือศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตำนานเล่าขานว่าเป็นเรือที่ใช้อัญเชิญรูปปั้นของเหล่าเทพเจ้า
ภายในวิหารแห่งนี้ ด้านข้างมีบันไดขึ้นไปสู่ห้องบูชาชั้นบน ผมเดินเข้าไปตามแสงสว่างที่พอมี ผนังโดยรอบยังคงมากมายไปด้วยภาพสลัก แต่บรรยากาศนั้นดูลึกลับเกินเหตุ อีกทั้งเวลาในขณะนี้ก็ 4 โมงครึ่งเข้าไปแล้ว ผมจึงตัดสินใจออกจากวิหาร เพราะคิดว่าวิหารคงปิด และทำได้แค่เพียงเก็บภาพด้านหน้า จึงบอกคนขับไปว่าให้รอ 5 นาที แต่นี้เกินจากเวลาที่บอกไว้ไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่รู้คนขับจะโยนกระเป๋าผมทิ้ง แล้วขับรถกลับอัสวานหรือเปล่า
ผมจ้ำอ้าวออกจากวิหาร หากแท็กซี่ไม่จอดอยู่หน้าวิหารผมคงจะลำบาก เพราะแทบทุกสิ่งอย่างที่ใช้ในการดำรงชีวิตอยู่ในกระเป๋าเดินทาง แต่แล้วก็โล่งใจเพราะคนขับยังคงรอผมอยู่ที่เดิม เพื่อรับเงินค่ารถที่ผมต้องจ่ายเพิ่มอีก 100 ปอนด์
ผมกลับมาที่สถานีรถไฟเอ็ดฟูอีกครั้ง ในใจแอบลุ้นว่าจะได้เจอเพื่อนๆที่ยังคงนั่งรอขบวนรถไฟ แล้วเดินทางไปลักซอร์ด้วยกัน แต่ก็ไม่มีแม้เงา เพื่อนๆคงเดินทางไปแล้วด้วยขบวนรถไฟรอบ 16.30 น. ไม่เป็นไรอย่างไงคืนนี้เราก็ได้เจอกันที่ลักซอร์แน่ เพราะได้นัดแนะกันแล้วว่าให้ไปเจอกันที่ New Everest Hostel ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไปลักซอร์
ผมเดินหาช่องจำหน่ายตั๋วที่สถานีรถไฟซึ่งอยู่ระหว่างการซ่อมแซม แต่เดินหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ จึงเข้าไปสอบถามคนที่รอรถไฟที่ชานชลา เขาบอกว่าต้องข้ามไปซื้อตั๋วที่สถานีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ที่นี่แปลกดีมีสถานีรถไฟทั้งสองฝั่งเลย
ผมเดินขึ้นสะพานลอยที่ทอดข้ามรางรถไฟสู่สถานีที่อยู่อีกฝั่ง สถานีฝั่งนี้ก็อยู่ระหว่างการซ่อมแซมเหมือนกัน ดูจากด้านหน้าแล้วไม่เห็นช่องจำหน่ายตั๋วเลย เดินวนหาจึงได้เห็นว่าช่องจำหน่ายตั๋วนั้นอยู่ด้านข้างในซอกหลืบของอาคาร ผมได้ตั๋วรถไฟไปลักซอร์รอบ 17.33 น. ค่าโดยสารแค่ 45 ปอนด์
เนื่องจากสถานีนั้นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ ในระหว่างที่รอรถไฟ ผมจึงได้มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ในช่วงเวลาที่ใกล้จมหายไปในสายน้ำ ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก
กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 เวลา 10.57 น.