' กาญจนบุรี '

จุดหมายปลายทางของใครหลายๆคน
ด้วยภูมิประเทศและธรรมชาติที่มีทั้งภูเขา แม่น้ำ และป่ามากมาย

นอกจากนี้ยังมีสถานที่เที่ยวที่รอให้คุณได้ไปค้นหาอีกเยอะเลย

ทริปนี้ผมแพลนไว้ 2 วัน 1 คืน และ มีโอกาสได้ไปพักที่ River Kwai Resotel แก่งละว้า
ซึ่ง Resort แห่งนี้ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำแควน้อยและใกล้ชิดธรรมชาติมากๆ


จะว่าไปปีนี้ผมก็มาเที่ยวกาญฯเป็นรอบที่ 4 แล้วนะเนี่ย ฮาาา



ผมออกเดินทางจาก กรุงเทพฯโดยรถส่วนตัว ซึ่งการขับรถมากาญจนบุรีนั้นไม่ยากเลย

ก็แน่ล่ะ มี Google Maps ซะอย่าง

ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ ผมก็ขับรถมาถึงตัวกาญจนบุรี


Resort แห่งนี้อยู่ทางเดียวกับน้ำตกไทรโยคใหญ่
ผมเลยแพลนแวะเที่ยวน้ำตกไทรโยคใหญ่ก่อน

ไม่มีอะไรมากแค่อยากมาสะสมตราประทับของอุทยานนั่นเอง :P



น้ำตกไทรโยคอยู่เลยทางเข้า River Kwai Resotel ไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตร

หลังจากที่ผมเดินเล่นที่น้ำตกไทรโยคใหญ่สักพัก

ผมก็ขับรถย้อนกลับมาทางเดิมเพื่อไปยัง Resort


โดย Resort นี้มีทางเข้า 2 ทาง ทั้งทางรถและทางเรือ
เเต่ผมเลือกไปทางเรือเพราะใกล้กว่า


สังเกตป้ายนี้นะครับจะเป็นทางเข้าไปยังท่าเรือพุตะเคียน (ท่าเรือของ Resotel)

ในป้ายจะชื่อ รีโซเทล แก่งละว้า ไม่ต้องตกใจไปนะครับ ที่เดียวกัน

ขับรถต่อเข้ามาตามป้ายประมาณ 3 กิโลเมตร ก็จะถึงลานจอดรถของท่าเรือ

ซึ่งสามารถจอดรถทิ้งค้างคืนไว้ที่นี่ได้เลย เพราะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของทาง Resort

และมีคนดูแลให้ตลอดเวลา


หลังจากจัดเตรียมสัมภาระและจอดรถเสร็จ ผมกับแฟนก็ลงไปรอเรือเพื่อเข้า Resort ทันที

แผนที่และตารางเดินเรือของ Resort ดูได้จากป้ายนี้

ถ้านอกเหนือจากเวลานี้จะต้องจ้างเรือเอง

ท่าเรือแห่งนี้จะมีเรือของหลายๆ Resort มาขึ้นที่นี่เช่นกัน

เพราะฉะนั้นจะต้องแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ด้วยว่าเราจะไปลงที่ Resotel

ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลยคร้าบบบบ

อะ อะ อ้าววววว เรือออกแล้ว รอวนไปจ้ะ T_T



จริงๆเรืออาจจะไม่ต้องรอจนถึงครึ่งชั่วโมงนะ ถ้ามีคนครบตามจำนวนเค้าก็จะไปส่งเราทันที

นั่งเรือประมาณ 10 นาที ก็จะถึงท่าเรือของ Resort


เมื่อผมเหยียบเท้าขึ้นฝั่งของ Resort แห่งนี้ ผมสัมผัสได้ถึงความร่มรื่นและสงบเงียบสุดๆ

บริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจี

คนที่ชอบแนวๆ บูติค และชอบต้นไม้เขียวๆ คงถูกใจไม่น้อย

อันนี้เป็นแผนผังห้องพักของที่นี่ ทำได้น่ารักเลยทีเดียว


หลังจากเช็คอินผมเสร็จก็จัดแจงเดินเข้าห้องพัก ซึ่งเราได้พักห้องแบบ Standard Room
ห้องพักที่นี่เป็นลักษณะเป็นกระท่อมเป็นหลังๆ ซึ่งแต่ละหลังค่อนข้างห่างกันมาก

ทำให้มีความเป็นส่วนตัวและสงบเงียบมากๆ


การตกแต่งห้องของที่นี่จะเน้นสไตล์บูติค
เเละบริเวณรอบๆห้องแต่ละห้อง มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้เต็มไปหมด
ได้มองแล้วก็สดชื่น เหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างมาก



ในส่วนของห้องพัก Standard นั้นนอกจากห้องเดี่ยวเเล้ว ก็ยังมีห้องแบบที่เป็นห้องคู่ด้วย

จะมีระเบียงเชื่อมต่อกันระหว่างห้อง 2 ห้อง เหมาะสำหรับคนที่แบบเป็นครอบครัว





มาดูรอบๆ Resort กันบ้าง

หลังใหญ่ๆ ที่เห็นนี้จะเป็นห้องอาหารและ Lobby


มีร้านค้าเล็กๆไว้บริการด้วย


ด้านหลังติดกับห้องอาหารจะเป็นสระว่ายน้ำ


เดินเลยสระว่ายน้ำไปนิด จะเป็นทางลงไปยังท่าเรือ

ซึ่งโซนริมแม่น้ำนี้ทาง Resort ได้ทำเป็นระเบียงสำหรับนั่งเล่นและชมวิวแม่น้ำแควน้อยไว้

มองไปฝั่งตรงข้ามจะเป็นภูเขาที่มีหน้าผาหินบังอยู่



เดินลงไปนั่งเล่นที่ท่าเรือกันนนน


ตรงท่าเรือนี้ถือเป็นจุดเหมาะมานั่งพักผ่อนหย่อนใจมาก

เพราะบรรยากาศยามเย็นนั้นดีสุดๆ มีสายน้ำไหลผ่าน มีลมเย็นๆ พัดมาเอื่อยๆ



หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศริมน้ำยามเย็นแบบเต็มอิ่มแล้ว
ผมกับแฟนก็เดินกลับไปยังห้องอาหารของที่นี่ ซึ่งอาหารที่เราจองไว้ในวันนี้เป็นแบบบุฟเฟ่ต์

ห้องอาหารของที่นี่มีทั้งบุฟเฟ่ต์และ a la carte ให้เลือกและยังมีดนตรีสดๆ เล่นให้ฟังอีกต่างหาก

ระหว่างที่รออาหาร ผมก็เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อย

ด้านบนชั้น 2 ของห้องอาหารแห่งนี้ยังเป็นห้องสปาและห้องนวดแผนไทยอีกด้วย

เรียกได้ว่ามีบริการหลากหลาย โดยที่ไม่ต้องออกไปหาข้างนอกเลย




พื้นที่ด้านบนสามารถมองลงมายังห้องโถงด้านล่างได้



กินข้าวเสร็จผมก็ยังพอมีเวลา เพราะตอน 2 ทุ่มจะต้องไปดูระบำมอญ ที่ทาง Resort แนะนำ

ซึ่งเกิดมาผมก็ไม่เคยดูเหมือนกันนะ เลยเป็นโอกาสดีที่จะได้ไปดู

ระหว่างนี้ก็เดินถ่ายรูปเล่นไปก่อนฆ่าเวลา

ริมน้ำยามค่ำคืนก็สวยไปอีกแบบนะ


เราเดินเล่นอยู่สักพักก็ได้เวลาดูระบำมอญ
ซึ่งเวทีแสดงนั้นถูกจัดขึ้นอย่างสวยงาม

ถึงเวลาก็มีนักแสดงแต่งกายมอญออกมาเต้นระบำอย่างสวยงาม

ซึ่งก็ถือเป็นอะไรที่แปลกตาแปลกใจ และสนุกดีเหมือนกัน


หลังจากดูระบำมอญเสร็จประมาณครึ่งชั่วโมง

ผมและแฟนก็กลับไปยังห้องพักเพื่อนอนพักผ่อน เตรียมตัวตื่นแต่เช้า

เพราะมีแพลนจะตื่นมาดูหมอกลอยผิวน้ำ ที่ท่าเรือยามเช้ากัน

ทางที่พักบอกว่าบรรยากาศตอนเช้านั้นสุดฟินจริงๆ


วันรุ่งขึ้นผมกับแฟนตื่นตั้งแต่ 6 โมง อากาศกำลังเย็นสบาย

เราเลยมุ่งหน้าไปนั่งเล่นถ่ายรูปกันตรงท่าเรือ
ซึ่งบรรยากาศตอนเย็นว่าดีแล้ว เจอบรรยากาศตอนเช้าเข้าไปแทบไม่อยากไปไหนเลย

เพราะบรรยากาศดีมากๆ มองไปที่ผิวน้ำก็มีหมอกจางๆลอยอยู่

ในตอนเช้าๆของทุกวัน จะมีฝูงนกกระยางบินเลียดกับผิวน้ำเพื่อออกไปหากิน

ซึ่งทางคนดูแลบอกว่านกฝูงนี้จะบินไปบินกลับทั้งเช้าและเย็นเลยครับ


หลังจากพระอาทิตย์เริ่มขึ้น อากาศบริเวณนี้ก็เริ่มร้อนขึ้นตามลำดับ

ผมกับแฟนเลยหนีไปหาอะไรกินกันดีกว่า :P


อาหารเช้าก็เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ทั่วๆไป ซึ่งขอชมนิดนึง

อาหารที่นี่ไม่ว่าจะอาหารเช้าหรืออาหารเย็นรสชาติดีมาก อร่อยกว่าหลายๆที่ ที่เคยพักมา


หลังจากเติมพลังจนอิ่มท้องแล้ว เรามีโปรแกรมที่จะไปพายเรือคายัคกันต่อ

ซึ่งที่ River Kwai Resotel แห่งนี้มีกิจกรรมให้เลือกทำมากมายหลายอย่าง

ทั้งพายเรือ เดินป่า ชมเมือง ล่องแพ ฯลฯ

ซึ่งสามารถเข้าไปชมและสอบถามได้ที่ Website ของทางโรงแรมได้โดยตรง

https://www.riverkwairesotel.net/


แต่เนื่องจากเมื่อคืนผมดันนอนตกหมอนทำให้ปวดแขน ปวดคอมากๆ

เลยอดพายเรือคายัคไปตามระเบียบ เลยเลือกที่จะนั่งเรือไปเดินชมหมู่บ้านมอญแทน

ซึ่งที่หมู่บ้านมอญนั้นจะต้องนั่งเรือไปยัง Jungle Rafts ก่อน

นั่งเรือของทาง Resort ไปประมาณ 15 นาทีและจริงๆถ้าจะพายคายัคก็ต้องนั่งเรือไปเริ่มต้นที่นี่เช่นกัน


ช่วงเช้าๆมีโอกาสได้เห็นชายหาดที่มีควายลงเดินเล่นด้วย

วิวยามเช้าสวยงามมากๆ

ที่หมู่บ้านมอญแห่งนี้ จะมีวัดมอญ โรงเรียนมอญ และ แคมป์ช้าง

แต่เนื่องจากเรามีเวลาไม่มากเลยเดินเล่นได้แค่นิดๆหน่อยๆ


แผนที่หมู่บ้านมอญ


ทางเดินทำไว้อย่างเป็นระเบียบ


เด็กน้อยชาวมอญ



แคมป์ช้าง


เดินเล่นเสร็จก็ได้เวลานั่งเรือกลับไปยังที่พักจัดแจงเก็บข้าวของ เตรียมตัวกลับ

ซึ่งทริปนี้ผมและแฟนประทับใจ Resort แห่งนี้เป็นอย่างมาก

ทั้งบรรยากาศ บริการ และกิจกรรมต่างๆ

ซึ่งสิ่งที่ชอบที่สุดก็คือต้นไม้ที่นี่ มีเยอะมากกกกและให้ความร่มรื่นสุดๆ

มีโอกาสได้สูดอากาศดีๆเข้าไปเต็มปอดจนอยากจะอยู่ต่ออีกสักคืน

แต่ตอนนี้ได้เวลาต้องเดินทางกลับแล้ววววววววววว ไว้โอกาสหน้าจะมาใหม่แน่นอนนนน



ออกจากที่พักผมมีแพลนไปเที่ยวต่อกันที่เมืองมัลลิกา

ซึ่งเป็นเมืองจำลองคล้ายกับสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นสถานที่สุดฮิตในเวลานี้

ที่เมืองนี้จะจำลองทุกอย่างให้เหมือนสมัยรัชกาลที่จริงๆ ทั้งการแต่งกายชุดไทย

หรือแม้กระทั่ง การพูดการจาของพนักงานที่ใช้คำพูดสมัยนั้นด้วย

ค่าเข้าชมเมืองมัลลิกานั้น 250 บาท / คน

หากต้องการสวมชุดไทยก็มีให้เช่าอยู่ด้านหน้า

หรือใครจะไม่สวมชุดไทยก็สามารถเข้าไปได้เช่นกัน แต่ต้องมีบัตรชมเมืองก่อนนะ
หรือใครมีชุดไทยใส่มาจากบ้านก็ได้นะ

ซึ่งราคาเช่าชุดนั้นผู้หญิง 200 ผู้ชาย 100 เดียว


เงินในเมืองนี้จะใช้เงินเป็นสตางค์ ซึ่งต้องแลกที่ธนาคารภายในเมืองก่อน

ภายในมีร้านอาหารเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะร้านขนมไทยโบราณแสนอร่อย

ใครมีโอกาสไปกาญจนบุรีอย่าลืมแวะไปเยี่ยมชมดูนะครับ

ขอบคุณเพื่อนๆที่ติดตามชมกัน

ชอบท่องเที่ยว ตามมาาาาา

> https://www.facebook.com/yaktieowtamma/ <


อุปกรณ์ถ่ายภาพ


Fujifim XT10
Lens Samyang 12 mm
Lens Fujinon 23 f 2
Lens Fujinon 60 f2.4 macro


รีวิวอื่นๆ

ขับ Vespa คู่ใจไปพิชิตบันได 3,790 ขั้นที่ยอดเขาวงพระจันทร์

https://th.readme.me/p/6860


>| ดอยหลวงเชียงดาว |< ดินแดนสวรรค์ที่มนุษย์ต่างดาวยังต้องไป

https://th.readme.me/p/6612


>ผาหินกูบ< |.. บุกป่า ฝ่าดงทาก ลากสังขารไปนอนบนหินใหญ่ ..|

https://th.readme.me/p/4166


ทิ้งความวุ่นวาย . . . ไป Slow Life ใกล้เมืองกรุงที่ . . > อ่างเก็บน้ำหุบเขาวง <

https://th.readme.me/p/4165


> บ้านสวนจันทิตา < . . . สัมผัสธรรมชาติง่ายๆที่อุทัยฯ ทริปสบายๆไม่ต้องการวันลา

https://th.readme.me/p/4203


| เวียงจันทร์-วังเวียง | 5 วัน 4 คืน เที่ยวสุดฟิน กินสุดเพลิน จนไม่มีตังค์เหลือ

https://th.readme.me/p/4289


| > ๑ วันที่บางกะเจ้า <| ปั่นไปกินจนพุงยื่น อากาศสดชื่นจนเต็มปอด

https://th.readme.me/p/4365

ม่อนจุก

 วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 00.11 น.

ความคิดเห็น